หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ตลาดการเงินทั่วโลกประสบกับความผันผวนสูง โดยมีปัจจัยหลักจากสงครามการค้าโลกที่รุนแรงขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการ และความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวที่รุนแรงในตลาดสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งตลาดหุ้น ตลาดเงิน ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดคริปโตเคอเรนซี่
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคือการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหม่จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายใต้นโยบาย “Country-Level Reciprocity” โดยจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกเบา 25% ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 3 เมษายน 2568 รวมทั้งมาตรการเพิ่มเติมจากภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25% ที่มีอยู่แล้ว มาตรการดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ดัชนีความกลัว (Fear & Greed Index) ตกสู่ระดับ 25 คะแนน สะท้อนภาวะ “กลัวสุดขีด” ของนักลงทุน
ในส่วนของนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% – 4.50% ในการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคมที่ผ่านมา โดยประธาน Fed นายเจอโรม พาวเวล ได้แสดงความเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.50% ในการประชุมวันที่ 6 มีนาคม สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่างกันระหว่างสองภูมิภาคเศรษฐกิจหลักของโลก
ในด้านตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ประเด็นที่น่าสนใจคือการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของจีนที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตปรับขึ้นสู่ระดับ 50.8 และภาคบริการอยู่ที่ 53.0 สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังเผชิญภาวะชะลอตัวมาตลอดปี 2567 ขณะที่สหรัฐฯ เผยดัชนี ISM ภาคการผลิตหดตัวลงสู่ระดับ 49.6 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.3 รวมถึงตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมีนาคมที่เพิ่มขึ้นเพียง 139,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 151,000 ตำแหน่ง สะท้อนการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ในส่วนของยุโรป มีการรายงานอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่อง โดยเงินเฟ้อทั่วไปลดเหลือ 2.2% และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.4% โดยราคาพลังงานลดลง 0.7% ขณะที่ค่าบริการยังเพิ่มขึ้น 3.4% ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปในอนาคต
นอกจากนี้ ตลาดการเงินไทยยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม ส่งผลให้เกิดแรงเทขายในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มแบงก์ อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างกลับปรับตัวขึ้นได้ดีจากการคาดการณ์ว่าจะได้รับอานิสงส์ในการฟื้นฟูความเสียหาย
ท่ามกลางความไม่แน่นอนดังกล่าว ราคาทองคำได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับ 3,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น
ประมาณ 8% ในเดือนมีนาคม และมีแนวโน้มจะจบไตรมาสแรกด้วยผลตอบแทนสูงถึง 17% สะท้อนบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในยามวิกฤต ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรง โดยดัชนี SET ร่วงลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี ปิดที่ระดับ 1,125.21 จุด ลดลง 4.27% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องสงครามการค้า
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ก็ไม่รอดพ้นจากความผันผวน โดยมูลค่าตลาดลดลงกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว ราคา Bitcoin ร่วงลงถึงระดับต่ำสุดในรอบเดือนที่ 77,171 ดอลลาร์ ก่อนฟื้นตัวมาปิดที่ 78,290 ดอลลาร์ ขณะที่ Ethereum ดิ่งลงสู่ 1,572 ดอลลาร์ สูญเสียมูลค่ากว่า 13%
โดยสรุป สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งสงครามการค้า นโยบายการเงิน และตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณผสม ส่งผลให้เกิดความผันผวนสูงในตลาดสินทรัพย์ทุกประเภท ซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ตลาด Forex ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (31 มีนาคม – 4 เมษายน 2568) มีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลกและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ ความผันผวนดังกล่าวส่งผลให้เกิดโอกาสการเทรดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในตลาด CFD
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ปรับตัวลดลงประมาณ 0.8% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะยาว และการชะลอตัวของตลาดแรงงานที่สะท้อนจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ต่ำกว่าคาด
คู่เงิน EUR/USD แข็งค่าขึ้นประมาณ 0.7% ปิดที่ระดับ 1.0845 โดยได้รับปัจจัยบวกจากการลดลงของอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนที่ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 2.2% ซึ่งเข้าใกล้เป้าหมายของธนาคารกลางยุโรปที่ 2.0% มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของยูโรยังถูกจำกัดจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่อาจส่งผลต่อการส่งออกของยุโรป
คู่เงิน USD/JPY ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงประมาณ 1.5% ปิดที่ระดับ 151.43 สะท้อนการไหลเข้าของเงินทุนสู่เยนซึ่งเป็นสกุลเงินที่ถือเป็น “safe haven” ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่อัตราการว่างงานของญี่ปุ่นลดลงสู่ระดับ 2.4% เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
คู่เงิน GBP/USD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 0.3% ปิดที่ระดับ 1.2650 โดยการเคลื่อนไหวของปอนด์ยังคงได้รับอิทธิพลจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของสหราชอาณาจักร
เงินบาทไทยมีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยการอ่อนค่าลงท่ามกลางความกังวลจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม และแรงกดดันจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 2 เดือนครึ่ง ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมาบางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ จากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ
ในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.18 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.97 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (28 มีนาคม) คิดเป็นการอ่อนค่าประมาณ 0.6% ภายในหนึ่งสัปดาห์
เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วงต้นสัปดาห์ตามสัญญาณเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทย ประกอบกับยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมต่อเนื่องจากการปรับขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และการแข็งค่าของสกุลเงินในภูมิภาค สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าลงท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีการค้า
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางของค่าเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมาประกอบด้วย:
จากมุมมองทางเทคนิค เงินบาทกำลังเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาลงในระยะสั้น โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 33.60-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในสัปดาห์หน้า
เมื่อพิจารณาจากแผนภูมิทางเทคนิค เงินบาทปรับตัวลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ที่ระดับประมาณ 33.90 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณทางเทคนิคเชิงลบในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ค่า RSI ที่ระดับประมาณ 30 เข้าใกล้เขต Oversold ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวเชิงเทคนิคในระยะสั้น
แนวรับที่สำคัญของเงินบาทอยู่ที่ระดับ 34.30 และ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในขณะที่แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 33.90 และ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยนักลงทุนควรติดตามทิศทางการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างชาติ รวมถึงพัฒนาการของสงครามการค้าโลกที่อาจส่งผลต่อค่าเงินบาทในระยะสั้น
สำหรับกลยุทธ์การเทรด CFD ในตลาด Forex สัปดาห์หน้า นักลงทุนควรมองหาโอกาสในการ Short เงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยนหากมีการทดสอบแนวต้านที่ระดับ 153.00-154.00 เนื่องจากเงินเยนมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากกระแส Risk Aversion ในตลาด ในขณะที่คู่เงิน EUR/USD อาจมีการแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 1.0750-1.0950 โดยมีโอกาส Break out ขึ้นหากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด สำหรับค่าเงินบาท แนะนำให้รอดูทิศทางที่ชัดเจนและพัฒนาการของปัจจัยภายนอกก่อนเข้าสร้างสถานะในตลาด
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะทองคำที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะวิกฤต ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวผันผวนตามความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อความต้องการใช้พลังงานทั่วโลก
ราคาทองคำเป็นไฮไลท์สำคัญของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาทองคำ XAU/USD พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับ 3,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงเช้าวันจันทร์ตลาดเอเชีย สร้างความตื่นตะลึงให้กับนักลงทุนทั่วโลก ทองคำปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นราว 8% และมีแนวโน้มจะจบไตรมาสแรกด้วยผลตอบแทนสูงถึง 17% สมาคมค้าทองคำไทยปรับราคาทองแท่งเปิดตลาดที่ 49,650 บาทต่อบาท สะท้อนถึงแรงซื้อที่มีอย่างต่อเนื่องในตลาด
การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลกที่รุนแรงขึ้น ภายหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ จากการที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด และดัชนี ISM ภาคการผลิตที่หดตัวลงสู่ระดับต่ำกว่า 50 ซึ่งเป็นสัญญาณการหดตัวของภาคการผลิต
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนเทเงิน 286,000 ล้านดอลลาร์เข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยภายในสัปดาห์แรกหลังการประกาศมาตรการภาษี ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งแตะ 3,116 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 18% ใน 7 วัน ก่อนจะมีการปรับฐานลงเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมาประกอบด้วย:
จากมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีสัญญาณว่าราคาอาจปรับฐานในระยะสั้นจากการที่ค่า RSI อยู่ในเขต Overbought สะท้อนว่าราคามีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและอาจมีการพักฐานก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม MACD ยังคงอยู่เหนือเส้น Signal Line ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาขึ้น แนวรับสำคัญอยู่ที่บริเวณ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้านถัดไปที่ 3,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากราคาสามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ อาจนำไปสู่การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องไปยังระดับ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered คาดการณ์ว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2568 หากความตึงเครียดทางการค้าและเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไป และธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งหลังของปี
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงประมาณ 2.5% มาปิดที่ระดับ 67.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลงประมาณ 2.2% มาปิดที่ระดับ 71.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาน้ำมันคือความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้พลังงาน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนถึงอุปทานที่ยังคงมีอยู่มากในตลาด
ในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ราคาทองแดงโลกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยร่วงลงสู่ระดับ 8,200 ดอลลาร์ต่อตัน ส่งผลให้บริษัทเหมืองแร่อย่าง Anglo American ต้องปิดเหมืองในเปรูชั่วคราวเนื่องจากปัญหาค่าแรงท่ามกลางราคาทองแดงที่ตกต่ำ
ในทางตรงกันข้าม ราคาแร่หายาก (Rare Earth Metals) ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 15% หลังจีนประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 17 ชนิดเพื่อตอบโต้มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและยานยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว
แนวโน้มราคาทองคำในระยะสั้นถึงกลางยังคงเป็นบวก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่ยังคงมีอยู่สูง นักลงทุนควรจับตาการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า รวมถึงรายงานการประชุม FOMC ที่อาจส่งผลต่อทิศทางของค่าเงินดอลลาร์และราคาทองคำในระยะสั้น
สำหรับตลาดน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ แนวโน้มในระยะสั้นยังคงมีความไม่แน่นอนสูง โดยขึ้นอยู่กับพัฒนาการของสงครามการค้าและผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก หากความตึงเครียดทางการค้ายืดเยื้อ อาจส่งผลลบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น น้ำมันและโลหะพื้นฐาน ในขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอุปทานจำกัดหรือได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น แร่หายาก อาจมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การเทรด CFD ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงนี้ แนะนำให้พิจารณาเข้าซื้อทองคำในช่วงที่มีการพักฐานระยะสั้น โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่การเทรดน้ำมันควรใช้ความระมัดระวังเนื่องจากความผันผวนที่สูงและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางของราคาในระยะสั้น
การเคลื่อนไหวของตลาดการเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างตลาดที่น่าสนใจหลายประการ ความเข้าใจถึงความสัมพันธ์เหล่านี้ (Intermarket Analysis) มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนในการคาดการณ์ทิศทางตลาดและวางกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้เห็นความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกับราคาทองคำอย่างชัดเจน เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงประมาณ 0.8% ราคาทองคำกลับปรับตัวขึ้นอย่างมาก โดยทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับ 3,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ความสัมพันธ์นี้มีหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่ชัดเจน เนื่องจากทองคำซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง จะทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ซึ่งจะกระตุ้นอุปสงค์ และส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง เช่นในภาวะสงครามการค้า นักลงทุนมักจะลดการถือครองสกุลเงินของประเทศที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง และหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำแทน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
สำหรับนักเทรด CFD ความสัมพันธ์นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการคาดการณ์ทิศทางราคาทองคำ โดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) เพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าซื้อขายทองคำได้
การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ร่วงลงแรงจนทำจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี ปิดที่ระดับ 1,125.21 จุด ลดลง 4.27% ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก เช่น ดัชนี TOPIX ของญี่ปุ่นที่ปรับตัวลง 1.80%
ความสัมพันธ์นี้สะท้อนให้เห็นว่านโยบายการค้าที่เข้มงวดส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและมุมมองต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
ตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือตลาดในประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก เช่น กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน ดังจะเห็นได้จากการปรับตัวลงของหุ้น Tesla ถึง 35.8% สะสมตั้งแต่ต้นปี และรายงานยอดขายในจีนที่ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบในเชิงลบ หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงภายในประเทศ เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้างในไทย กลับปรับตัวได้ดีสวนทางกับตลาดโดยรวม ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองหาการกระจายความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดผันผวน
ในช่วงที่มีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและสงครามการค้า นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะย้ายเงินจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งสะท้อนได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 6,971.5 ล้านบาท ในขณะที่มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 14,783 ล้านบาท
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Flight to Quality” หรือการหนีจากความเสี่ยงไปสู่คุณภาพ ซึ่งเป็นพฤติกรรมทั่วไปในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงและราคาพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ลดลง 47 bps สู่ระดับ 3.08%
การไหลเข้าของเงินทุนในตลาดพันธบัตรในช่วงที่มีความกังวลทางเศรษฐกิจมีผลต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางด้วย เนื่องจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความกังวลของตลาดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
สงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตลาดในระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจโลกในระยะยาวด้วย
นอกจากนี้ สงครามการค้ายังอาจนำไปสู่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าอย่างกว้างขวาง โดยข้อมูลจากสถาบัน Fitch Ratings ชี้ว่าอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เฉลี่ยพุ่งถึง 22% ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1910 และส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์โลกเพิ่มขึ้น 15-25% ตามการประเมินของ JP Morgan
ผลกระทบเหล่านี้อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานโลก และทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะยาว ซึ่งนักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเหล่านี้
จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดข้างต้น เราสามารถเห็นได้ว่าปัจจัยเดียวกันอาจส่งผลต่อสินทรัพย์แต่ละประเภทแตกต่างกัน การเข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์ทิศทางตลาดได้แม่นยำมากขึ้น และสามารถวางกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก อันเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงและการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหม่ของสหรัฐฯ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดความผันผวนอย่างมากในตลาดหุ้นหลักทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย
ช่วงต้นสัปดาห์ ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม ส่งผลให้เกิดแรงเทขายในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มแบงก์ ซึ่งประเมินว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
แม้ว่าตลาดจะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในเวลาต่อมา หลังมีการประเมินว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้น แต่ตลาดกลับร่วงลงแรงอีกครั้งหลังสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้า (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 9 เมษายน 2568 เป็นต้นไป) ซึ่งไทยถือว่าเป็นกลุ่มประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ค่อนข้างสูง (รวม 36%)
ในส่วนของตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยลดลง 8.7% และ 11.2% ตามลำดับ ดัชนี TOPIX ของญี่ปุ่นลดลง 1.80% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลต่อสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
หุ้น Tech Giants ของสหรัฐฯ หรือ “Magnificent 7” สูญเสียมูลค่าตลาดรวมกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม โดย Nvidia และ Tesla เป็นผู้เสียหายหลักจากความกังวลเรื่องภาษีชิปเซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
แม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะปรับตัวลงอย่างรุนแรง แต่ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับการเติบโตของตลาดเฉพาะทางหรือได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบัน:
ในขณะเดียวกัน มีหุ้นหลายกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์ตลาดและปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัท:
ปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นในช่วงนี้มีดังนี้:
มุมมองต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นยังคงเป็นลบ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ระดับราคาปัจจุบันของหลายหุ้นได้สะท้อนความกังวลเหล่านี้ไปบางส่วนแล้ว ซึ่งอาจสร้างโอกาสในการเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองหาหุ้นคุณภาพที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง
นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์สงครามการค้าอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหลังจีนประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าที่มาจากสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 10 เมษายน 2568 นี้ และติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดในระยะสั้น
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (31 มีนาคม – 4 เมษายน 2568) ประสบกับความผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวของสินทรัพย์ดิจิทัลต่อปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ มูลค่ารวมของตลาดคริปโตเคอเรนซี่ทั่วโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว ซึ่งเป็นการปรับตัวลงที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายเดือน
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์นี้เผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก โดยดัชนีความกลัว (Fear & Greed Index) ตกสู่ระดับ 25 คะแนน สะท้อนภาวะ “กลัวสุดขีด” ของนักลงทุน ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคือการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรม 25% และรถยนต์ 20% เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ลงทุนคริปโตเคอเรนซี่เชิงสถาบัน (Crypto ETPs) เผชิญกับเงินไหลออกสุทธิ 876 ล้านดอลลาร์ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 โดยเฉพาะ Bitcoin ETPs ที่สูญเสียมูลค่า 756 ล้านดอลลาร์ สถาบันการเงินขนาดใหญ่อย่าง Fidelity และ BlackRock ระบุว่าแรงขายส่วนใหญ่มาจากกองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Funds) ที่ลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตลาดหุ้นมากขึ้น โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ที่ร่วงลง 8.7% และ 11.2% ตามลำดับ ส่งผลให้นักลงทุนลดปริมาณการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท รวมถึงคริปโตเคอเรนซี่ มูลค่าการซื้อขาย Bitcoin Futures บน CME ลดลง 35% สะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุนสถาบันในการเข้าซื้อขายในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
Bitcoin (BTC) มีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเริ่มสัปดาห์ด้วยการปรับตัวขึ้น 1.51% อยู่ที่ 82,718 ดอลลาร์ในวันที่ 1 เมษายน และสามารถทำจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่ 85,149 ดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 3.21%) ในวันที่ 2 เมษายน ก่อนที่ราคาจะเริ่มดิ่งลงอย่างรุนแรงหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ Bitcoin ร่วงหนักถึง 6.88% มาปิดที่ 77,763 ดอลลาร์ในวันที่ 4 เมษายน โดยในช่วงการซื้อขาย ราคาได้ลงไปทดสอบระดับต่ำสุดในรอบเดือนที่ 77,171 ดอลลาร์
จากมุมมองทางเทคนิค Bitcoin มีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 75,000 ดอลลาร์ ซึ่งหากสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ จะถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับแนวโน้มระยะยาวที่ยังคงเป็นขาขึ้น ในทางกลับกัน แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 85,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับจุดสูงสุดล่าสุดที่ทดสอบไม่สำเร็จ
Ethereum (ETH) มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับ Bitcoin โดยเริ่มสัปดาห์ด้วยการปรับตัวขึ้น 2.37% อยู่ที่ 1,826 ดอลลาร์ในวันที่ 1 เมษายน ก่อนที่จะดิ่งลงอย่างหนักถึง 13.08% สู่ระดับ 1,572 ดอลลาร์ในวันที่ 4 เมษายน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงที่รุนแรงกว่า Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญ
Ethereum ETPs มีเงินไหลออกสุทธิ 89 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้จะน้อยกว่า Bitcoin แต่เมื่อพิจารณาในสัดส่วนของมูลค่าตลาดแล้ว ถือว่ามีผลกระทบที่รุนแรงไม่แพ้กัน ความเปราะบางของ Ethereum อาจเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันกับบล็อกเชนคู่แข่งอย่าง Solana และ Avalanche ที่มีค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่ำกว่า
สกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน โดยเฉพาะ:
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความผันผวนในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีดังนี้:
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของ Bitcoin
จากมุมมองทางเทคนิค Bitcoin กำลังเคลื่อนไหวในกรอบขาลงระยะสั้น โดยสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง (Lower Highs, Lower Lows) ซึ่งเป็นลักษณะของแนวโน้มขาลง
ค่า RSI ของ Bitcoin อยู่ที่ระดับประมาณ 38 ซึ่งไม่ได้อยู่ในเขต Oversold อย่างชัดเจน แสดงว่าอาจมีการปรับฐานลงต่อได้อีก อย่างไรก็ตาม MACD ได้เริ่มแสดงสัญญาณการทำ Bullish Crossover ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบวกในระยะสั้น
แนวรับสำคัญของ Bitcoin อยู่ที่ 75,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับตัวขึ้นล่าสุดจาก 58,000 ดอลลาร์ไปยัง 85,000 ดอลลาร์ หากราคาหลุดระดับนี้ อาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไปที่ 70,000 ดอลลาร์ ในทางกลับกัน แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 80,000 ดอลลาร์ และ 85,000 ดอลลาร์
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของ Ethereum
Ethereum มีสถานการณ์ทางเทคนิคที่อ่อนแอกว่า Bitcoin โดยค่า RSI อยู่ที่ระดับ 33 ซึ่งเข้าใกล้เขต Oversold ที่ระดับ 30 แสดงถึงโอกาสในการเกิดการเด้งตัวเชิงเทคนิคในระยะสั้น
อัตราส่วน ETH/BTC ลดลงสู่ระดับ 0.0198 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 18 เดือน สะท้อนว่า Ethereum มีประสิทธิภาพการทำงานที่ด้อยกว่า Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา
แนวรับสำคัญของ Ethereum อยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์ และแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญอยู่ที่ 1,400 ดอลลาร์ หากไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1,500 ดอลลาร์ได้ อาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับที่ 1,350 ดอลลาร์ ในทางกลับกัน แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,700 ดอลลาร์ และ 1,850 ดอลลาร์
แม้ว่าตลาดคริปโตเคอเรนซี่จะเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น แต่มุมมองระยะยาวยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered คาดการณ์ว่า Bitcoin อาจฟื้นตัวสู่ 200,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2568 ขณะที่ Steno Research มองว่า Ethereum จะทำผลงานแซงหน้าในช่วงครึ่งหลังของปีด้วยอัตราส่วน ETH/BTC ที่ 0.06 (เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 0.02)
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น นักลงทุนควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
โดยสรุป ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับปัจจัยเศรษฐกิจโลกและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ การฟื้นตัวของตลาดในระยะสั้นถึงกลางจะขึ้นอยู่กับการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในขณะที่แนวโน้มระยะยาวยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นและการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันในตลาดคริปโตเคอเรนซี่
เมื่อมองไปข้างหน้าสู่สัปดาห์ที่จะถึง (7-11 เมษายน 2568) นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจยังคงอยู่ในตลาด โดยมีปัจจัยและเหตุการณ์สำคัญหลายประการที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์การเทรดได้อย่างเหมาะสมในสภาวะตลาดที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
สัปดาห์หน้ามีปัจจัยสำคัญหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าและนโยบายการเงิน:
ในสัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2568 มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่ควรติดตาม:
สำหรับตลาด Forex ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนควรพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้:
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง โดยมีกลยุทธ์การเทรดดังนี้:
ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มผันผวนในสัปดาห์หน้า โดยมีกลยุทธ์การเทรดดังนี้:
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่มีความผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมา โดยมีกลยุทธ์การเทรดสำหรับสัปดาห์หน้าดังนี้:
สัปดาห์ที่ผ่านมา (31 มีนาคม – 4 เมษายน 2568) เป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง จากหลากหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบพร้อมกัน โดยเฉพาะการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหม่ของสหรัฐฯ ที่มีผลบังคับใช้วันที่ 3 เมษายน 2568 ซึ่งได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสินทรัพย์ทุกประเภท บทสรุปนี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจภาพรวมของสถานการณ์ตลาดและเตรียมพร้อมสำหรับการเทรดในสัปดาห์ถัดไป
การเคลื่อนไหวของตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาสามารถสรุปได้ดังนี้:
ตลาดหุ้น: ดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรงสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก โดย S&P 500 และ Nasdaq Composite ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 8.7% และ 11.2% ตามลำดับ
ตลาดเงิน: เงินบาทไทยอ่อนค่าลงมาปิดที่ 34.18 บาทต่อดอลลาร์ แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 2 เดือนครึ่ง ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ปรับตัวลดลงประมาณ 0.8% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับ 3,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นราว 8% ในเดือนมีนาคม สะท้อนบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในยามวิกฤต ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงประมาณ 2.5% จากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่: มูลค่าตลาดลดลงกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว โดย Bitcoin ร่วงลงถึงระดับต่ำสุดในรอบเดือนที่ 77,171 ดอลลาร์ ก่อนฟื้นตัวมาปิดที่ 78,290 ดอลลาร์ ขณะที่ Ethereum ดิ่งลงสู่ 1,572 ดอลลาร์ สูญเสียมูลค่ากว่า 13%
ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นนี้ นักลงทุนควรระมัดระวังประเด็นต่อไปนี้:
1. ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ: ตลาดมีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันมากขึ้น (High Correlation) ทำให้ประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยงลดลง นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและอาจไม่เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน
2. สภาพคล่องที่ลดลง: ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง สภาพคล่องมักจะลดลง ส่งผลให้ Spread กว้างขึ้นและอาจเกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำอยู่แล้ว
3. ความไม่แน่นอนของนโยบาย: นโยบายการค้าและการเงินมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้การคาดการณ์ทิศทางตลาดเป็นไปได้ยาก นักลงทุนควรติดตามถ้อยแถลงจากผู้กำหนดนโยบายอย่างใกล้ชิดและพร้อมปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์
4. แรงเทขายทางเทคนิค: หากราคาสินทรัพย์หลุดระดับแนวรับสำคัญ อาจนำไปสู่แรงเทขายเพิ่มเติมจากการทำงานของระบบการเทรดอัตโนมัติและการเรียก Margin Call ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความผันผวนในตลาด
การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรพิจารณาแนวทางต่อไปนี้:
1. ลดขนาดการลงทุน (Position Sizing): ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การลดขนาดการลงทุนลงจะช่วยจำกัดความเสียหายหากตลาดเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ แนะนำให้ใช้เงินทุนไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตการลงทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
2. ตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม: การตั้ง Stop Loss ในระดับที่เหมาะสมจะช่วยจำกัดความเสียหายและป้องกันอารมณ์เข้ามามีส่วนในการตัดสินใจ ควรตั้ง Stop Loss ก่อนเริ่มการเทรดเสมอและไม่ควรย้ายระดับ Stop Loss เมื่อตลาดเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
3. กระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์และช่วงเวลา: ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดลงทุนในครั้งเดียวหรือในสินทรัพย์เดียว ควรกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลายประเภทที่มีความสัมพันธ์กันต่ำ และทยอยลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากการเข้าซื้อในจังหวะที่ไม่เหมาะสม
4. เพิ่มสัดส่วนเงินสดและสินทรัพย์ปลอดภัย: ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การถือครองเงินสดและสินทรัพย์ปลอดภัยในสัดส่วนที่สูงขึ้นจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมและเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในการเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาถึงระดับที่น่าสนใจ
5. ใช้การเทรดแบบมืออาชีพ: ไม่เทรดตามอารมณ์หรือข่าวลือ ควรมีแผนการเทรดที่ชัดเจนก่อนเข้าตลาด รวมถึงจุดเข้าซื้อ จุดทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไม่เปลี่ยนแปลงแผนเมื่ออยู่ในตลาดแล้ว และไม่พยายามเอาคืนความสูญเสียด้วยการเพิ่มความเสี่ยง
แม้ว่าในระยะสั้นตลาดอาจยังคงมีความผันผวนสูง แต่มุมมองระยะกลางถึงระยะยาวยังมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการ:
ตลาดหุ้น: ตลาดหุ้นอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว โดยเฉพาะหากความตึงเครียดทางการค้ายังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม ระดับราคาปัจจุบันของหลายหุ้นได้สะท้อนความกังวลไปบางส่วนแล้ว ซึ่งอาจสร้างโอกาสในการเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อย
ตลาดเงิน: ทิศทางของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ โดยเฉพาะเฟด จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าเงิน หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวจากผลกระทบของสงครามการค้า อาจเพิ่มแรงกดดันให้เฟดพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและหนุนค่าเงินตลาดเกิดใหม่รวมถึงเงินบาท
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำยังมีแนวโน้มที่ดีในระยะกลางถึงยาว ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ รวมถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจะมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่น้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ อาจยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่: แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง ทั้งการยอมรับของสถาบันการเงิน การพัฒนาเทคโนโลยี และการใช้งานจริงที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered ยังคงมั่นใจว่า Bitcoin อาจฟื้นตัวสู่ 200,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2568
ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ ความอดทนและวินัยในการเทรดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การบริหารความเสี่ยงที่ดีจะช่วยให้นักลงทุนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากและอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืน
นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้าอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ และรายงานการประชุม FOMC ซึ่งจะให้มุมมองเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต รวมถึงพัฒนาการของสงครามการค้าโลกที่อาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อตลาด
ความท้าทายในช่วงนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มีการวางแผนที่ดีและความอดทน โดยสรุปคือ “ลดขนาดการลงทุน ตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม และอย่าพยายามจับปลายยอด (Top) หรือก้นบึ้ง (Bottom) ของตลาด” เพราะความปลอดภัยของเงินทุนคือสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นนี้