หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในสัปดาห์ที่ 16-22 มิถุนายน 2025 ประสบกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยหลายประการที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่ามูลค่าตลาดคริปโตโดยรวมอยู่ที่ระดับ 3.21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปรับตัวลดลง 2.93% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา สะท้อนถึงสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูงในช่วงเวลาดังกล่าว
Bitcoin ยังคงรักษาสถานะเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่แข็งแกร่งที่ระดับ 62.65% หรือคิดเป็นมูลค่า 2.01 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม สกุลเงินดิจิทัลชั้นนำนี้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแรงกดดันขายได้ โดยปรับตัวลดลงจากระดับ 105,554.5 ดอลลาร์ในวันที่ 16 มิถุนายน มาอยู่ที่ 101,532.6 ดอลลาร์ในวันที่ 22 มิถุนายน คิดเป็นการลดลงประมาณ 3.8% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
Ethereum ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลอันดับสองของตลาด ประสบกับแรงกดดันที่รุนแรงกว่า โดยราคาปรับตัวลดลงจาก 2,547.85 ดอลลาร์เป็น 2,270.58 ดอลลาร์ ซึ่งแสดงถึงการลดลงมากกว่า 10% ในช่วงเดียวกัน ขณะที่ Solana ซึ่งเป็นหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่ม Layer 1 alternatives ก็ปรับตัวลดลงจาก 152.68 ดอลลาร์เป็น 133.71 ดอลลาร์ คิดเป็นการลดลงประมาณ 12.4%
การวิเคราะห์เบื้องต้นชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดในช่วงนี้ ปัจจัยแรกที่มีอิทธิพลอย่างมากคือการปลดล็อก Token มูลค่ารวม 230 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงกดดันด้านอุปทานในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะโครงการหลักอย่าง Fasttoken, LayerZero และ ZKsync ที่มีการปลดล็อกจำนวนมาก
ปัจจัยที่สองที่ไม่สามารถมองข้ามได้คือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอมริกาและอิหร่าน โดยเฉพาะการโจมตีทางอากาศที่เกิดขึ้นในวันที่ 22 มิถุนายน ซึ่งส่งผลให้ Bitcoin ปรับตัวลดลง 3% และ Ethereum ลดลงถึง 8% ในวันเดียว เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความไวต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ของตลาดคริปโตในปัจจุบัน
นอกจากนี้ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอมริกายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด Federal Reserve ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ขณะที่ประธาน Jerome Powell ได้ระบุถึงความไม่แน่นอนจากภาษีการค้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการกำหนดนโยบายการเงินต่อไป
ในมิติที่เป็นบวก การพัฒนาด้านกฎระเบียบยังคงดำเนินไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะการที่วุฒิสภาสหรัฐอมริกาได้อนุมัติร่าง GENIUS Act ด้วยคะแนนเสียง 68-30 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ซึ่งจะสร้างกรอบการกำกับดูแลสำหรับ Stablecoin ในระดับรัฐบาลกลาง การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการสร้างความชัดเจนทางกฎหมายสำหรับอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี
ภาคการเงินแบบกระจายอำนาจหรือ DeFi ก็แสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่น่าประทับใจ โดย Total Value Locked เพิ่มขึ้น 100% เป็น 55 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาของนักลงทุนในระบบนิเวศ DeFi หลังจากช่วงที่มีความผันผวนในต้นปี
การวิเคราะห์ครั้งนี้จะใช้แนวทางที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงระหว่างหลายมิติ เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคของสินทรัพย์หลัก การศึกษาข้อมูล On-chain และพฤติกรรมของนักลงทุนขนาดใหญ่ ไปจนถึงการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างตลาดคริปโตกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิมอื่น เพื่อให้นักลงทุนและเทรดเดอร์ได้รับมุมมองที่สมบูรณ์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Bitcoin ในปัจจุบันกำลังซื้อขายในช่วงราคาที่มีความสำคัญทางเทคนิคระหว่าง 100,000-107,000 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของตลาดในระยะถัดไป จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ระดับการสนับสนุนหลักของ Bitcoin อยู่ที่ 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งได้รับการปกป้องอย่างแข็งแกร่งจากนักลงทุนและได้แสดงการเด้งตัวกลับขึ้นมาหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา
หาก Bitcoin สูญเสียการสนับสนุนที่ระดับ 100,000 ดอลลาร์นี้ เป้าหมายราคาถัดไปที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อยู่ในช่วง 95,000-97,000 ดอลลาร์ หรืออาจลดลงไปถึงระดับ 92,000 ดอลลาร์ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ในทางตรงกันข้าม ด้านความต้านทานนั้น Bitcoin เผชิญกับแรงขายที่สำคัญในระดับ 105,000-106,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนที่มีสภาพคล่องสูง การที่ราคาสามารถฝ่าผ่านและปิดเหนือระดับ 107,000-109,000 ดอลลาร์ได้จะเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและอาจเปิดทางสู่เป้าหมายที่ 112,000 ดอลลาร์หรือสูงกว่า
การวิเคราะห์ตัวชี้วัดทางเทคนิคแสดงให้เห็นภาพที่หลากหลาย RSI รายสัปดาห์ยังคงแสดงความแข็งแกร่งในการเคลื่อนไหวขาขึ้นในกรอบเวลายาว ขณะที่ RSI รายวันอยู่ในโซน oversold ที่ระดับ 24.31 ซึ่งมักเป็นสัญญาณของการเด้งตัวกลับในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัด MACD กลับแสดงสัญญาณขาลงที่แข็งแกร่ง โดยเส้น MACD อยู่ที่ -248.05 และเส้นสัญญาณที่ 416.67 ซึ่งบ่งชี้ถึงโมเมนตัมขาลงที่ยังคงมีอิทธิพลในระยะสั้น
การวิเคราะห์ Bollinger Bands แสดงให้เห็นว่า Bitcoin กำลังทดสอบแถบด้านล่างที่ระดับ 101,124 ดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความผันผวนในทิศทางขาลงและแรงกดดันขายที่เพิ่มขึ้น
Ethereum กำลังเผชิญกับการทดสอบที่สำคัญในช่วงราคา 2,200-2,600 ดอลลาร์ โดยมีระดับการสนับสนุนสำคัญที่ 2,218.5 ดอลลาร์ ซึ่งได้แสดงความยืดหยุ่นและความต้านทานต่อแรงขายในช่วงที่ผ่านมา การปกป้องระดับราคานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาโครงสร้างการเคลื่อนไหวเชิงบวกของ Ethereum ในระยะยาว
ระดับความต้านทานหลักของ Ethereum อยู่ที่ 2,595.6 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญสำหรับการเริ่มต้นรอบการขึ้นครั้งถัดไป การที่ราคาสามารถฝ่าผ่านระดับนี้ได้อย่างมั่นคงจะเปิดโอกาสสำหรับการเคลื่อนไหวขึ้นไปสู่เป้าหมายที่ 3,629.4 ดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนที่เป็นไปได้ประมาณ 40% จากระดับปัจจุบัน ระหว่างทางมีระดับกลางที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ 2,500-2,540 ดอลลาร์และ 2,660 ดอลลาร์
ข้อมูลปริมาณการซื้อขายของ Ethereum แสดงสัญญาณที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในวันที่ 22 มิถุนายนที่มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงเกือบ 5 เท่าของปกติ ด้วยปริมาณ 751,000 ETH ในชั่วโมงเดียว การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายแบบนี้มักสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทิศทางที่สำคัญหรือการเข้ามาของนักลงทุนขนาดใหญ่
Solana กำลังอยู่ในช่วงที่ต้องปกป้องระดับการสนับสนุนสำคัญที่ 140-141.53 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนที่มีการสะสม SOL จำนวนมากถึง 13 ล้านเหรียญ การรักษาระดับราคานี้มีความสำคัญต่อการรักษาเทรนด์เชิงบวกของ Solana หากสูญเสียการสนับสนุนที่ระดับนี้ จะมีความเสี่ยงที่ราคาจะลดลงสู่ระดับ 127.45 ดอลลาร์หรือ 123.49 ดอลลาร์
ด้านความต้านทาน Solana มีโครงสร้างที่ซับซ้อนหลายชั้น ระดับแรกอยู่ที่ 155-157 ดอลลาร์ ซึ่งมีการสะสม SOL จำนวน 31 ล้านเหรียญ และระดับที่สองอยู่ที่ 164-166 ดอลลาร์ที่มีการสะสม 29 ล้านเหรียญ การฝ่าผ่านระดับ 158.80 ดอลลาร์และ 160.31 ดอลลาร์จะเป็นสัญญาณการกลับตัวเชิงบวกของ Solana เป้าหมายในระยะยาวอยู่ที่ 168.36-172.04 ดอลลาร์ ซึ่งตรงกับระดับ 200-day Simple Moving Average
ตัวชี้วัดทางเทคนิคของ Solana แสดงสถานะที่เป็นกลางไปทางขาลง โดย MACD อยู่ในโซนขาลงและ RSI ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าโมเมนตัมยังไม่ชัดเจนและต้องการการยืนยันจากปัจจัยอื่น
ข้อมูล On-chain ให้ภาพรวมที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับสภาวะตลาดในระดับโครงสร้าง การวิเคราะห์ MVRV Ratio ของ Bitcoin แสดงการปรับตัวลดลงจาก 2.29 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนเป็น 2.203 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ซึ่งคิดเป็นการลดลง 4.18% การที่ MVRV ลดลงต่ำกว่า 200-day Simple Moving Average ถือเป็นสัญญาณที่มีแนวโน้มขาลงในระยะสั้น ข้อมูลปัจจุบันแสดงว่าประมาณ 12% ของผู้ถือ Bitcoin อยู่ในสถานะขาดทุนที่ยังไม่ได้ตระหนักถึง
Realized Price ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนเฉลี่ยของผู้ถือ Bitcoin เพิ่มขึ้นจาก 47,252 ดอลลาร์เป็น 47,492 ดอลลาร์ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 0.51% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้นทุนเฉลี่ยของผู้ถือยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวชี้วัด SOPR ลดลงจาก 1.015 เป็น 1.003 ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ถือส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสถานะทำกำไรแต่อัตรากำไรมีแนวโน้มลดลง
การวิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนขนาดใหญ่หรือ Whale แสดงให้เห็นรูปแบบการสะสมที่น่าสนใจ ข้อมูลจาก whale addresses ที่ถือ Bitcoin ระหว่าง 1,000-10,000 เหรียญแสดงการเพิ่มตำแหน่งประมาณ 266,000 BTC นับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม ซึ่งมีมูลค่าเกิน 17,000 ล้านดอลลาร์ การสะสมอย่างต่อเนื่องนี้แสดงถึงความเชื่อมั่นในระยะยาวของนักลงทุนขนาดใหญ่
Exchange Whale Ratio ในช่วง 7 วันที่ผ่านมามีความผันผวนสูง โดยอัตราสูงสุดอยู่ที่ 0.573 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน เมื่ออัตราส่วนนี้เกิน 0.35 มักหมายความว่า whale ใช้ exchange บ่อยครั้งเพื่อการขาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาในระยะสั้น
การวิเคราะห์โครงสร้างตลาดแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการมีส่วนร่วมของนักลงทุนประเภทต่าง ในไตรมาสแรกของปี 2024 ข้อมูลจาก Coinbase แสดงว่านักลงทุนสถาบันมีปริมาณการซื้อขาย 256,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 82.05% ของการซื้อขายทั้งหมด ขณะที่นักลงทุนรายย่อยมีส่วนแบ่งเพียง 17.95% การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเข้ามาของสถาบันในตลาดคริปโตอย่างมีนัยสำคัญ
ตลาด Over-The-Counter สถาบันมีการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 106% ในปี 2024 การเข้ามาของสถาบันนำมาซึ่งสภาพคล่องและความเสถียรที่เพิ่มขึ้นในตลาด อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ยังหมายความว่าการเคลื่อนไหวของตลาดอาจได้รับอิทธิพลมากขึ้นจากกลยุทธ์การลงทุนและความเชื่อมั่นของสถาบันการเงินขนาดใหญ่
ปริมาณการซื้อขาย Bitcoin ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนมีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในวันที่ 1-2 มิถุนายนที่บันทึกปริมาณ 44.03 พันล้านดอลลาร์ใน blockchain ซึ่งบ่งชี้ถึงกิจกรรมของ whale หรือสถาบันขนาดใหญ่ ข้อมูลจาก Binance แสดงปริมาณ spot trading สูงสุดที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์ใน BTC ณ เวลา 14:00 UTC วันที่ 21 มิถุนายน ซึ่งสะท้อนความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน
การไหลเข้าออกจาก exchange ยังคงเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินความเชื่อมั่นของตลาด ข้อมูลแสดงความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่งระหว่าง net outflow จาก exchange และราคา Bitcoin ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เมื่อ Bitcoin เคลื่อนย้ายออกจาก exchange ราคามักจะปรับตัวขึ้น ขณะที่ข้อมูลล่าสุดจาก Glassnode แสดงการไหลเข้าสุทธิ 120,000 ETH เข้าสู่กระเป๋า exchange ใน 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนกำลังเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
การปลดล็อก Token ในเดือนมิถุนายน 2025 มีมูลค่ารวม 3.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 32% จากเดือนพฤษภาคมที่มีมูลค่า 4.9 พันล้านดอลลาร์ แม้จะลดลงจากเดือนก่อน แต่ยอดรวมดังกล่าวยังคงมีนัยสำคัญต่อสภาพคล่องของตลาด การปลดล็อกแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ cliff unlocks มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ และ linear unlocks มูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์
ในสัปดาห์ที่ 16-22 มิถุนายนโดยเฉพาะ การปลดล็อก Token มูลค่า 230 ล้านดอลลาร์ได้สร้างแรงกดดันที่เห็นได้ชัดเจนในตลาด โครงการหลักที่มีการปลดล็อกรวมถึง Fasttoken มูลค่า 89 ล้านดอลลาร์ LayerZero มูลค่า 46.4 ล้านดอลลาร์ และ ZKsync มูลค่า 37.9 ล้านดอลลาร์ ผลกระทบจากการปลดล็อกครั้งนี้สะท้อนให้เห็นในราคาของ Token ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ZRO และ ZKsync ที่ลดลง 10.78% และ 10.75% ตามลำดับในวันเดียว
การปลดล็อกที่สำคัญที่จะเกิดขึ้นต่อไปรวมถึง Metars Genesis ที่จะปลดล็อก Token มูลค่า 193 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 21 มิถุนายน Sui ที่กำหนดปลดล็อก 44 ล้าน Token มูลค่าประมาณ 160 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 1 มิถุนายน และ LayerZero ที่จะปลดล็อก 25.71 ล้าน Token มูลค่า 59 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 20 มิถุนายน ซึ่งคิดเป็น 23.13% ของ circulating supply ปัจจุบัน การปลดล็อกในปริมาณมากนี้จะยังคงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงเป็นแหล่งความไม่แน่นอนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตอย่างมีนัยสำคัญ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอมริกาและอิหร่านที่เพิ่มขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ส่งผลให้เกิดการขายทำกำไรอย่างรวดเร็วในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง การโจมตีของสหรัฐอมริกาต่อสถานที่ปรมาณูของอิหร่านทำให้ Bitcoin ปรับตัวลดลง 4% มาอยู่ที่ 103,556 ดอลลาร์ในวันเดียว ขณะที่ Ethereum ประสบกับแรงกดดันที่รุนแรงยิ่งกว่า
ความกังวลหลักเกี่ยวกับสถานการณ์นี้คือความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะใช้มาตรการปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก การปิดกั้นเส้นทางนี้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการจัดหาพลังงานทั่วโลกและอาจนำไปสู่วิกฤตพลังงานที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก สถานการณ์เช่นนี้มักจะทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยและลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโตเคอร์เรนซี
ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงาน การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอาจสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโตเคอร์เรนซี
การตัดสินใจของ Federal Reserve ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนยังคงส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดคริปโต ตัวชี้วัดจากการประชุม FOMC แสดงให้เห็นว่านักกำหนดนโยบายคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 4.375% ในปี 2025 และลดลงเป็น 3.875% ในปี 2026 การคาดการณ์เหล่านี้มีผลกระทบต่อตลาดคริปโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงมักจะลดความต้องการในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง
ประธาน Jerome Powell ได้ระบุถึงความไม่แน่นอนจากภาษีการค้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญที่ Fed ต้องพิจารณาในการกำหนดนโยบายการเงินต่อไป ในสัปดาห์นี้มีการกำหนดให้ประธาน Powell ให้การเป็นพยานต่อสภาคองเกรสในวันอังคารและพุธ นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ Fed หลายคนที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น รวมถึง Fed Waller, FOMC Member Bowman และ Fed Goolsbee คำแถลงของเจ้าหน้าที่เหล่านี้มีอิทธิพลต่อตลาดอย่างมาก และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเงินเฟ้อ การจ้างงาน และนโยบายอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตโดยตรง
ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะเปิดเผยในสัปดาห์หน้ารวมถึงรายงานยอดขายปลีกของสหรัฐอมริกาที่คาดว่าจะแสดงการลดลง 0.6% แบบเดือนต่อเดือน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและส่งผลให้ Bitcoin กลายเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง การลดลงของการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดหวังว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีผลบวกต่อตลาดคริปโต
การอนุมัติร่าง GENIUS Act โดยวุฒิสภาสหรัฐอมริกาด้วยคะแนนเสียง 68-30 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างกรอบการกำกับดูแลระดับรัฐบาลกลางสำหรับ Stablecoins ที่ผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐอมริกา ตามร่างกฎหมายนี้ ผู้ออก Stablecoins จะต้องมีสินทรัพย์สภาพคล่องรองรับ เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐอมริกาและตั๋วเงินระยะสั้น การพัฒนานี้จะช่วยสร้างความชัดเจนทางกฎหมายและเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบนิเวศ Stablecoin
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อสร้าง Strategic Bitcoin Reserve ในเดือนมีนาคม 2025 คำสั่งนี้ระบุให้สร้างสำนักงานแยกภายในกระทรวงการคลังสหรัฐอมริกาเพื่อบริหารและเก็บรักษา Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น รัฐบาลสหรัฐอมริกาปัจจุบันถือ Bitcoin มากกว่า 207,000 เหรียญ มูลค่าประมาณ 17 พันล้านดอลลาร์ การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองระดับชาติ
ในทางตรงกันข้าม ทรัมป์ได้ออกคำสั่งบริหารห้ามการสร้าง การออก การหมุนเวียน และการใช้งาน Central Bank Digital Currency ในสหรัฐอมริกา การตัดสินใจนี้ตรงกันข้ามกับแนวโน้มของประเทศอื่น ที่กำลังพัฒนา CBDC และอาจส่งผลต่อตำแหน่งของสหรัฐอมริกาในการแข่งขันด้านสกุลเงินดิจิทัลระดับโลก อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้อาจเป็นการสนับสนุนโดยอ้อมต่อการใช้งานคริปโตเคอร์เรนซีแบบกระจายอำนาจ
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดแสดงให้เห็นรูปแบบที่น่าสนใจในการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่าง Bitcoin ยังคงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับดัชนี Nasdaq และ S&P 500 โดยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ 90 วันระหว่าง Bitcoin และอัตราส่วน Nasdaq ต่อ S&P 500 อยู่ที่ระดับ 0.89 ความสัมพันธ์นี้แสดงให้เห็นว่า Bitcoin ยังคงทำตัวเป็นสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค ความสัมพันธ์ 30 วันระหว่าง Ethereum และ Nasdaq อยู่ที่ 0.68 ซึ่งบ่งชี้ว่าการเคลื่อนไหวเชิงบวกในตลาดหุ้นมักจะสนับสนุนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์คริปโต
ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และทองแสดงให้เห็นพัฒนาการที่น่าสนใจ โดยทั้งสองสินทรัพย์เริ่มแสดงการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันมากขึ้น ทองได้บันทึกสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือนมิถุนายน 2025 ขณะที่ Bitcoin ก็แสดงความยืดหยุ่นในช่วงเดียวกัน ณ วันที่ 5 มิถุนายน ทองมีราคา 3,365 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 44.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่งระหว่างทองและดัชนีดอลลาร์สหรัฐอมริกาที่ระดับ -0.94 ใน 3 เดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการอ่อนค่าของดอลลาร์อาจสนับสนุนราคาทองและ Bitcoin
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอมริกาอยู่ที่ 128.90 ลดลง 1.3% เดือนต่อเดือนและ 0.9% ปีต่อปี การอ่อนค่าของดอลลาร์สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Bitcoin และทอง นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของ order flow จากนักลงทุนจริง บริษัท และรัฐบาลอาจให้การสนับสนุนเบื้องต้นสำหรับสินทรัพย์เหล่านี้ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงอื่นลดลง
การวิเคราะห์ข้ามตลาดยังแสดงให้เห็นความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างราคาน้ำมันดิบและสินทรัพย์คริปโตในช่วงที่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มักจะสร้างความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอาจทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้ ซึ่ง Bitcoin อาจได้รับการพิจารณาในบทบาทนี้
การวิเคราะห์ครอบคลุมในสัปดาห์ที่ 16-22 มิถุนายน 2025 แสดงให้เห็นว่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซีกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ โดยเผชิญกับการผสมผสานของแรงกดดันและปัจจัยสนับสนุนที่หลากหลาย ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าตลาดยังคงมีความแข็งแกร่งในเชิงโครงสร้างแม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น
จากมุมมองทางเทคนิค Bitcoin กำลังปกป้องระดับการสนับสนุนสำคัญที่ 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งหากสามารถรักษาได้จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการฟื้นตัวในระยะถัดไป Ethereum แสดงความยืดหยุ่นที่ระดับ 2,218.5 ดอลลาร์ และหากสามารถฝ่าผ่านความต้านทานที่ 2,595.6 ดอลลาร์ได้ จะเปิดโอกาสสำหรับการเคลื่อนไหวขึ้นไปสู่เป้าหมาย 3,629.4 ดอลลาร์ ในขณะที่ Solana ต้องการการยืนยันการกลับตัวโดยการฝ่าผ่านระดับ 158.80 ดอลลาร์เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงบวก
ข้อมูล On-chain สะท้อนให้เห็นถึงการสะสมที่ต่อเนื่องของนักลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการเพิ่มตำแหน่งของ whale addresses มากกว่า 266,000 Bitcoin นับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม การสะสมในปริมาณมากนี้แสดงถึงความเชื่อมั่นในระยะยาวของนักลงทุนสถาบันและผู้ถือครองรายใหญ่ แม้ว่าตัวชี้วัดระยะสั้นอย่าง MVRV Ratio และ SOPR จะแสดงสัญญาณการชะลอตัว
ปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อตลาดรวมถึงการปลดล็อก Token มูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง และนโยบายการเงินของ Federal Reserve ที่ยังคงมีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาด้านกฎระเบียบในทิศทางบวก โดยเฉพาะการอนุมัติร่าง GENIUS Act และการสร้าง Strategic Bitcoin Reserve ของรัฐบาลสหรัฐอมริกา แสดงให้เห็นถึงการยอมรับและการสนับสนุนในระดับสถาบันที่เพิ่มขึ้น
ในระยะสั้น นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตลาดจะยังคงมีความผันผวนสูงเนื่องจากปัจจัยหลายประการที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจน การให้การเป็นพยานของประธาน Powell ต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์หน้าจะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่อาจกำหนดทิศทางของตลาดในระยะสั้น หากคำแถลงแสดงท่าทีที่อ่อนแอกว่าที่คาด อาจส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโตเคอร์เรนซี
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอมริกา โดยเฉพาะรายงานยอดขายปลีกที่คาดว่าจะลดลง 0.6% และข้อมูล GDP ไตรมาสแรก จะมีผลกระทบต่อความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของ Fed ข้อมูลที่อ่อนแอกว่าที่คาดจะเพิ่มแรงกดดันให้ Fed พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดคริปโต
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ การพัฒนาของสถานการณ์ในตะวันออกกลางและผลกระทบต่อราคาน้ำมันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวม นักลงทุนควรติดตามความคืบหน้าของเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
ในระยะกลางถึงยาว แนวโน้มยังคงมีความเป็นบวกโดยรวม การไหลเข้าของเงินลงทุนจากสถาบันยังคงแข็งแกร่ง โดยกองทุน ETF สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับเงินไหลเข้ามากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 นักลงทุนสถาบัน 59% ขณะนี้จัดสรรอย่างน้อย 10% ของพอร์ตการลงทุนให้กับคริปโต ซึ่งแสดงถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นในวงกว้าง
การเติบโตของภาค DeFi ที่มี Total Value Locked เพิ่มขึ้น 100% เป็น 55 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของระบบนิเวศและการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่ยังคงดำเนินต่อไป การพัฒนาด้านเทคโนลยี การปรับปรุงประสิทธิภาพ และการลดค่าธรรมเนียมในเครือข่าย Layer 2 จะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว
สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้นที่มุ่งเน้นการทำกำไรจากความผันผวน ควรให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวด การกำหนด Stop Loss ที่ชัดเจนและการใช้ Position Sizing ที่เหมาะสมจะช่วยปกป้องเงินทุนในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง สำหรับ Bitcoin การซื้อในระดับใกล้ 100,000 ดอลลาร์พร้อม Stop Loss ที่ 98,500 ดอลลาร์ และเป้าหมายกำไรที่ 105,000-106,000 ดอลลาร์ อาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม
เทรดเดอร์ควรใช้ประโยชน์จากข้อมูลปริมาณการซื้อขายและการเคลื่อนไหวของ whale เพื่อระบุจังหวะการเข้าและออกจากตลาด การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ที่เห็นใน Ethereum เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน มักเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทิศทางที่สำคัญ
นักลงทุนระยะกลางควรมุ่งเน้นการสร้างพอร์ตการลงทุนที่สมดุลระหว่างสินทรัพย์หลักอย่าง Bitcoin และ Ethereum กับ altcoins ที่มีศักยภาพเติบโต การกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหลายสินทรัพย์และหลายประเภทจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง การใช้กลยุทธ์ Dollar Cost Averaging ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าลงทุนในจังหวะที่ไม่เหมาะสม
สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มีความเชื่อมั่นในการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี การมุ่งเน้นการสะสม Bitcoin และ Ethereum ในช่วงที่ราคาปรับตัวลงจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม การติดตามการพัฒนาด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ และการเข้ามาของสถาบันจะช่วยในการตัดสินใจลงทุนระยะยาว
การติดตามปัจจัยหลักที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการประชุมและคำแถลงของธนาคารกลางสหรัฐอมริกา โดยเฉพาะความคิดเห็นเกี่ยวกับเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของ Fed ต่อการลดอัตราดอกเบี้ยจะมีผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการในสินทรัพย์เสี่ยง
การติดตามปฏิทินการปลดล็อก Token ในเดือนข้างหน้าจะช่วยให้นักลงทุนเตรียมพร้อมสำหรับแรงกดดันด้านอุปทานที่อาจเกิดขึ้น การวิเคราะห์ขนาดและผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการปลดล็อกแต่ละครั้งจะช่วยในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนควรพิจารณาลดการถือครองหรือเพิ่มการป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่มีการปลดล็อกขนาดใหญ่
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นตัวแปรที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ นักลงทุนควรรักษาสัดส่วนเงินสดหรือสินทรัพย์ปลอดภัยในพอร์ตการลงทุนเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด การมีสภาพคล่องเพียงพอจะช่วยให้สามารถฉวยโอกาสในการลงทุนเมื่อเกิดการปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
การพัฒนาด้านกฎระเบียบในประเทศต่างควรได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการดำเนินการต่อของร่างกฎหมายสำคัญและนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบมักมีผลกระทบระยะยาวต่อการยอมรับและการใช้งานคริปโตเคอร์เรนซีในวงกว้าง
สำหรับการบริหารความเสี่ยง นักลงทุนควรกำหนดขีดจำกัดการสูญเสียที่ยอมรับได้และยึดถือหลักการนี้อย่างเคร่งครัด การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเช่น Options หรือ Futures สำหรับพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่อาจช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนที่รุนแรง การหลีกเลี่ยงการใช้ Leverage ที่สูงเกินไปในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนจะช่วยปกป้องเงินทุนจากความเสียหายที่รุนแรง
ในท้ายที่สุด ความสำเร็จในการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีขึ้นอยู่กับการผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และการรักษาวินัยในการลงทุน ตลาดคริปโตในปัจจุบันยังคงมีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว แต่ต้องการความระมัดระวังและการเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้น การคงไว้ซึ่งมุมมองระยะยาวพร้อมทั้งการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงจะเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จในการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี