หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-25 เมษายน 2025) เผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณขัดแย้งกัน และความไม่แน่นอนทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยหลักทั้ง 3 อัตรา ลง 25 basis points ในสัปดาห์นี้
ในสหรัฐอเมริกา นักลงทุนได้รับข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณผสม โดยในด้านหนึ่ง ตัวเลขคำสั่งซื้อสินค้าคงทนและยอดขายบ้านใหม่แข็งแกร่งเกินคาด แต่ในอีกด้านหนึ่ง ดัชนี PMI Composite ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจจาก Conference Board ลดลง 0.7% สะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนยังลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แสดงให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้บริโภคชาวอเมริกัน
ในตลาดการเงิน ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) มีการฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ แต่ยังคงอ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อมองในภาพรวม ลดลงถึง 4.86% ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้คู่เงิน EUR/USD มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะสั้น ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อาจอ่อนแอลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ยังคงแสดงความแข็งแกร่ง โดย Bitcoin ซื้อขายที่ระดับใกล้ $95,000 แสดงสัญญาณทางเทคนิคเชิงบวก มีโอกาสที่จะทดสอบระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ $100,000 ในอนาคตอันใกล้ ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 4.32% สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้
สัปดาห์หน้า (28 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2025) ตลาดการเงินโลกจะจับตามองการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ในวันที่ 30 เมษายน และรายงานการจ้างงานในวันที่ 2 พฤษภาคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดและนโยบายการเงินของ Fed ในระยะถัดไป นอกจากนี้ การเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐในแคนาดาที่จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 28 เมษายนอาจส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์แคนาดาและตลาดหุ้นแคนาดาอีกด้วย
ตลาดสกุลเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) มีการฟื้นตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ 99.471 ณ วันที่ 25 เมษายน 2025 เพิ่มขึ้น 0.09% จากวันก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว ดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าอย่างมาก ลดลง 4.86% ในช่วง 4 สัปดาห์ และลดลงถึง 6.24% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือ ดัชนี ICE U.S. Dollar ลดลงถึง 8% ในปี 2025 นับเป็นการเริ่มต้นปีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 40 ปีของดัชนีนี้
การอ่อนค่าของดอลลาร์เป็นผลมาจากปัจจัยหลักสองประการ ประการแรกคือความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งเกิดจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น ดัชนี PMI Composite ที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ลดลง 0.7% ประการที่สองคือความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่กำลังทวีความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว
ในส่วนของคู่เงินหลัก EUR/USD มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะสั้น โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ คู่เงินนี้มีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1.09 และแนวรับที่ระดับ 1.07 ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนควรจับตามองอย่างใกล้ชิด
ด้านคู่เงิน USD/JPY มีความผันผวนเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการเงินของญี่ปุ่น โดยเฉพาะหลังจากที่ภาคเอกชนญี่ปุ่นกลับมาเติบโตในเดือนเมษายน ตามข้อมูลจาก au Jibun Bank Flash Japan Composite PMI® ที่เพิ่มขึ้นเป็น 51.1 จาก 48.9 ในเดือนมีนาคม ซึ่งทำให้เยนญี่ปุ่นมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น
สำหรับสกุลเงินอื่นๆ เงินปอนด์เคลื่อนไหวในกรอบแคบเนื่องจากนักลงทุนรอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ
จากมุมมองทางเทคนิค ดัชนีดอลลาร์สหรัฐกำลังทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ซึ่งเป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยาและทางเทคนิค หากดัชนีสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยนี้ได้ อาจเป็นสัญญาณว่าการอ่อนค่าของดอลลาร์อาจชะลอตัวลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในระยะกลางยังคงเป็นขาลง
สำหรับคู่เงิน EUR/USD การวิเคราะห์ MACD แสดงให้เห็นว่าโมเมนตัมยังคงเป็นบวก แต่ RSI อยู่ใกล้ระดับซื้อมากเกินไป (Overbought) ที่ 70 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าอาจมีการพักฐานในระยะสั้นก่อนที่จะมีการปรับตัวขึ้นต่อไป นักลงทุนควรจับตาดูระดับ Fibonacci Retracement ที่ 38.2% และ 50% ซึ่งอาจเป็นจุดสนับสนุนในกรณีที่มีการปรับฐาน
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน ตลาดกำลังจับตาดูตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันที่ 30 เมษายน ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.4% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ลดลงจาก 2.4% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าที่คาด อาจส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงเพิ่มเติม และหนุนให้ EUR/USD ปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1.09
นอกจากนี้ รายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ (Nonfarm Payrolls) ที่จะประกาศในวันที่ 2 พฤษภาคม จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ คาดว่าตัวเลขการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่ง ลดลงจาก 228,000 ในเดือนมีนาคม หากตัวเลขออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด อาจเพิ่มความกดดันต่อ Fed ให้เร่งลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินดอลลาร์
สำหรับสัปดาห์หน้า เรามองว่าดอลลาร์สหรัฐอาจยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน โดยเฉพาะหากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแอ ซึ่งอาจส่งผลให้คู่เงิน EUR/USD มีโอกาสทดสอบระดับ 1.09 ในขณะที่ USD/JPY อาจปรับตัวลงสู่ระดับ 150 หากเงินเยนได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนระยะสั้น:
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว:
ปัจจัยเสี่ยงที่ควรติดตาม:
ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงมาอยู่ที่ $62.27 ต่อบาร์เรล ณ วันที่ 25 เมษายน 2025 คิดเป็นการลดลง 10.22% จากต้นเดือน ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ $66.12 ต่อบาร์เรล ลดลง 9.13% จากต้นเดือนเช่นกัน การปรับตัวลงนี้มาจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อาจอ่อนแอลง อันเนื่องมาจากสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกและความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาน้ำมันคือข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะดัชนี PMI ที่ลดลงในทั้งสองภูมิภาค นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกยังคงเป็นปัจจัยกดดันอุปสงค์ของตลาดน้ำมัน
ในด้านอุปทาน กลุ่ม OPEC+ ยังคงควบคุมกำลังการผลิตอย่างเข้มงวด แต่ก็ไม่สามารถชดเชยความกังวลด้านอุปสงค์ได้ทั้งหมด มีรายงานว่าซาอุดีอาระเบียกำลังพิจารณาเรื่องการขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจเพิ่มเติมในครึ่งปีหลังของปี 2025 เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค น้ำมัน WTI มีแนวโน้มเป็นขาลงในระยะสั้น โดยมีแนวรับสำคัญที่ $60 ต่อบาร์เรล และหากทะลุระดับนี้ลงไป ราคาอาจลดลงไปทดสอบระดับ $58 ต่อบาร์เรล ในขณะที่แนวต้านสำคัญอยู่ที่ $65 และ $68 ต่อบาร์เรล
ในขณะที่ตลาดน้ำมันเผชิญกับแรงกดดัน ทองคำกลับแสดงความแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาทองคำสปอตอยู่ที่ประมาณ $3280 ต่อออนซ์ ณ วันที่ 25 เมษายน 2025 เพิ่มขึ้นราว 1.5% ในสัปดาห์นี้ และทำสถิติสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์
ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงในหลายประเทศ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
นักลงทุนสถาบันและธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเพิ่มการถือครองทองคำในพอร์ตการลงทุน โดยมีรายงานว่าธนาคารกลางประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ได้เพิ่มการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2025
กลุ่มโลหะอุตสาหกรรมมีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันในสัปดาห์นี้ โดยทองแดงปรับตัวลงเล็กน้อยเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมที่อาจชะลอตัวลง แต่ราคายังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน ด้วยแรงหนุนจากแนวโน้มการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด
นิกเกิลและลิเธียมมีแนวโน้มอ่อนแอลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์จากอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน
สินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี และถั่วเหลือง มีความผันผวนในสัปดาห์นี้ โดยได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศในพื้นที่เพาะปลูกสำคัญและความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้า ราคาน้ำตาลปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลผลิตในบราซิลซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดน้ำมันและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีความน่าสนใจในสัปดาห์นี้ โดยปกติแล้ว การอ่อนค่าของดอลลาร์จะส่งผลบวกต่อราคาน้ำมัน แต่ในสัปดาห์นี้ ความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ทั่วโลกมีอิทธิพลเหนือกว่าปัจจัยค่าเงิน ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลงแม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าก็ตาม
ในทางกลับกัน ทองคำมีความสัมพันธ์เชิงลบกับดอลลาร์สหรัฐตามปกติ โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์ช่วยหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ทองคำยังมีความสัมพันธ์เชิงลบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง (Real Yield) ซึ่งลดลงในสัปดาห์นี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและความคาดหวังว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ย
สินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน เช่น ทองแดง ลิเธียม และโคบอลต์ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับตลาดหุ้นเทคโนโลยีและยานยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น การเคลื่อนไหวของบริษัทในกลุ่มนี้ เช่น Tesla และบริษัทผลิตแบตเตอรี่ จึงเป็นตัวชี้นำสำคัญสำหรับแนวโน้มราคาโลหะเหล่านี้
สำหรับตลาดน้ำมันในสัปดาห์หน้า เรามีมุมมองว่าราคาอาจยังคงมีแนวโน้มเป็นขาลงในระยะสั้น เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม หากมีสัญญาณของการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมจากกลุ่ม OPEC+ หรือความตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรง ราคาน้ำมันอาจได้รับแรงหนุน
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนในตลาดน้ำมัน:
สำหรับทองคำ แนวโน้มยังคงเป็นบวกในระยะกลางถึงระยะยาว โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นักลงทุนควรพิจารณาการเข้าซื้อในจังหวะที่ราคาปรับตัวลง โดยเฉพาะบริเวณแนวรับสำคัญที่ $3285 และ $3280 ต่อออนซ์
ในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เรามองว่าโลหะที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานยังคงมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว แม้ว่าอาจมีความผันผวนในระยะสั้น นักลงทุนที่มองการลงทุนระยะยาวอาจพิจารณาการทยอยเข้าซื้อในจังหวะที่ราคาปรับตัวลง
ปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามในสัปดาห์หน้าคือตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ และรายงานการจ้างงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และความเชื่อมั่นในตลาดโลก รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ การประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) และธนาคารกลางอื่นๆ ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เช่นกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ กับการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา การที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยหลักทั้ง 3 อัตรา ลง 25 basis points ส่งผลให้ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจดูเหมือนขัดกับทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยมักจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากตลาดได้คาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ไว้ล่วงหน้าแล้ว (Price in) และการให้เหตุผลของ ECB ที่ว่ากระบวนการลดเงินเฟ้อกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น สร้างความเชื่อมั่นต่อตลาด ในขณะเดียวกัน ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่แสดงสัญญาณการชะลอตัว เช่น ดัชนี PMI ที่ลดลงและดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ได้เพิ่มความคาดหวังว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินดอลลาร์
การลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี จาก 4.40% เป็น 4.32% สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed โดยปกติแล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงมักส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นเติบโต (Growth Stocks) และบริษัทเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม หากอัตราผลตอบแทนลดลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นอาจได้รับผลกระทบในทางลบได้เช่นกัน
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ประกาศในสัปดาห์นี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะดัชนี PMI ที่ลดลงของสหรัฐฯ และยุโรปในเดือนเมษายน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคบริการ สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางต่างๆ จะดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ในทางกลับกัน ตัวเลขคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นถึง 9.2% ในเดือนมีนาคม สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในบางภาคส่วนของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการขนส่งและการผลิตเครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 139% ข้อมูลที่ขัดแย้งกันนี้สร้างความสับสนให้กับนักลงทุนและเพิ่มความผันผวนในตลาด
ในญี่ปุ่น ภาคเอกชนกลับมาเติบโตในเดือนเมษายน ตามข้อมูลจาก au Jibun Bank Flash Japan Composite PMI® ที่เพิ่มขึ้นเป็น 51.1 จาก 48.9 ในเดือนมีนาคม ซึ่งแตกต่างจากแนวโน้มของสหรัฐฯ และยุโรป ส่งผลให้เงินเยนญี่ปุ่นมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และอาจส่งผลต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในอนาคต
การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่ผ่านมา โดยลดลงถึง 8% ในปี 2025 ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วไปแล้ว การอ่อนค่าของดอลลาร์มักส่งผลบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์ เช่น น้ำมันและทองคำ รวมถึงตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่งมักมีหนี้ที่ออกในสกุลเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ เราเห็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ กล่าวคือ แม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่า แต่ราคาน้ำมันกลับปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยด้านอุปสงค์กำลังมีอิทธิพลเหนือกว่าปัจจัยด้านค่าเงิน ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้าต่ออุปสงค์น้ำมันได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลงแม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าก็ตาม
ในทางกลับกัน ทองคำยังคงมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับดอลลาร์สหรัฐตามปกติ โดยราคาทองคำได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของดอลลาร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำสถิติสูงสุดใหม่
สำหรับตลาดคริปโตเคอเรนซี่ โดยเฉพาะ Bitcoin มักจะมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับดัชนีดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน การอ่อนค่าของดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาได้ให้แรงสนับสนุนแก่ราคา Bitcoin ซึ่งปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับใกล้ $95,000 และมีโอกาสที่จะทดสอบระดับ $100,000 ในอนาคตอันใกล้
การลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี จาก 4.40% เป็น 4.32% แสดงถึงการไหลเข้าของเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่อ่อนแอลง
โดยทั่วไปแล้ว การลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงและการเพิ่มมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นอาจไม่ได้รับประโยชน์ และอาจปรับตัวลงตามความกังวลดังกล่าว
ในสถานการณ์ปัจจุบัน เรากำลังเห็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น โดยตลาดหุ้นยังคงทรงตัวหรือปรับตัวขึ้นเล็กน้อยแม้ว่าจะมีสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเป็นเพราะนักลงทุนกำลังคาดการณ์ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจก่อนที่จะเกิดการถดถอยที่รุนแรง
ความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงเป็นหนึ่งในความเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกในช่วงเวลาอันใกล้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หากมีการใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม เช่น การขึ้นภาษีนำเข้า อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก เพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ และลดการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะหากตัวเลข GDP ไตรมาสแรกที่จะประกาศในวันที่ 30 เมษายนออกมาต่ำกว่าที่คาด (ต่ำกว่า 0.4%) อาจส่งผลให้ความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น และกระทบตลาดการเงินโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ในส่วนของความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน หากธนาคารกลางต่างๆ เช่น Fed ปรับเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะหากเงินเฟ้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง อาจทำให้ตลาดต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบวกที่อาจสนับสนุนตลาดในระยะถัดไป เช่น การเติบโตที่แข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ AI และ Cloud Computing ซึ่งคาดว่าจะมี EPS เติบโตถึง 7.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ อาจสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินในระยะกลางถึงระยะยาว
สำหรับนักลงทุน การบริหารความเสี่ยงและการกระจายการลงทุนยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นนี้ การติดตามความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ อย่างใกล้ชิดจะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสม
ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-25 เมษายน 2025) แสดงให้เห็นถึงความผันผวนและความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ดัชนี S&P 500 ปิดสัปดาห์ที่ระดับ 5,475 ลดลง 0.8% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ปิดที่ 17,285 ลดลง 1.2% สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทเทคโนโลยี ส่วนดัชนี Dow Jones Industrial Average ปิดที่ 38,680 ลดลงเพียง 0.5% แสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนของเงินลงทุนไปสู่หุ้นที่มีความผันผวนต่ำกว่าและจ่ายเงินปันผลสูง
ในยุโรป ดัชนี STOXX Europe 600 ปิดที่ 518 ลดลง 0.7% ส่วนดัชนี DAX ของเยอรมนีปิดที่ 18,175 ลดลง 0.9% และดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสปิดที่ 8,120 ลดลง 0.6% ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในยุโรปและผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นยุโรป
ในเอเชีย ตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน โดยดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปิดที่ 38,750 เพิ่มขึ้น 1.2% ได้รับแรงหนุนจากข้อมูล PMI ที่ดีขึ้นและการอ่อนค่าของเงินเยน ในขณะที่ดัชนี Shanghai Composite ของจีนปิดที่ 3,180 ลดลง 1.5% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางการค้า
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้คือการประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียน โดยกว่า 100 บริษัทใน S&P 500 (คิดเป็น 22% ขององค์ประกอบดัชนี) รายงานผลประกอบการในช่วงนี้ บริษัทส่วนใหญ่รายงานผลกำไรที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่หลายบริษัทแสดงความระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตในอนาคตเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
กลุ่มเทคโนโลยีมีความผันผวนสูงในสัปดาห์นี้ โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง แต่นักลงทุนเริ่มกังวลว่าการเติบโตอาจชะลอตัวลงในอนาคต บริษัทอย่าง NVIDIA และ Microsoft ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนเนื่องจากมีส่วนแบ่งการตลาดที่แข็งแกร่งในด้าน AI และ Cloud Computing แต่การประเมินมูลค่าที่สูงทำให้หุ้นมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังของตลาด
กลุ่มพลังงานเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยลดลงประมาณ 2.5% ตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน บริษัทน้ำมันรายใหญ่เช่น ExxonMobil และ Chevron ต่างได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อาจชะลอตัวลงในอนาคต อย่างไรก็ตาม บริษัทพลังงานทดแทนกลับมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า เนื่องจากนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด
กลุ่มการเงินมีการเคลื่อนไหวที่ผสมผสาน โดยธนาคารขนาดใหญ่รายงานผลกำไรที่แข็งแกร่งจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีการเพิ่มสำรองเพื่อรองรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต หากเศรษฐกิจชะลอตัวลง นักลงทุนยังคงจับตาดูทิศทางของอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินของ Fed ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร
กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น (Consumer Staples) มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าตลาดโดยรวม สะท้อนให้เห็นถึงการหมุนเวียนของเงินลงทุนไปสู่หุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอน บริษัทในกลุ่มนี้ยังคงสามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ดี แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อาจลดลง
บริษัท Tesla (TSLA) รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย แต่ราคาหุ้นยังคงปรับตัวลงประมาณ 3% ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และการขยายกำลังการผลิตที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว
บริษัท Apple (AAPL) มีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบในสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนรอการประกาศผลประกอบการในสัปดาห์หน้า ความคาดหวังเกี่ยวกับยอดขาย iPhone ที่อาจชะลอตัวลงในตลาดจีนเป็นประเด็นที่นักลงทุนจับตามอง แต่การพัฒนาในด้าน AI และบริการยังคงเป็นปัจจัยบวกสำหรับบริษัท
บริษัท Amazon (AMZN) ปรับตัวขึ้นประมาณ 1% ในสัปดาห์นี้ ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเกี่ยวกับการเติบโตของธุรกิจ Cloud Computing (AWS) และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าบริษัทจะรายงานผลกำไรที่แข็งแกร่งในสัปดาห์หน้า แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ตลาดหุ้นไทย (SET) ปิดที่ 1,425 จุด ลดลง 0.6% ในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ กลุ่มธนาคารและพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักมากในดัชนีมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ ในขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวและการแพทย์ยังคงได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและความต้องการบริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินเยนและข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังคงเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางการค้า ตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์
ในสัปดาห์หน้า (28 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2025) นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ได้แก่:
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้น เรามีมุมมองว่าความผันผวนอาจยังคงมีอยู่สูง โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศผลประกอบการบริษัทอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความสามารถในการทำกำไรสูง และมีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง
สำหรับการกระจายความเสี่ยง นักลงทุนอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม Defensive เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น สาธารณูปโภค และสุขภาพ ซึ่งมักมีความผันผวนต่ำกว่าและมีความสามารถในการรักษาระดับกำไรในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงและมีการเติบโตที่มั่นคงอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในสภาวะตลาดปัจจุบัน
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงความแข็งแกร่งท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินโลก โดย Bitcoin (BTC) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด มีการซื้อขายที่ประมาณ $94,466 ณ วันที่ 25 เมษายน 2025 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.01820% จากการปิดครั้งก่อน โดยมีระดับสูงสุดในวันที่ $94,859 และต่ำสุดในวันที่ $92,700
Bitcoin มีแนวโน้มเป็นบวกในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยการวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงสัญญาณที่น่าสนใจหลายประการ ดัชนี Relative Strength Index (RSI) อยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงซื้อที่ยังมีต่อเนื่อง และราคาได้ทะลุขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกในระยะยาว นอกจากนี้ การวิเคราะห์ MACD (Moving Average Convergence Divergence) ยังแสดงสัญญาณซื้อ โดยเส้น MACD อยู่เหนือเส้นสัญญาณ
ระดับแนวต้านสำคัญสำหรับ Bitcoin อยู่ที่ $100,000 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญ หากสามารถทะลุระดับนี้ไปได้ อาจมีเป้าหมายที่ $107,000 ตามการวิเคราะห์ Fibonacci Extension ในขณะที่แนวรับสำคัญอยู่ที่ $92,000 และ $90,000 ซึ่งตรงกับระดับ Fibonacci Retracement ที่ 38.2% และ 50% จากการปรับตัวขึ้นครั้งล่าสุด
ปริมาณการซื้อขาย Bitcoin ในตลาดหลักยังคงอยู่ในระดับสูง แสดงถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ซึ่งได้ดึงดูดเงินลงทุนจำนวนมากเข้าสู่ตลาดคริปโต
ตลาด Altcoin มีการเคลื่อนไหวที่ผสมผสานในสัปดาห์นี้ โดย Ethereum (ETH) ซึ่งเป็น Altcoin ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด ซื้อขายที่ประมาณ $3,850 เพิ่มขึ้น 2.3% ในสัปดาห์นี้ Ethereum ยังคงได้รับประโยชน์จากการอัปเกรดเครือข่ายที่ผ่านมา ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม นอกจากนี้ ความคาดหวังเกี่ยวกับการอนุมัติกองทุน Ethereum ETF ในสหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนราคา
Solana (SOL) มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นกว่า โดยเพิ่มขึ้น 4.5% ในสัปดาห์นี้ มาอยู่ที่ประมาณ $148 ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของระบบนิเวศบนเครือข่าย Solana โดยเฉพาะในส่วนของ DeFi และ NFT ในขณะที่ Cardano (ADA) และ Polkadot (DOT) มีการเคลื่อนไหวในแดนลบ ลดลง 2.1% และ 1.8% ตามลำดับ
ในส่วนของตลาด DeFi (Decentralized Finance) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่ารวมของสินทรัพย์ที่ล็อค (Total Value Locked, TVL) ในโปรโตคอล DeFi เพิ่มขึ้น 5.2% ในสัปดาห์นี้ มาอยู่ที่ประมาณ $280 พันล้าน โปรโตคอลการให้ยืมและกู้ยืม เช่น Aave และ Compound, รวมถึง Decentralized Exchanges (DEXs) เช่น Uniswap และ SushiSwap ยังคงเป็นผู้นำในตลาด DeFi
ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนตลาดคริปโตในช่วงนี้มีหลายประการ ประการแรกคือการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงถึง 8% ในปี 2025 การอ่อนค่าของสกุลเงินหลักมักส่งผลบวกต่อราคาสินทรัพย์ทางเลือก เช่น Bitcoin ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” และเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อ
ประการที่สองคือการเติบโตของการยอมรับคริปโตเคอเรนซี่ในระบบการเงินกระแสหลัก โดยมีบริษัทและสถาบันการเงินขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้นที่เริ่มลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่หรือนำเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ การที่สถาบันการเงินใหญ่ๆ เช่น Goldman Sachs, Morgan Stanley, และ BlackRock เข้ามามีบทบาทในตลาดคริปโตมากขึ้น ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและสภาพคล่องให้กับตลาด
ประการที่สามคือความก้าวหน้าในด้านกฎระเบียบ แม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนในหลายประเทศ แต่หลายประเทศเริ่มมีการออกกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนมากขึ้นสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ในด้านของอารมณ์ตลาด ดัชนี Fear & Greed Index สำหรับคริปโตอยู่ในระดับ “Greed” ที่ 72 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 65 คะแนนในสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในตลาด อย่างไรก็ตาม ระดับ Greed ที่สูงเกินไปอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงของการปรับฐานในระยะสั้น นักลงทุนควรระมัดระวังและไม่ลงทุนด้วยอารมณ์หรือ FOMO (Fear of Missing Out)
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดคริปโตกับตลาดการเงินอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในช่วงที่ผ่านมา โดยปกติแล้ว Bitcoin มักจะมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) และมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่น หุ้นเทคโนโลยี
ในสัปดาห์นี้ เราสังเกตเห็นว่า Bitcoin ยังคงมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับดอลลาร์สหรัฐตามปกติ โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์ช่วยหนุนราคา Bitcoin อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดย Bitcoin แสดงความแข็งแกร่งมากกว่าดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ซึ่งปรับตัวลงในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ เรายังเห็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่าง Bitcoin กับทองคำ โดยทั้งสองสินทรัพย์ต่างปรับตัวขึ้นในสัปดาห์นี้ สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนอาจมองทั้ง Bitcoin และทองคำเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่าง Bitcoin กับสินทรัพย์ต่างๆ ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา:
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์หน้าและช่วงเวลาถัดไป เรามีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดคริปโตในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับ Bitcoin และ Ethereum ซึ่งมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินมากขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามในสัปดาห์หน้าได้แก่:
สำหรับ Bitcoin เรามองว่ามีโอกาสทดสอบระดับ $100,000 ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยเฉพาะหากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแอและดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับจิตวิทยาสำคัญนี้
สำหรับ Ethereum และ Altcoin อื่นๆ แนวโน้มจะขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของแต่ละโครงการ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี การยอมรับในระบบนิเวศคริปโต และความคืบหน้าในการนำไปใช้งานจริง นักลงทุนควรทำวิจัยอย่างละเอียดและเลือกลงทุนในโครงการที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทีมงานที่มีความสามารถ และมีการใช้งานจริงที่ชัดเจน
ในภาพรวม ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ยังคงเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่แนวโน้มในระยะยาวยังคงเป็นบวก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการเพิ่มขึ้นของการยอมรับในระบบการเงินกระแสหลัก การลงทุนจากสถาบัน และการพัฒนานวัตกรรมในระบบนิเวศคริปโต
สัปดาห์หน้า (28 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2025) นับเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับตลาดการเงินโลก เนื่องจากมีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับปัจจัยต่อไปนี้เป็นพิเศษ
ประการแรก การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ในวันที่ 30 เมษายน จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลาดคาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวเพียง 0.4% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งลดลงอย่างมากจาก 2.4% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าที่คาด อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงในระยะสั้น ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเพิ่มเติม และเพิ่มความคาดหวังว่า Fed จะเร่งลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่วางแผนไว้
ประการที่สอง รายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ (Nonfarm Payrolls) ที่จะประกาศในวันที่ 2 พฤษภาคม จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับตลาดแรงงานสหรัฐฯ คาดว่าตัวเลขการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่ง ลดลงอย่างมากจาก 228,000 ในเดือนมีนาคม หากตัวเลขออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง
ประการที่สาม การประกาศผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Apple (AAPL), Amazon (AMZN) และ Microsoft (MSFT) ซึ่งคาดว่าจะมี EPS รวมเติบโต 7.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาดหุ้นและความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม
ประการที่สี่ การเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐในแคนาดาที่จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 28 เมษายน อาจส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์แคนาดาและตลาดหุ้นแคนาดา โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายพลังงานและการค้ากับสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับภาษีสินค้าเทคโนโลยีและแร่หายาก ยังคงเป็นปัจจัยความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์ทวีความรุนแรง อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและความเชื่อมั่นในตลาด
ในตลาดสกุลเงิน ดอลลาร์สหรัฐอาจยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะหากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแอ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) อาจยังคงมีแนวโน้มเป็นขาลงในระยะสั้น โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 98.50 และ 97.80
คู่เงิน EUR/USD มีโอกาสทดสอบระดับ 1.09 หากตัวเลข GDP สหรัฐฯ ต่ำกว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังการเทรดในช่วงที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เนื่องจากอาจมีความผันผวนสูง
สำหรับคู่เงิน USD/JPY อาจมีแนวโน้มอ่อนตัวลงสู่ระดับ 150 เนื่องจากเงินเยนอาจได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นและนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ)
คู่เงิน GBP/USD และ AUD/USD อาจมีการเคลื่อนไหวตามทิศทางของดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก โดย GBP/USD อาจทดสอบระดับ 1.28 และ AUD/USD อาจทดสอบระดับ 0.68 หากดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่า
ราคาน้ำมันอาจยังคงมีแนวโน้มเป็นขาลงในระยะสั้น เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก น้ำมันดิบ WTI มีแนวรับสำคัญที่ $60 ต่อบาร์เรล และหากทะลุระดับนี้ลงไป อาจทดสอบระดับ $58 ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม หากมีสัญญาณของการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมจากกลุ่ม OPEC+ หรือความตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรง ราคาน้ำมันอาจได้รับแรงหนุน
ทองคำมีแนวโน้มเป็นบวกในระยะกลางถึงระยะยาว โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ราคาทองคำอาจทดสอบระดับ $2,400 และ $2,450 ต่อออนซ์ในสัปดาห์หน้า โดยมีแนวรับสำคัญที่ $2,300 และ $2,250 ต่อออนซ์
โลหะอุตสาหกรรม เช่น ทองแดงและอลูมิเนียม อาจมีความผันผวนสูงในสัปดาห์หน้า โดยราคาจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีน รวมถึงความคืบหน้าในประเด็นความตึงเครียดทางการค้า
Bitcoin มีโอกาสทดสอบระดับ $100,000 ในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะหากตัวเลข GDP สหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอและดอลลาร์ยังคงอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับจิตวิทยาสำคัญนี้ โดยแนวรับสำคัญอยู่ที่ $92,000 และ $90,000
Ethereum และ Altcoin อื่นๆ มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามทิศทางของ Bitcoin แต่อาจมีความผันผวนสูงกว่า นักลงทุนควรติดตามพัฒนาการเฉพาะของแต่ละโครงการและความคืบหน้าในการนำไปใช้งานจริง
ในการวางแผนการลงทุนสำหรับสัปดาห์หน้าและช่วงเวลาถัดไป นักลงทุนควรคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ดังนี้
การบริหารความเสี่ยงและการกระจายการลงทุนยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนและความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ นักลงทุนควรใช้ Stop Loss ทุกครั้งและไม่ควรลงทุนด้วยเงินจำนวนมากเกินไปในสินทรัพย์เดียว รวมถึงติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้ทันต่อสถานการณ์