หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
คู่เงิน EUR/JPY ได้แสดงความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (17-21 มีนาคม 2025) โดยมีการเคลื่อนไหวในกรอบกว้างประมาณ 345 pips ระหว่างระดับ 160.73 ถึง 164.18 ราคาเริ่มต้นสัปดาห์ที่ประมาณ 161.67 และแสดงทิศทางเชิงบวกในช่วงต้นสัปดาห์ โดยทำจุดสูงสุดที่ 164.18 ในวันอังคารที่ 18 มีนาคม ก่อนที่จะเริ่มปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในวันพุธที่ 19 มีนาคม และฟื้นตัวเล็กน้อยในวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม ปิดสัปดาห์ที่ประมาณ 161.53
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 19 มีนาคม ซึ่งมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% และการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในวันที่ 20 มีนาคม ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมอาหารสด) อยู่ที่ 3.0% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.9% นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ก็ส่งผลกระทบต่อทั้งค่าเงินยูโรและเงินเยนในช่วงสัปดาห์ดังกล่าว
มองไปข้างหน้าในสัปดาห์ที่ 24-28 มีนาคม 2025 การวิเคราะห์ทางเทคนิคบ่งชี้ว่า EUR/JPY มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับแรงกดดันขาลงมากขึ้น เนื่องจากความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่เริ่มเปลี่ยนแปลง โดย ECB มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2025 ในขณะที่ BOJ อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 3/2025 ปัจจัยนี้ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield Differential) ระหว่างเยอรมันและญี่ปุ่นหดแคบลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นปัจจัยลบต่อคู่เงิน EUR/JPY
จุดสำคัญที่ต้องจับตามองในสัปดาห์นี้ ได้แก่ แนวรับหลักที่บริเวณ 160.50 ซึ่งเป็นระดับที่ราคาเคยทดสอบในช่วงที่ผ่านมา และแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 163.00-163.85 ซึ่งเป็นโซนแนวต้านที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เบื้องต้นของยูโรโซนในวันที่ 27 มีนาคม และถ้อยแถลงของผู้ว่าการ BOJ Kazuo Ueda ในวันเดียวกัน จะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อทิศทางของ EUR/JPY ในระยะสั้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิคในหลายกรอบเวลาแสดงให้เห็นว่า EUR/JPY อยู่ในช่วงการปรับฐานระยะสั้น หลังจากที่ไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ 164.18 ขึ้นไปได้ แม้ว่าแนวโน้มระยะกลางยังคงเป็นขาขึ้น แต่ในระยะสั้นมีสัญญาณการอ่อนแรงลงของโมเมนตัม ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานลงสู่แนวรับที่สำคัญในช่วงสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรติดตามตัวชี้วัดทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานอย่างใกล้ชิด เพื่อระบุโอกาสในการเทรดที่มีศักยภาพในสัปดาห์ที่จะมาถึงนี้
ในสัปดาห์ที่ 24-28 มีนาคม 2025 มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของคู่เงิน EUR/JPY โดยนักลงทุนและเทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการติดตามข้อมูลเหล่านี้เพื่อประเมินทิศทางของตลาดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
วันอังคารที่ 25 มีนาคม 2525
16:00 น. (GMT+7): ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ IFO ของเยอรมนี
วันพุธที่ 26 มีนาคม 2525
06:50 น. (GMT+7): ยอดค้าปลีกเดือนกุมภาพันธ์ของญี่ปุ่น
20:00 น. (GMT+7): ถ้อยแถลงของประธาน ECB Christine Lagarde ที่กรุงบรัสเซลส์
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2525
14:30 น. (GMT+7): ถ้อยแถลงของผู้ว่าการ BOJ Kazuo Ueda
17:00 น. (GMT+7): ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เบื้องต้นของยูโรโซนเดือนมีนาคม
วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2525
06:30 น. (GMT+7): อัตราการว่างงานของญี่ปุ่นเดือนกุมภาพันธ์
06:30 น. (GMT+7): ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) โตเกียวเบื้องต้นเดือนมีนาคม
1. มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ มาตรการภาษีดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 มีนาคม 2025 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยเฉพาะต่อผู้ผลิตและส่งออกในญี่ปุ่นและเยอรมนี การตอบโต้ของจีนต่อมาตรการนี้อาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินและกระทบต่อปริมาณการค้าโลก ซึ่งจะส่งผลต่อทั้งเศรษฐกิจยูโรโซนและญี่ปุ่น
2. วิกฤตพลังงานในยุโรป ระดับสต็อกก๊าซธรรมชาติในยุโรปปัจจุบันอยู่ที่ 62% ของความจุ ซึ่งแม้จะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเล็กน้อย แต่ยังคงเสี่ยงต่อการขาดแคลนหากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ไม่คาดคิด ราคาก๊าซ TTF Futures ที่เพิ่มขึ้น 4.2% ในสัปดาห์นี้ อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมหนักของเยอรมนี และกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในยูโรโซน
3. ความเคลื่อนไหวของตลาดพันธบัตรรัฐบาล อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 2.40% (ลดลง 10 bps จากสัปดาห์ก่อนหน้า) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 10 ปี อยู่ที่ 0.55% (เพิ่มขึ้น 5 bps) ส่งผลให้ส่วนต่างผลตอบแทน (Yield Spread) ลดลงเหลือ 1.85% จาก 2.00% เมื่อต้นเดือนมีนาคม แนวโน้มการลดลงของส่วนต่างนี้อาจกดดันคู่เงิน EUR/JPY ในระยะต่อไป
4. ดัชนีความไม่แน่นอนทางนโยบาย (Policy Uncertainty) ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของทั้ง ECB และ BOJ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความผันผวนของคู่เงิน EUR/JPY โดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนแปลงท่าทีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของตลาด
ในสัปดาห์นี้ เหตุการณ์ที่มีความสำคัญสูงสุดที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เบื้องต้นของยูโรโซน และถ้อยแถลงของผู้ว่าการ BOJ Kazuo Ueda ในวันที่ 27 มีนาคม ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินและส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของคู่เงิน EUR/JPY ในระยะสั้น นักลงทุนควรเตรียมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นรอบการประกาศข้อมูลสำคัญเหล่านี้
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของคู่เงิน EUR/JPY ในหลายกรอบเวลาแสดงให้เห็นถึงภาพการตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ในสัปดาห์ที่ 24-28 มีนาคม 2025 โดยนำเสนอทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่ควรพิจารณา
ในกรอบเวลารายวัน EUR/JPY แสดงสัญญาณการกลับตัวลงในระยะสั้น หลังจากที่ไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ 164.18 ขึ้นไปได้ในวันที่ 18 มีนาคม 2025 ราคาได้สร้างรูปแบบแท่งเทียน “Bearish Engulfing” ในวันที่ 19 มีนาคม บ่งชี้ถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมในระยะสั้น การปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วัน (SMA 10) บ่งชี้ถึงแรงกดดันขาลงที่เพิ่มขึ้น
ค่า RSI ในกรอบรายวันปัจจุบันอยู่ที่ 46.8 ซึ่งลดลงจากระดับ 58.3 ในสัปดาห์ก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงการอ่อนแรงลงของโมเมนตัมขาขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่านี้ยังอยู่ในโซนกลาง ไม่ได้แสดงภาวะ Oversold ที่อาจนำไปสู่การกลับตัวขึ้นในทันที ในขณะเดียวกัน MACD เริ่มแสดงสัญญาณ “Bearish Crossover” บ่งชี้ถึงแรงขายที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะสั้น
ที่น่าสังเกตคือ ราคายังคงซื้อขายเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (SMA 50) ที่บริเวณ 159.80 ซึ่งยังคงสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง แม้ว่าจะมีการอ่อนตัวลงในระยะสั้นก็ตาม Bollinger Bands แสดงให้เห็นว่าราคากำลังเคลื่อนตัวจากเส้นบนลงมาสู่เส้นกลาง บ่งชี้ถึงการลดลงของความผันผวนและโอกาสในการปรับฐานลงสู่เส้นกลางที่บริเวณ 161.20
กราฟ 4 ชั่วโมงแสดงภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของการกลับตัวลงในระยะสั้น ราคาได้ทะลุลงผ่านแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 คาบ (SMA 20) และปัจจุบันกำลังทดสอบแนวรับที่บริเวณ 161.00 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับตัวขึ้นตั้งแต่ระดับ 154.77 ถึง 164.18
Stochastic Oscillator บนกรอบเวลา H4 แสดงสัญญาณ Oversold โดยค่า %K อยู่ที่ 19.5 และ %D อยู่ที่ 22.8 แสดงถึงโอกาสในการฟื้นตัวทางเทคนิคในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม หาก Stochastic ยังคงอยู่ในโซน Oversold ต่อไป อาจบ่งชี้ถึงแรงขายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
การปรับตัวลงได้นำราคาลงมาทดสอบแนวรับของกรอบการซื้อขายระยะสั้น (Trading Range) ที่บริเวณ 161.00-161.50 หากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับนี้ได้ อาจนำไปสู่การฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 162.50 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 23.6% อย่างไรก็ตาม หากราคาทะลุลงผ่านแนวรับนี้ อาจนำไปสู่การปรับตัวลงต่อเนื่องไปยังแนวรับถัดไปที่ 160.50
ในกรอบเวลารายชั่วโมง EUR/JPY แสดงรูปแบบ “Lower Highs และ Lower Lows” บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงในระยะสั้น ราคากำลังเคลื่อนตัวใกล้ขอบล่างของ Bollinger Bands แสดงถึงแรงขายที่กำลังเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่า RSI ในกรอบ H1 เริ่มแสดงภาวะ Oversold ที่ระดับ 29.8 ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวทางเทคนิคในระยะสั้น
การวิเคราะห์ Volume Profile แสดงให้เห็นว่ามีระดับ Value Area High ที่บริเวณ 162.30 และ Value Area Low ที่บริเวณ 161.00 ซึ่งเป็นบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายสูงในช่วงที่ผ่านมา หากราคาสามารถกลับเข้าไปในโซน Value Area ได้ อาจบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวที่อาจเกิดขึ้น
การวิเคราะห์กรอบเวลา M30 เผยให้เห็นการก่อตัวของรูปแบบกราฟ “Falling Wedge” ซึ่งมักเป็นรูปแบบการกลับตัวขึ้นในตลาดที่มีแนวโน้มขาลง MACD ในกรอบ M30 เริ่มแสดงสัญญาณ Bullish Divergence โดยที่ราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ แต่ MACD ไม่ได้สร้างจุดต่ำสุดใหม่ตาม สัญญาณนี้มักบ่งชี้ถึงการอ่อนแรงลงของแรงขายและโอกาสในการกลับตัวขึ้นในระยะสั้น
ในช่วงการซื้อขายล่าสุด มีรูปแบบแท่งเทียนที่น่าสนใจหลายรูปแบบ:
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคในหลายกรอบเวลา สามารถสรุปได้ว่า EUR/JPY กำลังอยู่ในช่วงการปรับฐานลงในระยะสั้น หลังจากที่ไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ 164.18 ขึ้นไปได้ แรงขายปัจจุบันได้นำราคาลงมาทดสอบแนวรับที่บริเวณ 161.00 ซึ่งเป็นระดับสำคัญทางเทคนิค
การทะลุลงผ่านแนวรับนี้อาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไปที่ 160.50 และอาจลงไปถึง 159.80 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 61.8% อย่างไรก็ตาม สัญญาณ Oversold ในกรอบเวลาสั้น และการก่อตัวของรูปแบบการกลับตัวในกรอบ M30 และ H1 อาจนำไปสู่การฟื้นตัวทางเทคนิคในระยะสั้น โดยมีเป้าหมายแรกที่ 162.50
แม้ว่าจะมีการปรับฐานลงในระยะสั้น แต่แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางยังคงได้รับการสนับสนุนตราบใดที่ราคายังคงยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (SMA 50) ที่บริเวณ 159.80 นักลงทุนควรจับตาดูการทดสอบระดับแนวรับสำคัญเหล่านี้ และปฏิกิริยาของราคา เพื่อระบุโอกาสในการเทรดที่มีศักยภาพในสัปดาห์นี้
การระบุระดับแนวต้านที่สำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคู่เงิน EUR/JPY ในสัปดาห์ที่ 24-28 มีนาคม 2525 นี้ มีระดับแนวต้านหลายระดับที่นักลงทุนควรจับตามอง โดยแต่ละระดับมีความสำคัญทางเทคนิคและจิตวิทยาต่อตลาดที่แตกต่างกัน
ระดับนี้เป็นแนวต้านสำคัญในระยะสั้น เนื่องจากเป็นบริเวณที่ตรงกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (SMA 20) และระดับ Fibonacci Retracement 23.6% ของการปรับตัวลงล่าสุด นอกจากนี้ ยังเป็นระดับที่มีปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) สูงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เป็นระดับที่อาจมีแรงขายเข้ามาเมื่อราคาปรับตัวขึ้นมาถึง
ราคาที่สามารถทะลุขึ้นผ่านแนวต้านนี้ได้อย่างมั่นคง อาจบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวที่อาจดำเนินต่อไปจนถึงแนวต้านถัดไป อย่างไรก็ตาม หากราคาไม่สามารถทะลุขึ้นผ่านแนวต้านนี้ได้ และกลับมาปิดต่ำกว่าระดับนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงในระยะสั้นยังคงดำเนินต่อไป
นี่คือแนวต้านหลักที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นระดับสูงสุดที่ราคาทำได้ในวันที่ 18 มีนาคม 2025 (164.18) และยังเป็นระดับที่ตรงกับเส้นบนของ Bollinger Bands ในกรอบเวลารายวัน (D1) ระดับนี้ได้สกัดการปรับตัวขึ้นของราคามาแล้ว ทำให้เป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญ
การทะลุขึ้นผ่านแนวต้านนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญจะเป็นสัญญาณทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง บ่งชี้ถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นใหม่ และอาจนำไปสู่การทดสอบระดับสูงสุดใหม่ที่ 165.50 หรือสูงกว่า
ระดับนี้เป็นแนวต้านในระยะสั้นมาก ซึ่งตรงกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วัน (SMA 10) และเส้นกลางของ Bollinger Bands ในกรอบเวลารายวัน (D1) ระดับนี้อาจเป็นจุดแรกที่ราคาจะเผชิญกับแรงต้านหากมีการฟื้นตัวจากระดับปัจจุบัน
ราคาที่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคงอาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านหลักที่ 162.50-163.00 ต่อไป ในทางกลับกัน หากราคาไม่สามารถทะลุขึ้นผ่านระดับนี้ได้ อาจเป็นโอกาสในการเข้าเทรดขายในระยะสั้น
ระดับนี้เป็นแนวต้านที่สำคัญในทางเทคนิค เนื่องจากเป็นระดับที่ตรงกับ Fibonacci Retracement 61.8% ของการเคลื่อนไหวขาลงจาก 167.00 ลงมา 154.77 และยังเป็นระดับที่ราคาเคยติดอยู่ (Congestion Zone) ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2025
ระดับนี้อยู่ระหว่างแนวต้านหลักทั้งสองระดับ และอาจเป็นจุดที่นักลงทุนบางส่วนเลือกที่จะทำกำไร (Take Profit) หากราคาสามารถฟื้นตัวขึ้นมาถึงระดับนี้ การทะลุผ่านระดับนี้ได้อย่างมั่นคงอาจเปิดทางให้ราคาทดสอบแนวต้านหลักที่ 163.85-164.20 ต่อไป
ในสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาสที่ราคาจะสามารถทะลุแนวต้านหลักที่ 163.85-164.20 ขึ้นไปได้ในสัปดาห์นี้มีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากปัจจัยดังต่อไปนี้:
อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้เป็นไปในทิศทางที่เป็นบวกต่อค่าเงินยูโรอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การประกาศ CPI ของยูโรโซนที่สูงเกินคาด หรือถ้อยแถลงของประธาน ECB Lagarde ที่แข็งกร้าว (Hawkish) กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อาจเพิ่มโอกาสให้ราคาทดสอบแนวต้านหลักนี้ได้
หากราคาสามารถทะลุแนวต้านหลักที่ 163.85-164.20 ขึ้นไปได้อย่างมีนัยสำคัญ เป้าหมายถัดไปที่สำคัญมีดังนี้:
หากราคาสามารถฟื้นตัวขึ้นมาทดสอบแนวต้านนี้ได้ นักลงทุนอาจพิจารณากลยุทธ์ดังต่อไปนี้:
หากราคาสามารถทะลุแนวต้านหลักนี้ขึ้นไปได้ นักลงทุนอาจพิจารณากลยุทธ์ดังต่อไปนี้:
ในสรุป แนวต้านสำคัญของคู่เงิน EUR/JPY ในสัปดาห์นี้อยู่ที่ระดับ 162.50-163.00 และ 163.85-164.20 ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนควรจับตามองอย่างใกล้ชิด การทะลุหรือการกลับตัวจากระดับเหล่านี้จะเป็นสัญญาณสำคัญในการระบุทิศทางของราคาในระยะสั้นถึงกลาง อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบัน โอกาสที่ราคาจะทะลุแนวต้านหลักที่ 163.85-164.20 ขึ้นไปได้ในสัปดาห์นี้มีจำกัด เว้นแต่จะมีปัจจัยกระตุ้นทางพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากพอ
การวิเคราะห์และระบุระดับแนวรับที่สำคัญเป็นองค์ประกอบหลักในการวางแผนกลยุทธ์การเทรด โดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่มีแนวโน้มเป็นขาลงในระยะสั้นเช่นปัจจุบัน สำหรับคู่เงิน EUR/JPY ในสัปดาห์ที่ 24-28 มีนาคม 2525 มีระดับแนวรับที่สำคัญหลายระดับที่เทรดเดอร์ควรให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด
ระดับนี้เป็นแนวรับที่สำคัญในระยะสั้น เนื่องจากเป็นบริเวณที่ตรงกับระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับตัวขึ้นจาก 154.77 ไปถึง 164.18 และยังเป็นระดับที่เคยเป็นแนวต้านในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2025 ก่อนที่จะถูกทะลุขึ้นไป ทำให้กลายเป็นแนวรับที่สำคัญในปัจจุบัน
ในทางเทคนิค ระดับนี้ยังมีความสำคัญเนื่องจากมีปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) สูงในช่วงที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความสนใจของผู้เล่นในตลาดที่ระดับนี้ การที่ราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคงจะเป็นสัญญาณบวกสำหรับการฟื้นตัวในระยะสั้น ในทางกลับกัน การทะลุลงผ่านระดับนี้อย่างมีนัยสำคัญจะเป็นสัญญาณลบที่อาจนำไปสู่การปรับตัวลงต่อเนื่อง
นี่คือระดับแนวรับหลักที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นระดับที่ตรงกับจุดต่ำสุดที่ราคาทำได้ในวันที่ 20 มีนาคม 2025 (160.73) และยังเป็นบริเวณที่มีความสำคัญทางจิตวิทยา เนื่องจากเป็นระดับกลมที่สำคัญ (160.50)
นอกจากนี้ ระดับนี้ยังตรงกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 30 วัน (SMA 30) ซึ่งมักเป็นเส้นแนวรับที่สำคัญในตลาดที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะกลาง ราคาที่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้จะช่วยรักษาแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางไว้ แต่หากราคาทะลุลงผ่านระดับนี้ อาจส่งสัญญาณว่าแนวโน้มอาจเปลี่ยนเป็นขาลงในระยะที่ยาวขึ้น
ระดับนี้มีความสำคัญทางเทคนิคอย่างมาก เนื่องจากเป็นบริเวณที่ตรงกับระดับ Fibonacci Retracement 50% ของการปรับตัวขึ้นล่าสุด และยังเป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญ (160.00) ซึ่งมักมีแรงซื้อเข้ามารองรับเมื่อราคาลงมาถึง
นอกจากนี้ ระดับนี้ยังตรงกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (SMA 50) ซึ่งเป็นเส้นแนวรับที่สำคัญในการกำหนดแนวโน้มระยะกลาง ตราบใดที่ราคายังยืนอยู่เหนือเส้นนี้ แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางยังคงได้รับการยืนยัน แต่หากราคาทะลุลงผ่านระดับนี้อย่างมีนัยสำคัญ อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงในระยะกลาง
ระดับนี้เป็นแนวรับที่สำคัญในระยะกลาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ตรงกับระดับ Fibonacci Retracement 61.8% และเป็นบริเวณที่เคยเป็นทั้งแนวรับและแนวต้านที่สำคัญในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2025
ระดับนี้ยังเป็นบริเวณที่มีความสำคัญเชิงโครงสร้างในกราฟรายวัน (D1) เนื่องจากเป็นระดับที่ราคาเคยติดอยู่ (Congestion Zone) เป็นระยะเวลานานก่อนที่จะทะลุขึ้นไป หากราคาปรับตัวลงมาถึงระดับนี้ คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาค่อนข้างหนาแน่น
ในสภาวะตลาดปัจจุบัน โอกาสที่ราคาจะสามารถทะลุลงผ่านแนวรับหลักที่ 160.50-160.70 ในสัปดาห์นี้อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังต่อไปนี้:
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่อาจช่วยพยุงราคาไว้และทำให้การทะลุแนวรับหลักนี้เป็นไปได้ยากขึ้น ได้แก่:
หากราคาทะลุลงผ่านแนวรับหลักที่ 160.50-160.70 อย่างมีนัยสำคัญ เป้าหมายถัดไปที่สำคัญมีดังนี้:
หากราคาลงมาทดสอบแนวรับนี้ เทรดเดอร์อาจพิจารณากลยุทธ์ดังต่อไปนี้:
หากราคาทะลุลงผ่านแนวรับหลักนี้อย่างมีนัยสำคัญ เทรดเดอร์อาจพิจารณากลยุทธ์ดังต่อไปนี้:
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเทรดรอบระดับแนวรับสำคัญ เนื่องจากราคาอาจมีความผันผวนสูงในบริเวณเหล่านี้ กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่แนะนำมีดังนี้:
แนวรับสำคัญของคู่เงิน EUR/JPY ในสัปดาห์นี้อยู่ที่ระดับ 161.00-161.20 และ 160.50-160.70 ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนควรจับตามองอย่างใกล้ชิด การที่ราคาสามารถยืนเหนือระดับเหล่านี้ได้หรือไม่ จะเป็นสัญญาณสำคัญในการระบุทิศทางของราคาในระยะสั้นถึงกลาง การเทรดรอบระดับแนวรับสำคัญเหล่านี้ควรดำเนินการด้วยความระมัดระวัง พร้อมกับการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อปกป้องเงินทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรที่ยั่งยืน
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อทิศทางของคู่เงิน EUR/JPY มีความสำคัญเทียบเท่ากับการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน การวิเคราะห์ในส่วนนี้จะครอบคลุมปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามในสัปดาห์ที่ 24-28 มีนาคม 2525
ในปัจจุบัน ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างสองธนาคารกลางนี้กำลังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของคู่เงิน EUR/JPY โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองธนาคารกลางมีแนวโน้มนโยบายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ECB ปัจจุบันรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.5% หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2023-2024 เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม จากถ้อยแถลงล่าสุดของประธาน ECB Christine Lagarde เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2525 ได้ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมวันที่ 12 มิถุนายน 2525 หากเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง
ECB ได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อยูโรโซนเฉลี่ยสำหรับปี 2525 ลงเหลือ 2.3% จากเดิม 2.5% ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% เล็กน้อย แต่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนถูกปรับลดลงเล็กน้อยเป็น 1.1% สำหรับปี 2525 จากเดิม 1.2% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้า
ตลาดปัจจุบันกำหนดราคา (Pricing In) โอกาส 70% ที่ ECB จะลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps ในเดือนมิถุนายน 2525 ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อค่าเงินยูโรในระยะกลาง
BOJ ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำ 0.5% หลังจากการประชุมนโยบายการเงินล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2525 อย่างไรก็ตาม จากถ้อยแถลงของผู้ว่าการ BOJ Kazuo Ueda เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2525 ได้ระบุว่า BOJ จะพิจารณาปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างยั่งยืน โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เกิน 2% อย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมอาหารสด) ของญี่ปุ่นเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 3.0% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของ BOJ ที่ 2% อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์กว่า 2 ใน 3 คาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 0.75% ในไตรมาส 3/2525 โดยส่วนใหญ่มองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นสูงในเดือนกรกฎาคม
ตลาดปัจจุบันประเมินโอกาส 40% ที่ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม 2525 ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนค่าเงินเยนในระยะกลาง
ความแตกต่างของทิศทางนโยบายการเงินระหว่าง ECB และ BOJ ส่งผลโดยตรงต่อคู่เงิน EUR/JPY โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Differential) ปัจจุบันอยู่ที่ 3.0% (ECB 3.5% – BOJ 0.5%) แต่คาดว่าจะลดลงเหลือ 2.75% ภายในสิ้นปี 2525 หากเป็นไปตามคาดการณ์ว่า ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 75 bps และ BOJ จะปรับขึ้น 25 bps
การลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยกดดันต่อคู่เงิน EUR/JPY ในระยะกลาง เนื่องจากลดความดึงดูดในการถือครองสินทรัพย์ที่อยู่ในสกุลเงินยูโรเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่อยู่ในสกุลเงินเยน
ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระหว่างเยอรมันและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวของคู่เงิน EUR/JPY โดยทั่วไปแล้ว เมื่อส่วนต่างนี้ขยายตัว (พันธบัตรเยอรมันให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรญี่ปุ่นมากขึ้น) จะส่งผลบวกต่อค่าเงิน EUR/JPY และในทางกลับกัน เมื่อส่วนต่างนี้หดตัว จะส่งผลลบต่อค่าเงิน EUR/JPY
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 2.40% (ลดลง 10 bps จากสัปดาห์ก่อนหน้า) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 10 ปี อยู่ที่ 0.55% (เพิ่มขึ้น 5 bps) ส่งผลให้ส่วนต่างผลตอบแทน (Yield Spread) ลดลงเหลือ 1.85% จาก 2.00% เมื่อต้นเดือนมีนาคม
การลดลงของส่วนต่างผลตอบแทนนี้สอดคล้องกับการปรับตัวลงของ EUR/JPY จากระดับ 163.12 เป็น 161.53 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และหากส่วนต่างนี้ยังคงหดตัวลงต่อไป อาจกดดันให้ EUR/JPY ปรับตัวลงสู่ระดับ 160.50 หรือต่ำกว่า
ในยูโรโซน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมันได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่อไปนี้:
ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่อไปนี้:
นอกเหนือจากนโยบายการเงินและส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแล้ว ยังมีปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของคู่เงิน EUR/JPY ในสัปดาห์นี้
มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 มีนาคม 2525 อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยเฉพาะต่อผู้ผลิตและส่งออกในญี่ปุ่นและเยอรมนี
ประธาน ECB Christine Lagarde เตือนว่าสงครามการค้าอาจเพิ่มเงินเฟ้อในยูโรโซนขึ้น 0.5% และส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ BOJ แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่พึ่งพาการส่งออก
ผลกระทบจากสงครามการค้าอาจส่งผลต่อทั้งเศรษฐกิจยูโรโซนและญี่ปุ่น แต่เนื่องจากญี่ปุ่นมีการพึ่งพาการส่งออกมากกว่า จึงอาจได้รับผลกระทบมากกว่า ซึ่งอาจกดดันค่าเงินเยนในระยะสั้น แต่ในระยะกลางถึงยาว การแข็งค่าของเงินเยนอาจเกิดขึ้นจากการไหลเข้าของเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
ระดับสต็อกก๊าซธรรมชาติในยุโรปปัจจุบันอยู่ที่ 62% ของความจุ ซึ่งแม้จะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเล็กน้อย แต่ยังคงเสี่ยงต่อการขาดแคลนหากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ไม่คาดคิด ราคาก๊าซ TTF Futures ที่เพิ่มขึ้น 4.2% ในสัปดาห์นี้ อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมหนักของเยอรมนี และกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในยูโรโซน
วิกฤตพลังงานที่อาจเกิดขึ้นจะเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินยูโร และอาจส่งผลให้ EUR/JPY ปรับตัวลงหากสถานการณ์ทวีความรุนแรง
ความไม่แน่นอนทางการเมืองในยูโรโซน รวมถึงการเลือกตั้งในประเทศสมาชิกสำคัญ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจยูโรโซนและค่าเงินยูโร ในขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นภายใต้รัฐบาลปัจจุบันยังคงมุ่งเน้นการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ยั่งยืน
นอกจากปัจจัยโดยตรงที่ส่งผลต่อคู่เงิน EUR/JPY แล้ว ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างตลาดอื่นๆ ที่นักลงทุนควรติดตาม เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของตลาดและทิศทางของคู่เงินนี้ได้ดียิ่งขึ้น
EUR/JPY มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ โดยเฉพาะ S&P 500 และ Nikkei 225 เนื่องจากเงินเยนมักเป็นสกุลเงินที่ใช้ในธุรกรรม Carry Trade (การกู้ยืมในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า) เมื่อความเชื่อมั่นในตลาดสูง (Risk-on Sentiment) EUR/JPY มักจะปรับตัวขึ้น แต่เมื่อความเชื่อมั่นในตลาดลดลง (Risk-off Sentiment) EUR/JPY มักจะปรับตัวลง
ในสัปดาห์นี้ หากดัชนีตลาดหุ้นสำคัญปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจส่งผลให้ EUR/JPY ปรับตัวลงตามไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนอาจลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงินเยน
EUR/JPY มีความสัมพันธ์กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท โดยเฉพาะน้ำมันดิบ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันเป็นหลัก ขณะที่หลายประเทศในยูโรโซนมีการนำเข้าและส่งออกน้ำมันที่สมดุลกว่า ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอย่างรวดเร็วอาจส่งผลลบต่อค่าเงินเยนและอาจส่งผลบวกต่อ EUR/JPY ในระยะสั้น
ในสัปดาห์นี้ หากราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนสูง อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ EUR/JPY โดยเฉพาะหากมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก
โดยสรุป ปัจจัยพื้นฐานหลายประการกำลังส่งผลต่อทิศทางของคู่เงิน EUR/JPY ในสัปดาห์ที่ 24-28 มีนาคม 2525 โดยเฉพาะความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง ECB และ BOJ ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนควรติดตามเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เบื้องต้นของยูโรโซน และถ้อยแถลงของผู้ว่าการ BOJ Kazuo Ueda ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินและส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของคู่เงิน EUR/JPY ในระยะสั้นถึงกลาง
ผลการวิเคราะห์คู่เงิน EUR/JPY ในสัปดาห์ที่ 24-28 มีนาคม 2525 แสดงให้เห็นถึงภาวะตลาดที่กำลังเผชิญกับแรงกดดันขาลงในระยะสั้น เนื่องจากปัจจัยทั้งทางเทคนิคและพื้นฐานที่เริ่มเปลี่ยนทิศทาง ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของราคาในสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีความผันผวนสูงระหว่าง 160.73 ถึง 164.18 ได้สร้างโอกาสการเทรดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง
ในมุมมองทางเทคนิค EUR/JPY กำลังอยู่ในช่วงการปรับฐานลงในระยะสั้น หลังจากที่ไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ 164.18 ขึ้นไปได้ในวันที่ 18 มีนาคม 2525 และสร้างรูปแบบแท่งเทียน “Bearish Engulfing” ในวันที่ 19 มีนาคม การปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วัน (SMA 10) และค่า RSI ในกรอบรายวันที่ลดลงจาก 58.3 เป็น 46.8 บ่งชี้ถึงแรงกดดันขาลงที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางยังคงได้รับการสนับสนุนตราบใดที่ราคายังคงยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (SMA 50) ที่บริเวณ 159.80
ในมุมมองพื้นฐาน ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อคู่เงิน EUR/JPY คือความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง ECB และ BOJ โดย ECB มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2525 หากเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง ในขณะที่ BOJ อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 3/2525 ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระหว่างเยอรมันและญี่ปุ่นมีแนวโน้มหดแคบลง ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อคู่เงิน EUR/JPY ในระยะกลาง
นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ EUR/JPY ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 มีนาคม 2525 ซึ่งอาจกระทบทั้งเศรษฐกิจยูโรโซนและญี่ปุ่น รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตพลังงานในยุโรป และความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจในภูมิภาคทั้งสอง
จากการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและพื้นฐาน แนวคิดกลยุทธ์การเทรดที่แนะนำสำหรับสัปดาห์นี้คือ การเทรดตามแนวโน้มขาลงในระยะสั้น โดยจับจังหวะขายเมื่อราคาฟื้นตัว ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:
เป้าหมายกำไร:
จุดตัดขาดทุน:
การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการเทรดคู่เงิน EUR/JPY ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากตลาดอาจมีความผันผวนสูงรอบการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ แนวทางในการบริหารความเสี่ยงที่แนะนำมีดังนี้:
ในสรุป EUR/JPY มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับแรงกดดันขาลงในระยะสั้น เนื่องจากความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง ECB และ BOJ ที่กำลังเปลี่ยนแปลง และส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่หดแคบลง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางยังคงได้รับการสนับสนุนตราบใดที่ราคายังคงยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ที่บริเวณ 159.80 นักลงทุนควรติดตามเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เบื้องต้นของยูโรโซน และถ้อยแถลงของผู้ว่าการ BOJ Kazuo Ueda ในวันที่ 27 มีนาคม เพื่อระบุโอกาสในการเทรดที่มีศักยภาพและบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม