Bitcoin แตะระดับ 94,000 ดอลลาร์ ท่ามกลางการไหลเข้าของ ETF และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ

บทนำและภาพรวมตลาด

ตลาดคริปโตเคอเรนซีในสัปดาห์นี้ (28 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2025) กำลังเผชิญกับความท้าทายท่ามกลางปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่ซับซ้อนและความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดย Bitcoin ยังคงแสดงความแข็งแกร่งที่ระดับ 94,000 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่า 11% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดในขณะนี้คือกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ของ Bitcoin อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการไหลเข้าที่บันทึกไว้เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่สูงถึง 1.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยรายวันในปี 2025 ถึง 500 เท่า นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจกับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ดัชนี Core PCE Prices และรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร

ในส่วนของ Altcoin เราเห็นผลการดำเนินงานที่หลากหลาย โดย XRP เป็นผู้นำในการเติบโตของเหรียญหลัก เพิ่มขึ้นประมาณ 3-7% และมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดซื้อขาย ProShares ETF ที่ติดตาม XRP Futures ในวันที่ 30 เมษายนนี้ ในขณะที่ Monero (XMR) โดดเด่นด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 40% ในช่วงเวลาสั้นๆ พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจาก 50 ล้านดอลลาร์เป็นมากกว่า 220 ล้านดอลลาร์ภายใน 24 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม Ethereum ยังคงซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์และไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของตลาดเท่าที่ควร สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในความต้องการระหว่าง Bitcoin และ Ethereum ในปัจจุบัน โดยอัตราส่วน ETH/BTC ได้ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี

การวิเคราะห์ตลาดคริปโตเชิงลึก

2.1 ภาวะตลาด Bitcoin และปัจจัยขับเคลื่อน

ราคา Bitcoin ณ วันที่ 28 เมษายน 2025 ทรงตัวที่ระดับประมาณ 94,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1-0.7% ในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากจุดต่ำสุดในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยหากพิจารณาในบริบทของตลาดไทย ราคา Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 3,122,652 บาท (93,111 เหรียญสหรัฐ) ตามข้อมูลล่าสุด

กลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวของ Bitcoin คือกระแสเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF อย่างต่อเนื่อง โดย ETF ของสหรัฐฯ มียอดสุทธิกว่า 3.1 พันล้านดอลลาร์ในเพียง 5 วัน ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนักลงทุนสถาบัน ปรากฏการณ์นี้เป็นการยืนยันว่าแม้ในสภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในฐานะทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยง

ในมุมมองทางเทคนิค Bitcoin มีแนวรับที่สำคัญที่ระดับ 87,305 ดอลลาร์ และมีแนวต้านที่ 98,505 ดอลลาร์ หากราคาสามารถทะลุระดับแนวต้านนี้ได้ จะเป็นสัญญาณยืนยันการเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น โดยมีเป้าหมายที่อาจสูงถึง 125,605 ดอลลาร์ สอดคล้องกับโมเดล “Power Law” ที่คาดการณ์ว่า Bitcoin จะไปถึงช่วงราคา 130,000-200,000 ดอลลาร์ภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2025

2.2 ความท้าทายของ Ethereum และภาวะตลาด Altcoin

แม้ว่า Bitcoin จะแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง แต่ Ethereum กลับประสบกับความท้าทายในการสร้างแรงส่งขึ้น โดยราคายังคงซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์ อัตราส่วน ETH/BTC ที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในความต้องการระหว่างสินทรัพย์ทั้งสอง โดยมีสาเหตุหลักมาจากกระแสเงินทุนไหลเข้า ETF ของ Ethereum ที่ต่ำกว่ามาก

ในส่วนของ Altcoin อื่นๆ XRP แสดงผลการดำเนินงานที่น่าสนใจด้วยการเพิ่มขึ้น 3-7% ซึ่งอาจได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดซื้อขาย ProShares ETF ที่ติดตาม XRP Futures ในวันที่ 30 เมษายนนี้ ในขณะที่ Monero (XMR) เป็นเหรียญที่โดดเด่นที่สุดด้วยการพุ่งขึ้นกว่า 40% ในช่วงเวลาสั้นๆ พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ตลาด Altcoin โดยรวมประสบกับความท้าทาย โดยมูลค่าตลาดลดลงอย่างมากจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม 2024 เหลือเพียง 583 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงการไหลออกของเงินทุนจากเหรียญขนาดเล็กไปสู่ Bitcoin ในช่วงที่ตลาดเผชิญกับความไม่แน่นอน

2.3 ปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญที่จะส่งผลต่อตลาดในสัปดาห์นี้

สัปดาห์นี้มีข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่เทรดเดอร์ควรติดตามอย่างใกล้ชิด:

วันอังคาร (29 เมษายน 2025)

• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค: คาดการณ์ที่ระดับ 87.4 ซึ่งต่ำกว่าค่า 92.9 ในเดือนมีนาคม สะท้อนถึงมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังเกี่ยวกับเศรษฐกิจ
• ข้อมูล JOLTS Job Openings: จะแสดงถึงความต้องการในตลาดแรงงานและอาจส่งผลต่อนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ Fed

วันพุธ (30 เมษายน 2025)

• ข้อมูล GDP ไตรมาส 1 ของสหรัฐฯ: คาดการณ์ที่ 0.4% (QoQ) ซึ่งต่ำกว่า 2.4% ในไตรมาส 4 ปี 2024 หากต่ำกว่าคาดการณ์อาจเพิ่มโอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed
• ดัชนี Core PCE Prices: ตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ หากมีค่าต่ำกว่าคาดการณ์อาจส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโต
• การเปิดซื้อขาย XRP ETF: ProShares ETF ที่ติดตาม XRP Futures จะเริ่มซื้อขายในวันนี้ ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อราคา XRP

วันพฤหัสบดี (1 พฤษภาคม 2025)

• รายงานการขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์: คาดการณ์ที่ 224,000 ราย
• ดัชนี ISM Manufacturing PMI: คาดการณ์ที่ 48.0 ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับ 50 ที่บ่งชี้การขยายตัว
• หยุดวันแรงงานในหลายประเทศ: ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายลดลง

วันศุกร์ (2 พฤษภาคม 2025)

• รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls): ข้อมูลสำคัญที่แสดงถึงสุขภาพของตลาดแรงงานสหรัฐฯ
• อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ: จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน

ข้อมูลเศรษฐกิจเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางของตลาดคริปโต เนื่องจากจะส่งผลต่อความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของ Fed ซึ่งมีการประชุมในวันที่ 6-7 พฤษภาคม 2025 หากข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าคาดการณ์ อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึง Bitcoin และคริปโตอื่นๆ

2.4 ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดและปัจจัยเชิงโครงสร้าง

ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin Dominance กับผลการดำเนินงานของ Altcoin เป็นประเด็นสำคัญที่เทรดเดอร์ควรพิจารณา ในปัจจุบัน Bitcoin Dominance อยู่ในระดับสูง สะท้อนให้เห็นถึงการไหลของเงินทุนเข้าสู่ Bitcoin แทนที่จะเป็น Altcoin ในช่วงที่ตลาดเผชิญกับความไม่แน่นอน

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนและนโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินและคริปโต การผ่อนคลายนโยบายภาษีสำหรับอุตสาหกรรมคริปโตโดยรัฐบาลทรัมป์อาจช่วยสนับสนุนราคา Bitcoin และคริปโตอื่นๆ แต่ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่เกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้น

ปริมาณการซื้อขายในตลาด Crypto ที่ลดลงอย่างมากถึง 74% นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 ยังเป็นสัญญาณที่น่ากังวล โดยเดือนเมษายน 2025 เผชิญกับปริมาณการซื้อขายที่น้อยที่สุดในรอบหลายปี สะท้อนถึงการระมัดระวังของนักลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง

2.5 โอกาสและความเสี่ยงในการลงทุน

โอกาสในการลงทุน:

• Bitcoin ยังคงมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาวตามโมเดล “Power Law” ที่คาดการณ์ราคาสูงถึง 130,000-200,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2025
• XRP มีโอกาสในการเติบโตจากการเปิดซื้อขาย ProShares ETF และการอนุมัติกองทุน ETF อื่นๆ ในอนาคต
• อัตราส่วน ETH/BTC ที่อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เชื่อว่า Ethereum จะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

ความเสี่ยงในการลงทุน:

• ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดอาจลดโอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งอาจส่งผลลบต่อตลาดคริปโต
• ความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ-จีนอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงคริปโต
• ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงอาจนำไปสู่ความผันผวนที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่ม Altcoin

บทสรุปและกลยุทธ์การเทรด

ตลาดคริปโตในสัปดาห์นี้ (28 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2025) จะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะรายงาน GDP ไตรมาสแรก ดัชนี PCE และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งจะส่งผลต่อความคาดหวังในการปรับอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในการประชุมวันที่ 6-7 พฤษภาคม

Bitcoin ยังคงแสดงความแข็งแกร่งที่ระดับเกือบ 94,000 ดอลลาร์ แม้จะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้า ETF ที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ Ethereum ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ไม่ดีนัก เหรียญอื่นๆ อย่าง XRP และ Monero กลับแสดงสัญญาณการเติบโตที่น่าสนใจ

กลยุทธ์การเทรดสำหรับเทรดเดอร์แต่ละประเภท

สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น:

• พิจารณาการเทรด Bitcoin ในกรอบราคาระหว่างแนวรับที่ 87,305 ดอลลาร์และแนวต้านที่ 98,505 ดอลลาร์ โดยอาจเข้าซื้อเมื่อราคาทดสอบแนวรับและขายเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน
• ติดตาม XRP อย่างใกล้ชิดในช่วงก่อนและหลังการเปิดซื้อขาย ProShares ETF ในวันที่ 30 เมษายน เนื่องจากอาจเกิดความผันผวนสูงที่สามารถใช้ประโยชน์ได้
• ระมัดระวังช่วงเวลาการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะวันพุธ (GDP และ PCE) และวันศุกร์ (การจ้างงานนอกภาคเกษตร) ซึ่งอาจนำมาซึ่งความผันผวนสูง

สำหรับเทรดเดอร์ระยะกลาง:

• พิจารณาเปิดสถานะซื้อ Bitcoin หากราคาสามารถทะลุแนวต้านที่ 98,505 ดอลลาร์ได้อย่างชัดเจน โดยตั้งเป้าหมายที่ระดับ 110,000-125,000 ดอลลาร์
• อาจพิจารณาเปิดสถานะซื้อ Ethereum ที่ระดับปัจจุบันหากเชื่อว่าอัตราส่วน ETH/BTC จะกลับมาสู่ค่าเฉลี่ยในระยะกลาง โดยตั้งจุดตัดขาดทุนที่ต่ำกว่าระดับปัจจุบัน 5-10%
• ติดตามการไหลของเงินทุนเข้า-ออกจาก ETF เป็นสัญญาณนำในการคาดการณ์แนวโน้มตลาดในระยะกลาง

สำหรับนักลงทุนระยะยาว:

• ยังคงสะสม Bitcoin ตามกลยุทธ์ Dollar Cost Averaging (DCA) โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากโมเดล “Power Law” ยังคงคาดการณ์ราคาที่สูงขึ้นในระยะยาว
• พิจารณากระจายการลงทุนบางส่วนไปยัง Ethereum และ XRP ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีโอกาสในการเติบโตเมื่อตลาด Altcoin ฟื้นตัว
• ติดตามพัฒนาการด้านกฎระเบียบและการยอมรับคริปโตในระดับสถาบันเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจระยะยาว

การจัดการความเสี่ยง

ในสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง การจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเทรดเดอร์ควรปฏิบัติดังนี้:

1. จำกัดขนาดของการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 2-3% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
2. ตั้งจุดตัดขาดทุนอัตโนมัติ (Stop-Loss) เพื่อจำกัดความเสียหายในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คาดการณ์
3. กระจายการลงทุนระหว่าง Bitcoin และ Altcoin ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยปรับสัดส่วนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายการลงทุน
4. ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับกลยุทธ์เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
5. หลีกเลี่ยงการใช้เงินยืม (Leverage) ในระดับสูงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

ปัจจัยที่ควรติดตามในสัปดาห์ถัดไป

นอกเหนือจากเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้ เทรดเดอร์ควรติดตามปัจจัยสำคัญต่อไปนี้ในสัปดาห์ถัดไป:

1. การประชุมของ Fed วันที่ 6-7 พฤษภาคม 2025 ซึ่งจะมีการพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ย
2. กองทุน ETF ที่รอการอนุมัติจาก SEC โดยเฉพาะกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ Altcoin สำคัญๆ
3. การพัฒนาของนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโดยรวม
4. ความคืบหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและการยอมรับคริปโตในระดับสถาบัน

บทสรุป

ตลาดคริปโตในขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจ โดย Bitcoin แสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง ขณะที่ Altcoin มีผลการดำเนินงานที่หลากหลาย ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดในระยะสั้นคือข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการประชุมของ Fed ในสัปดาห์หน้า ในขณะที่กระแสเงินทุนไหลเข้า ETF และการพัฒนาด้านกฎระเบียบจะเป็นปัจจัยสำคัญในระยะกลางถึงระยะยาว

นักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังแต่เป็นบวกสำหรับ Bitcoin โดยคาดว่าการลงทุนจากสถาบันจะช่วยผลักดันราคาให้สูงขึ้นในเดือนต่อๆ ไป อย่างไรก็ตาม ความผันผวนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นการมีกลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจนและการจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุมจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดที่ท้าทายนี้