หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
คู่สกุลเงิน EUR/USD ได้สร้างจังหวะการเคลื่อนไหวที่น่าประทับใจในช่วงสัปดาห์ที่ 23-28 มิถุนายน 2025 โดยบันทึกอัตราการเติบโต +0.81% จากระดับเปิดที่ 1.16090 ไปสู่การปิดที่ 1.17033 ในวันที่ 26 มิถุนายน การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเงินยูโรเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของตลาดการเงินโลกที่กำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านนโยบายการเงินอย่างสำคัญ
การที่ราคาสามารถทะลุผ่านบริเวณ 1.1625-1.1660 ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญที่กั้นการขาขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน ถือเป็นสัญญาณเชิงเทคนิคที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุดระหว่าง 1.17447 ถึง 1.15824 ในสัปดาห์เดียวกันแสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมักเป็นลักษณะของตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหลักอย่างชัดเจน
ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการขาขึ้นอย่างแข็งแกร่งในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการบรรจบกันของปัจจัยสำคัญหลายประการ การประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่านได้ลดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้กระแสการลงทุนเปลี่ยนจากการแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยไปสู่การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ขณะเดียวกัน การให้การของประธาน Federal Reserve Jerome Powell ต่อสภาคองเกรสได้ส่งสัญญาณที่เป็นมิตรต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เดิม
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงเดียวกันได้เสริมแรงให้กับการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง รายงาน GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ที่แสดงการหดตัว -0.5% เป็นครั้งแรกในรอบสามปี ประกอบกับยอดขายบ้านใหม่ที่ลดลงอย่างรุนแรง -13.7% ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะที่ฝั่งยุโรปกลับแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่เข้มแข็งขึ้นผ่านดัชนี IFO Business Climate ของเยอรมนีที่ปรับตัวขึ้นเป็น 88.4 จุดในเดือนมิถุนายน
การทะลุระดับเทคนิคสำคัญในครั้งนี้มีความหมายเชิงกลยุทธ์ที่ลึกซึ้งกว่าการเคลื่อนไหวระยะสั้นทั่วไป การวิเคราะห์ Elliott Wave ชี้ให้เห็นว่าคู่สกุลเงินกำลังเข้าสู่ช่วง Wave 3 ของแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งมักเป็นช่วงที่มีกำลังและความต่อเนื่องมากที่สุดในรอบการเคลื่อนไหว การที่ระดับ 1.1575 ซึ่งเคยเป็นแนวต้านได้ถูกทะลุไปแล้วและกลายเป็นแนวรับใหม่ ยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาที่มีแนวโน้มจะยั่งยืนในระยะข้างหน้า
ความสำคัญของช่วงเวลานี้ยังสะท้อนออกมาผ่านการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตลาดระหว่างสินทรัพย์ต่างประเภท การที่ราคาทองคำลดลง -1.6% ในช่วงเดียวกับที่ดัชนี US Dollar Index ร่วงลงสู่จุดต่ำสุดรอบสามปีที่ 97.27 จุด แสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนเงินทุนจากสินทรัพย์ปลอดภัยไปสู่การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ดัชนีหุ้นทั้ง S&P 500 และ STOXX Europe 600 ที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงเดียวกันสนับสนุนภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงทิศทางการลงทุนนี้
การเคลื่อนไหวในสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงไม่เพียงแต่เป็นการปรับตัวระยะสั้น แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่อาจมีผลกระทบต่อทิศทางของ EUR/USD ในระยะกลางถึงยาว สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ การเข้าใจบริบทและปัจจัยพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวในครั้งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงที่ตลาดกำลังเข้าสู่ระยะของการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
การให้การของประธาน Federal Reserve Jerome Powell ต่อวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2025 ได้สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในการรับรู้ของตลาดต่อทิศทางนโยบายการเงินสหรัฐฯ Powell ได้หลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่แข็งกร้าวและยอมรับอย่างชัดเจนว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่อาจกดดันเศรษฐกิจเล็กน้อย การแสดงท่าทีดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากจุดยืนที่เคยเน้นความระมัดระวังต่อการลดดอกเบี้ยก่อนหน้านี้
ผลกระทบจากการให้การดังกล่าวขยายไปสู่การเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ แทนที่จะรอให้ Fed ลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนตามที่คาดการณ์ไว้เดิม ตลาดเริ่มปรับความคาดหวังให้เร็วขึ้นเป็นเดือนกรกฎาคม การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอย่างรุนแรง โดย US Dollar Index ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดรอบสามปีที่ 97.27 จุด สร้างแรงหนุนที่แข็งแกร่งให้กับสกุลเงินอื่นโดยเฉพาะเงินยูโร
ความกังวลเพิ่มเติมเกิดขึ้นจากรายงานที่ระบุว่าประธานาธิบดี Donald Trump กำลังพิจารณาการเปลี่ยนตัวประธาน Federal Reserve ก่อนครบวาระ การพัฒนาดังกล่าวได้เพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ และส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ธนาคารกลางยุโรปได้ดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 25 basis points เป็น 2.00% ในการประชุมเมื่อวันที่ 4-5 มิถุนายน 2025 อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวได้รับการตีความในเชิงบวกจากตลาดเนื่องจากประธาน Christine Lagarde ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายในรอบนี้ และ ECB จะหยุดพักเพื่อประเมินผลกระทบจากการปรับนโยบายที่ผ่านมา
การที่ ECB แสดงความระมัดระวังในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ขณะที่ Fed กลับเริ่มส่งสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองเขตเศรษฐกิจให้เป็นประโยชน์ต่อเงินยูโร การพัฒนานี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการแข็งค่าของ EUR/USD ในระยะกลาง
ข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซนที่ลดลงเล็กน้อยเหลือ 2.5% ในเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม ทำให้ ECB มีพื้นที่ในการรักษานโยบายการเงินไว้ในระดับปัจจุบันโดยไม่จำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม สถานการณ์นี้แตกต่างอย่างชัดเจนจากสหรัฐฯ ที่เผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นให้ผ่อนคลายนโยบายการเงิน
รายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เผยให้เห็นสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ข้อมูล GDP ไตรมาสแรกปี 2025 ในการประมาณการครั้งที่สามแสดงการหดตัว -0.5% ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบสามปี การปรับลดจากการประมาณการครั้งที่สองสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ลึกกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ภาคที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ แสดงสัญญาณการชะลอตัวอย่างรุนแรงผ่านยอดขายบ้านใหม่เดือนพฤษภาคมที่ลดลง -13.7% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า การลดลงในสัดส่วนดังกล่าวสะท้อนถึงผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคที่มีความไวต่อดอกเบี้ยสูง และเป็นการยืนยันข้อโต้แย้งสำหรับการลดดอกเบี้ยของ Federal Reserve
การรวมกันของข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอเหล่านี้ได้เพิ่มแรงกดดันให้ Federal Reserve พิจารณาการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินให้เร็วกว่าที่วางแผนไว้เดิม นักวิเคราะห์หลายรายเริ่มปรับประมาณการความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC วันที่ 29-30 กรกฎาคม 2025 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจยุโรปแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่เข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนี IFO Business Climate ของเยอรมนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 88.4 จุดในเดือนมิถุนายน จาก 87.5 จุดในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ที่ 88.2 จุด การปรับตัวดีขึ้นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่หกและเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งปี
ความสำคัญของข้อมูล IFO ไม่เพียงแต่อยู่ที่ตัวเลขที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่เยอรมนีในฐานะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยูโรโซนแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง ส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจของยูโรโซนโดยรวม
ข้อมูล PMI เบื้องต้นของเยอรมนีเดือนมิถุนายนที่แสดงการกลับเข้าสู่เขตขยายตัวที่ 50.4 จุด หลังจากหดตัวในเดือนพฤษภาคม เป็นการยืนยันเพิ่มเติมถึงโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป การพัฒนาเหล่านี้สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
การประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่านโดยประธานาธิบดี Trump เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2025 ได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาวะจิตวิทยาตลาดการเงินโลก การลดลงของความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ทำให้นักลงทุนลดการแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยและหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนคือการลดลงของราคาน้ำมันดิบ WTI จาก premiums ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกปลดออก ราคาน้ำมันร่วงลง 6.0% ในวันที่ 23 มิถุนายน ก่อนที่จะรีบาวด์กลับมาในวันถัดไป การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโลกและสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเงินทุนจากสินทรัพย์ปลอดภัยไปสู่สกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างเงินยูโร
การเปลี่ยนแปลงในภาวะ risk sentiment ได้สร้างผลกระทบต่อการไหลของเงินทุนระหว่างสกุลเงินอย่างมีนัยสำคัญ ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เคยได้รับประโยชน์จากการเป็นสกุลเงินปลอดภัยในช่วงความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ กลับกลายเป็นฝ่ายที่สูญเสียเมื่อความเสี่ยงดังกล่าวลดลง ขณะที่เงินยูโรได้รับการสนับสนุนจากการไหลกลับของเงินทุนที่แสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น
การวิเคราะห์ในกรอบเวลารายวันแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเคลื่อนไหวของ EUR/USD อย่างชัดเจน การที่ราคาสามารถทะลุและปิดเหนือระดับ 1.1625 อย่างมั่นคงได้ยืนยันการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มการเคลื่อนไหวในช่วงแคบไปสู่แนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน ระดับนี้ถือเป็นจุดสำคัญทางจิตวิทยาที่นักเทรดติดตามมาเป็นระยะเวลานาน และการทะลุผ่านได้สร้างความเชื่อมั่นในแนวโน้มขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การวิเคราะห์ Elliott Wave ในกรอบเวลารายวันชี้ให้เห็นว่าคู่สกุลเงินกำลังดำเนินอยู่ในช่วง Wave 3 ของแนวโน้มขาขึ้นหลัก ซึ่งตามทฤษฎี Elliott Wave แล้ว Wave 3 มักเป็นคลื่นที่มีความแข็งแกร่งและต่อเนื่องมากที่สุดในรอบการเคลื่อนไหว การที่ราคาเริ่มแสดงลักษณะการเคลื่อนไหวแบบ impulsive มากกว่า corrective สนับสนุนทฤษฎีนี้อย่างชัดเจน
Simple Moving Averages ในระยะต่างๆ บนกรอบเวลารายวันได้เรียงตัวในลักษณะที่สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น การที่ SMA ระยะสั้นเคลื่อนไหวเหนือ SMA ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง และมีการขยายตัวของระยะห่างระหว่าง moving averages แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโมเมนตัมปัจจุบัน ราคาปัจจุบันที่อยู่เหนือ moving averages ทุกเส้นยืนยันการควบคุมของฝ่ายซื้อในตลาด
RSI ในกรอบเวลารายวันเริ่มเข้าสู่เขต overbought โดยมีค่าประมาณ 75-77 จุด ซึ่งแม้จะยังไม่ถึงระดับที่ถือว่าเกินพิกัดอย่างรุนแรง แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดอาจต้องการการพักฐานในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง RSI สามารถอยู่ในเขต overbought ได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่จำเป็นต้องมีการปรับฐานทันที
การวิเคราะห์ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงให้ภาพที่ละเอียดขึ้นเกี่ยวกับโครงสร้างการเคลื่อนไหวและจุดเข้าซื้อขายที่เหมาะสม การที่ราคาสามารถสร้าง higher highs และ higher lows อย่างต่อเนื่องในกรอบเวลานี้ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้น การปรับฐานที่เกิดขึ้นระหว่างทางมีลักษณะเป็น healthy retracement ที่ไม่ได้ท้าทายโครงสร้างหลักของแนวโน้มขาขึ้น
MACD ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงแสดงสัญญาณที่เป็นบวกอย่างชัดเจน การที่ MACD line อยู่เหนือ signal line และทั้งสองเส้นอยู่เหนือเส้นศูนย์บ่งบอกถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่ยังคงแข็งแกร่ง Histogram ที่มีค่าเป็นบวกและมีแนวโน้มขยายตัวสนับสนุนการเคลื่อนไหวขาขึ้นต่อไป แม้ว่าจะมีช่วงที่ histogram แสดงการลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถือเป็นสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้ม
RSI ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงมีความสมดุลมากกว่ากรอบเวลารายวัน โดยมีค่าประมาณ 65-70 จุด ซึ่งอยู่ในเขตที่แสดงถึงโมเมนตัมที่แข็งแกร่งแต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะ extreme overbought การที่ RSI สามารถรักษาระดับเหนือ 50 จุดได้อย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นถึงการครอบงำของแรงซื้อในตลาด
การวิเคราะห์ fractal patterns ในกรอบเวลานี้ชี้ให้เห็นถึงการก่อตัวของ up fractals ที่ระดับสำคัญ ซึ่งบ่งบอกถึงจุดที่ราคาได้รับการสนับสนุนและสามารถเริ่มการเคลื่อนไหวขาขึ้นใหม่ การปรากฏของ up fractals ที่ระดับ 1.1575 และ 1.1625 ยืนยันถึงความสำคัญของระดับเหล่านี้ในฐานะแนวรับใหม่
การวิเคราะห์ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมงและต่ำกว่าให้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการเข้าซื้อขายในระยะสั้นและการหาจุดเข้าที่แม่นยำ ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง การเคลื่อนไหวแสดงลักษณะของการสะสมแรงก่อนการพุ่งขึ้น โดยมีการปรับฐานในช่วงแคบก่อนที่จะมีการทะลุระดับสำคัญ
Stochastic Oscillator ในกรอบเวลาระยะสั้นแสดงสัญญาณ overbought ในหลายช่วงเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่ %K และ %D lines อยู่เหนือระดับ 80 เป็นระยะเวลานานบ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนสำหรับการเข้าซื้อในระยะสั้น นักเทรดควรรอให้ stochastic กลับลงมาจากเขต overbought ก่อนพิจารณาเข้าซื้อ
การวิเคราะห์ในกรอบเวลา 30 นาที 15 นาที และ 5 นาทีแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการเคลื่อนไหวที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น แต่ยังคงรักษาทิศทางขาขึ้นไว้ได้ การที่ราคาสามารถสร้าง higher lows ในทุกการปรับฐานแสดงให้เห็นถึงความต้องการซื้อที่แข็งแกร่งในทุกระดับราคา การปรากฏของ buying on dips behavior เป็นสัญญาณบวกต่อการดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้น
Volume profile ในกรอบเวลาระยะสั้นแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายในช่วงที่ราคาทะลุระดับสำคัญ การที่มี volume confirmation ร่วมกับการทะลุทางเทคนิคเพิ่มความน่าเชื่อถือของการเคลื่อนไหวและลดโอกาสของการเกิด false breakout
การวิเคราะห์ทางเทคนิคในทุกกรอบเวลาให้สัญญาณที่สอดคล้องกันในการสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของ EUR/USD แม้ว่าจะมีสัญญาณเตือนจากตัวชี้วัดบางตัวในระยะสั้นเกี่ยวกับภาวะ overbought แต่โครงสร้างโดยรวมยังคงแข็งแกร่งและสนับสนุนการเคลื่อนไหวขาขึ้นต่อไป
จุดแข็งหลักของการวิเคราะห์ปัจจุบันคือการที่ทุกกรอบเวลาแสดงถึงการรักษาโครงสร้าง higher highs และ higher lows ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง การที่ระดับที่เคยเป็นแนวต้านกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งสร้างฐานที่มั่นคงสำหรับการเคลื่อนไหวขาขึ้นในระยะถัดไป การวิเคราะห์ Elliott Wave ที่ชี้ว่าอยู่ใน Wave 3 ยังให้แนวโน้มที่เป็นบวกสำหรับการขาขึ้นต่อไปในระยะกลาง
ความเสี่ยงที่ต้องติดตามคือการที่ตัวชี้วัดโมเมนตัมหลายตัวเริ่มเข้าสู่เขต overbought ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานทางเทคนิคในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การปรับฐานดังกล่าวมักจะเป็นโอกาสสำหรับการเข้าซื้อในราคาที่ดีกว่าสำหรับนักลงทุนที่มองระยะกลางถึงยาว การที่แนวโน้มหลักยังคงขาขึ้นและมีการสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งทำให้การปรับฐานทางเทคนิคมีแนวโน้มที่จะเป็นการปรับฐานที่ตื้นและมีระยะเวลาสั้น
ระดับแนวต้านแรกที่ EUR/USD ต้องเผชิญอยู่ในบริเวณ 1.1680-1.1730 ซึ่งถือเป็นเป้าหมายเบื้องต้นของการขาขึ้นในปัจจุบัน ระดับนี้มีความสำคัญทางเทคนิคเนื่องจากเป็นบริเวณที่เคยเป็นแนวต้านในอดีตและมีการรวมตัวของออร์เดอร์ขายจากนักเทรดที่ต้องการทำกำไรหลังจากการขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายในบริเวณนี้แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของแรงขายที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม แรงซื้อที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของปัจจัยพื้นฐานที่เอื้ออำนวยมีแนวโน้มที่จะสามารถดูดซับแรงขายดังกล่าวได้ การที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาในทิศทางที่อ่อนแอและสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของ Federal Reserve เป็นปัจจัยหนุนสำคัญสำหรับการทะลุระดับนี้
ความน่าจะเป็นในการทะลุระดับ 1.1680-1.1730 อยู่ในเกณฑ์สูง โดยเฉพาะหากข้อมูลการจ้างงาน Non-Farm Payrolls ที่จะออกในวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ การที่ตลาดคาดการณ์ว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยเร็วกว่าแผนเดิมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญสำหรับการทะลุแนวต้านระยะสั้นนี้
ระยะเวลาที่คาดว่าจะใช้ในการทดสอบและทะลุระดับนี้อยู่ประมาณ 3-5 วันทำการ หากมีการทะลุเกิดขึ้น ควรมีการยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นและการปิดราคาเหนือระดับ 1.1730 เป็นเวลาอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงเพื่อลดโอกาสของการเกิด false breakout
ระดับแนวต้านถัดไปที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือบริเวณ 1.1750-1.1800 ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักของแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง ระดับนี้มีความสำคัญทางจิตวิทยาสูงเนื่องจากเป็นบริเวณที่เข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบหลายปีของคู่สกุลเงิน การเข้าถึงระดับนี้จะเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้นและอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการรับรู้ของตลาดต่อ EUR/USD
การวิเคราะห์ตามทฤษฎี Elliott Wave ชี้ให้เห็นว่าระดับ 1.1750-1.1800 อาจเป็นเป้าหมายของ Wave 3 ในรอบการขาขึ้นปัจจุบัน การที่ Wave 3 มักจะมีความยาวประมาณ 1.618 เท่าของ Wave 1 ทำให้การคำนวณทางเทคนิคสนับสนุนเป้าหมายในบริเวณนี้ หากราคาสามารถเข้าถึงระดับนี้ได้ จะเป็นการยืนยันทฤษฎี Elliott Wave และเปิดทางสำหรับการเคลื่อนไหวขาขึ้นต่อไปในระยะยาว
ปัจจัยที่อาจสนับสนุนการทะลุระดับนี้รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันระหว่างธนาคารกลางทั้งสองฝั่ง การที่ European Central Bank แสดงความระมัดระวังในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมขณะที่ Federal Reserve เริ่มส่งสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงิน จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เป็นประโยชน์ต่อเงินยูโร
การยืนยันการทะลุระดับนี้จะต้องมาพร้อมกับการสนับสนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากฝั่งยูโรโซนและการอ่อนแอต่อเนื่องของข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ระยะเวลาในการเข้าถึงเป้าหมายนี้คาดว่าจะอยู่ในช่วง 2-3 สัปดาหน์ข้างหน้า โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยสนับสนุนที่เกิดขึ้น
ระดับแนวต้านในระยะยาวที่ 1.1850-1.1900 ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดสำหรับการขาขึ้นในรอบนี้หากสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยยังคงดำเนินต่อไป ระดับนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เนื่องจากเป็นบริเวณที่เคยเป็นระดับสูงสุดในช่วงที่เงินยูโรมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในอดีต การเข้าถึงระดับนี้จะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของตลาดการเงินโลกอย่างมีนัยสำคัญ
เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการไปถึงระดับนี้จะต้องรวมถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ การที่ Federal Reserve ต้องลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและรุนแรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรปจะต้องสามารถรักษานโยบายการเงินไว้ในระดับปัจจุบันหรือลดดอกเบี้ยในสัดส่วนที่น้อยกว่าสหรัฐฯ อย่างมาก
ปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับการเข้าถึงระดับนี้รวมถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจยุโรป การแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่สำคัญของยูโรโซน และการลดลงของความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลก การรวมกันของปัจจัยเหล่านี้จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข็งค่าของเงินยูโรอย่างมีนัยสำคัญ
ระยะเวลาที่คาดว่าจะใช้ในการเข้าถึงระดับนี้อยู่ในช่วง 6-12 เดือน หากเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงระดับนี้จะมาพร้อมกับความผันผวนที่สูงมากและความเสี่ยงของการเกิดการปรับฐานที่รุนแรงเมื่อราคาเข้าใกล้หรือแตะถึงระดับนี้
การประเมินระดับแนวต้านของ EUR/USD ในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างที่เป็นลำดับขั้นตอนซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นตามระดับราคาที่สูงขึ้น ระดับแนวต้านระยะสั้นที่ 1.1680-1.1730 มีความน่าจะเป็นสูงที่จะถูกทะลุภายในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่เอื้ออำนวยและโมเมนตัมทางเทคนิคที่ยังคงแข็งแกร่ง
ระดับแนวต้านระยะกลางที่ 1.1750-1.1800 จะเป็นการทดสอบที่สำคัญของความแข็งแกร่งแท้จริงของแนวโน้มขาขึ้น การทะลุระดับนี้จะต้องมีการสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่ชัดเจนและการยืนยันทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง ความสำเร็จในการทะลุระดับนี้จะเปิดทางสำหรับการเคลื่อนไหวขาขึ้นในระยะยาวที่มีนัยสำคัญ
สำหรับระดับแนวต้านระยะยาวที่ 1.1850-1.1900 จะต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ในระยะยาว แต่การเข้าถึงระดับนี้จะต้องมีการพัฒนาของเหตุการณ์ที่เอื้ออำนวยอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
กลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสมสำหรับการทำงานกับระดับแนวต้านเหล่านี้ควรมีการปรับแผนตามลำดับชั้นของความสำคัญ นักเทรดระยะสั้นควรมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากการทะลุแนวต้านระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนระยะยาวควรติดตามการพัฒนาของปัจจัยพื้นฐานที่จะสนับสนุนการเข้าถึงระดับแนวต้านที่สูงขึ้น การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมและการติดตามปัจจัยสนับสนุนอย่างใกล้ชิดจะเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นจากการทดสอบระดับแนวต้านเหล่านี้
ระดับแนวรับระยะสั้นที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันอยู่ที่บริเวณ 1.1590-1.1620 ซึ่งเป็นระดับที่มีความสำคัญทางจิตวิทยาและเทคนิคอย่างยิ่ง บริเวณนี้เดิมทีเป็นแนวต้านสำคัญที่กั้นการขาขึ้นของ EUR/USD มาเป็นระยะเวลานาน และการที่ราคาสามารถทะลุผ่านไปได้อย่างมั่นคงทำให้ระดับนี้เปลี่ยนบทบาทจากแนวต้านกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง
ความแข็งแกร่งของการรับจากระดับนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลักการทางเทคนิคที่เรียกว่า “support and resistance role reversal” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ระดับแนวต้านเดิมจะกลายเป็นแนวรับใหม่หลังจากถูกทะลุไปแล้ว การที่มีประวัติการทดสอบระดับนี้หลายครั้งในอดีตทำให้นักเทรดและนักลงทุนให้ความสำคัญกับระดับนี้อย่างมาก
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อขายในอดีต บริเวณ 1.1590-1.1620 เป็นโซนที่มีปริมาณออร์เดอร์ซื้อสะสมอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบันที่มองเห็นโอกาสจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะกลาง การมีอยู่ของออร์เดอร์ซื้อเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการรับราคาหากเกิดการปรับฐานลง
ความน่าเชื่อถือของแนวรับนี้ได้รับการเสริมแรงจากการวิเคราะห์ตัวชี้วัดทางเทคนิค การที่ RSI ในกรอบเวลารายวันเริ่มเข้าสู่เขต overbought แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการปรับฐานทางเทคนิค และระดับ 1.1590-1.1620 จะเป็นเป้าหมายธรรมชาติของการปรับฐานดังกล่าว หากราคาลงมาทดสอบระดับนี้และสามารถรับได้อย่างแข็งแกร่ง จะเป็นการยืนยันถึงความมั่นคงของแนวโน้มขาขึ้น
ระดับแนวรับระยะกลางที่ 1.1500-1.1550 ถือเป็นจุดสมดุลสำคัญของแนวโน้มขาขึ้นปัจจุบัน บริเวณนี้มีความสำคัญทางจิตวิทยาเนื่องจากเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับจุดกึ่งกลางของการเคลื่อนไหวขาขึ้นที่เกิดขึ้นตั้งแต่จุดต่ำสุดในช่วงต้นปี การที่ราคาลงมาทดสอบระดับนี้จะเป็นการทดสอบความมั่นใจของนักลงทุนต่อแนวโน้มขาขึ้นอย่างแท้จริง
การวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือ Fibonacci retracement แสดงให้เห็นว่าระดับ 1.1500-1.1550 ตรงกับการปรับฐาน 38.2% ถึง 50% ของการขาขึ้นที่เกิดขึ้น ระดับการปรับฐานเหล่านี้ถือเป็นการปรับฐานที่มีสุขภาพดีในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง การที่ราคาสามารถรับและฟื้นตัวจากระดับนี้ได้จะเป็นสัญญาณบวกสำหรับการดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้น
ความสำคัญของระดับนี้เพิ่มขึ้นจากการรวมตัวของ Simple Moving Averages ระยะยาวในบริเวณใกล้เคียง การที่ SMA 100 วันและ SMA 200 วันเริ่มเคลื่อนไหวเข้าใกล้บริเวณนี้ทำให้เป็นจุดที่มีการสนับสนุนทางเทคนิคจากหลายมิติ นักเทรดที่ใช้ moving averages เป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินใจมักจะให้ความสำคัญกับการทดสอบระดับเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาลงมาทดสอบระดับนี้จะต้องมาพร้อมกับสัญญาณเตือนที่สำคัญ หากการลดลงเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและมีปริมาณการซื้อขายสูง อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของตลาดที่มีนัยสำคัญ ในกรณีดังกล่าว นักเทรดควรพิจารณาการปรับกลยุทธ์และการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
ระดับแนวรับระยะยาวที่ 1.1400-1.1450 ถือเป็นเส้นป้องกันสุดท้ายของแนวโน้มขาขึ้นปัจจุบัน การที่ราคาลงมาทดสอบระดับนี้จะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และอาจหมายถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางปัจจุบัน
ความสำคัญของระดับนี้เกิดขึ้นจากการเป็นจุดเริ่มต้นของการขาขึ้นที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การที่ราคากลับลงมาทดสอบจุดเริ่มต้นนี้จะเป็นการทดสอบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนการขาขึ้นอย่างแท้จริง หากแรงซื้อยังคงแข็งแกร่งและสามารถรับราคาที่ระดับนี้ได้ จะเป็นการยืนยันถึงความมั่นคงของแนวโน้มระยะยาว
เงื่อนไขที่อาจนำไปสู่การทดสอบระดับนี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การที่ Federal Reserve เปลี่ยนจุดยืนและกลับมาเน้นการต่อสู้กับเงินเฟ้อแทนการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในยูโรโซนที่ทำให้ความเชื่อมั่นต่อเงินยูโรลดลงอย่างรุนแรง
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าหากราคาลงมาทดสอบระดับ 1.1400-1.1450 การรับที่เกิดขึ้นจะต้องมีลักษณะพิเศษเพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่าแนวโน้มขาขึ้นยังคงอยู่ การรับควรมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก การก่อตัวของรูปแบบ reversal patterns ที่ชัดเจน และการสนับสนุนจากข้อมูลพื้นฐานใหม่ที่เข้มแข็ง
ในกรณีที่ระดับนี้ไม่สามารถรับราคาได้ การทะลุลงไปจะเปิดทางสำหรับการปรับฐานที่รุนแรงกว่าเดิมและอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นการเคลื่อนไหวในช่วงแคบหรือแม้กระทั่งแนวโน้มขาลงในระยะสั้น นักเทรดและนักลงทุนควรเตรียมแผนการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ดังกล่าว
การประเมินระดับแนวรับของ EUR/USD แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างการป้องกันที่มีระบบและสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้นในระดับที่แตกต่างกัน ระดับแนวรับระยะสั้นที่ 1.1590-1.1620 มีความน่าเชื่อถือสูงเนื่องจากการเปลี่ยนบทบาทจากแนวต้านเป็นแนวรับและการสนับสนุนจากข้อมูลการซื้อขายในอดีต
ระดับแนวรับระยะกลางที่ 1.1500-1.1550 ทำหน้าที่เป็นจุดสมดุลสำคัญที่จะบ่งบอกถึงความมั่นคงของแนวโน้มขาขึ้น การทดสอบระดับนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการประเมินความเชื่อมั่นของตลาดต่อปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนการขาขึ้น ความสำเร็จในการรับที่ระดับนี้จะเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มและเปิดทางสำหรับการเคลื่อนไหวขาขึ้นต่อไป
สำหรับระดับแนวรับระยะยาวที่ 1.1400-1.1450 ถือเป็นเส้นแบ่งระหว่างการดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ การทดสอบระดับนี้จะต้องมาพร้อมกับการประเมินปัจจัยพื้นฐานใหม่และการปรับแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ
ความน่าเชื่อถือของระดับแนวรับแต่ละระดับขึ้นอยู่กับบริบทของการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่การทดสอบ การปรับฐานที่เกิดขึ้นจากการทำกำไรหลังการขาขึ้นมักจะได้รับการรับที่แข็งแกร่งกว่าการลดลงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐาน นักเทรดควรพิจารณาสาเหตุของการเคลื่อนไหวประกอบกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อประเมินความน่าจะเป็นของการรับที่แต่ละระดับอย่างถูกต้อง
การเคลื่อนไหวของ EUR/USD ในช่วงสัปดาห์ที่ 23-28 มิถุนายน 2025 ได้สร้างรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างตลาดที่แตกต่างจากภาวะปกติอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ intermarket relationships แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักลงทุนจากการแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยไปสู่การลงทุนที่มุ่งหาผลตอบแทนสูงขึ้น ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของภาวะตลาดโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและดัชนี US Dollar Index ได้แสดงพฤติกรรมที่ผิดไปจากกรอบความคิดดั้งเดิม ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำลดลง 1.6% จาก 3,372.86 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็น 3,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะเดียวกัน DXY ร่วงลงจาก 98.35 จุดไปสู่จุดต่ำสุดรอบสามปีที่ 97.27 จุด การเคลื่อนไหวพร้อมกันในทิศทางลงของทั้งสองสินทรัพย์แสดงให้เห็นถึงการลดลงของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างกว้างขวาง แม้ว่าโดยปกติแล้วทองคำและดอลลาร์จะมีความสัมพันธ์แบบสวนทาง
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากการคลี่คลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์หลังข้อตกลงหยุดยิงในตะวันออกกลาง ซึ่งทำให้พรีเมียมความปลอดภัยที่นักลงทุนเคยให้ความสำคัญลดลงอย่างรวดเร็ว ผลกระทบนี้สะท้อนออกมาผ่านการไหลของเงินทุนออกจากทั้งดอลลาร์และทองคำไปสู่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยเฉพาะเงินยูโรที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของ Federal Reserve
ตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐฯ และยุโรปได้แสดงการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงภาวะ risk sentiment อย่างชัดเจน ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นจาก 6,092.16 จุดไปสู่ 6,141.02 จุด ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดตลอดกาล ขณะที่ STOXX Europe 600 ปรับตัวขึ้น 1.11% ในวันที่ 24 มิถุนายน และ DAX ของเยอรมนีเพิ่มขึ้น 1.60% ในวันเดียวกัน
การเคลื่อนไหวขาขึ้นของตลาดหุ้นได้สร้างแรงหนุนเพิ่มเติมให้กับการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านกลไกที่เรียกว่า portfolio rebalancing effects นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยการขายดอลลาร์ล่วงหน้า เมื่อมูลค่าการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น ความต้องการในการป้องกันความเสี่ยงก็เพิ่มตาม ส่งผลให้แรงขายดอลลาร์เพิ่มขึ้นและสนับสนุนการแข็งค่าของสกุลเงินอื่น
การที่ตลาดหุ้นยุโรปแสดงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกันได้สร้างปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับเงินยูโร ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปผ่านการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นได้ช่วยเสริมแรงให้กับปัจจัยพื้นฐานอื่นที่สนับสนุนการแข็งค่าของ EUR/USD การที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นยุโรปจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงินยูโร ซึ่งสร้างแรงซื้อธรรมชาติสำหรับสกุลเงินยุโรป
ตลาดน้ำมันดิบได้สร้างผลกระทบที่ซับซ้อนต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงิน โดยเฉพาะการที่ราคา WTI ร่วงลง 6.0% ในวันที่ 23 มิถุนายนหลังประกาศการหยุดยิง การลดลงของราคาน้ำมันจากการปลดพรีเมียมความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลกผ่านการลดต้นทุนพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเงินทุนจากสินทรัพย์ปลอดภัยไปสู่สินทรัพย์เสี่ยง
ความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างราคาน้ำมันและตลาดหุ้นในช่วงนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการทำงานของกลไกตลาดที่มีประสิทธิภาพ การที่ราคาน้ำมันลดลงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์แทนที่จะเป็นปัจจัยอุปสงค์และอุปทานได้ทำให้บริษัทต่างๆ ได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นและสร้างแรงหนุนเพิ่มเติมสำหรับสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงกว่าดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันรีบาวด์กลับมาบ้างในวันถัดไปแสดงให้เห็นว่าตลาดยังคงให้ความสำคัญกับปัจจัยอุปสงค์และอุปทานในระยะยาว การที่ราคาไม่ได้ร่วงลงอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของอุปสงค์น้ำมันโลกและข้อจำกัดด้านอุปทานที่ยังคงอยู่ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะกลาง
ข้อมูล Commitments of Traders ล่าสุดแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุนที่มีนัยสำคัญ นักเก็งกำไรขนาดใหญ่ถือสุทธิ Long EUR/USD อยู่ที่ 101,553 สัญญา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบเก้าเดือน และเพิ่มขึ้น 8,528 สัญญาจากสัปดาห์ก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนมืออาชีพต่อแนวโน้มการแข็งค่าของเงินยูโร
การวิเคราะห์ข้อมูลตามประเภทของนักลงทุนแสดงให้เห็นภาพที่น่าสนใจ Asset Managers และ Institutional Investors ถือสุทธิ Long ที่ 333,078 สัญญา ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นของกองทุนระยะยาวต่อการแข็งค่าของเงินยูโร ขณะเดียวกัน Leveraged Funds หรือ Hedge Funds ได้พลิกกลับมาถือสุทธิ Long เล็กน้อยที่ 15,429 สัญญา หลังจากที่เคยถือ Short ในไตรมาสแรกของปี
ความสำคัญของข้อมูล positioning นี้อยู่ที่การที่ทั้ง smart money และ institutional money เห็นพ้องต้องกันในการสนับสนุน EUR/USD ซึ่งมักเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่ยั่งยืน การที่ Open Interest ลดลง 54,656 สัญญาในภาพรวมแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการปิดสถานะ Short มากกว่าการเปิดสถานะ Long ใหม่ ซึ่งบ่งบอกถึงการ short covering ที่อาจสร้างแรงหนุนเพิ่มเติมให้กับการขาขึ้น
สถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งได้ปรับมุมมองต่อ EUR/USD อย่างมีนัยสำคัญ Standard Chartered ได้ปรับการคาดการณ์เป็น “ดอลลาร์อ่อนลงใน 6-12 เดือนข้างหน้า” และระบุว่าเงินยูโรเป็นผู้ชนะหลักจากการเปลี่ยนแปลงการไหลของเงินทุนโลก BNP Paribas ได้ยกเป้าหมาย EUR/USD สามเดือนเป็น 1.15 และสิบสองเดือนเป็น 1.20 โดยให้เหตุผลจากอุปสงค์เงินทุนที่ไหลออกจากสหรัฐฯ และการหดตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
การปรับประมาณการจากสถาบันการเงินเหล่านี้มีความสำคัญเนื่องจากมักจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของลูกค้าสถาบันขนาดใหญ่ การที่หลายสถาบันเห็นพ้องกันในทิศทางเดียวกันจึงสร้างแรงกดดันให้เกิดการปรับสัดส่วนการลงทุนในทิศทางที่สนับสนุนเงินยูโร อย่างไรก็ตาม การที่มุมมองเอนเอียงไปในทิศทางเดียวกันมากเกินไปอาจเป็นความเสี่ยงของการเกิด crowded trade ที่นักลงทุนควรติดตาม
ข้อมูล retail sentiment ที่แสดงให้เห็นว่านักเทรดรายย่อยยังคงถือ Short EUR/USD อยู่ที่ 68% เทียบกับ Long 32% ในวันที่ 26 มิถุนายน เป็นสัญญาณ contrarian indicator ที่เป็นบวกต่อการแข็งค่าของเงินยูโร การที่นักเทรดรายย่อยมักจะเคลื่อนไหวช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงของตลาดทำให้การที่พวกเขายังคง Short อยู่ในขณะที่ราคากำลังขาขึ้นอาจเป็นแรงหนุนเพิ่มเติมจากการ short covering ในระยะข้างหน้า
สัปดาห์ที่ 1-5 กรกฎาคม 2025 จะเป็นช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของ EUR/USD อย่างมีนัยสำคัญ เหตุการณ์สำคัญที่สุดคือการประกาศข้อมูลการจ้างงาน Non-Farm Payrolls ของสหรัฐฯ ในวันที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงินของ Federal Reserve หากข้อมูลออกมาอ่อนแอกว่าคาดการณ์ จะเป็นการเสริมแรงให้กับความคาดหวังการลดดอกเบี้ยและสนับสนุนการอ่อนค่าต่อเนื่องของดอลลาร์สหรัฐฯ
เส้นตายการหยุดพักภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี Trump ในวันที่ 8-9 กรกฎาคม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ตลาดให้ความสำคัญ แม้ว่าโฆษกทำเนียบขาวจะระบุว่ากำหนดเวลานี้ไม่สำคัญและอาจมีการขยายเวลา แต่การตัดสินใจในเรื่องนี้จะส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หากมีการขยายเวลาหรือลดภาษีศุลกากร จะเป็นปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นของตลาดและ risk appetite
ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และยูโรโซนที่จะออกในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมจะมีผลกระทบต่อความคาดหวังนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั้งสองฝั่ง การที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้จะเป็นการสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่เงินเฟ้อยูโรโซนที่อยู่ใกล้เป้าหมาย ECB จะให้ธนาคารกลางยุโรปความยืดหยุ่นในการรักษานโยบายการเงินไว้ในระดับปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของส่วนต่างการคาดหวังเงินเฟ้อและดอกเบี้ยระหว่างสองเขตเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญสำหรับ EUR/USD ในระยะถัดไป
สำหรับนักลงทุนที่มีแผนการถือครองตำแหน่งเป็นระยะเวลาหลายสัปดาหน์ถึงหลายเดือน การวิเคราะห์ปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในทิศทางการซื้อ EUR/USD โดยอิงจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของนโยบายการเงินโลกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป กลยุทธ์หลักสำหรับการลงทุนระยะยาวควรมุ่งเน้นไปที่การสะสมตำแหน่งซื้อในช่วงที่เกิดการปรับฐานทางเทคนิค โดยเฉพาะเมื่อราคาลงมาทดสอบระดับแนวรับสำคัญที่ 1.1590-1.1620
การจัดสรรเงินทุนสำหรับการลงทุนระยะยาวควรแบ่งออกเป็นหลายช่วง โดยเริ่มต้นด้วยการเข้าตำแหน่งประมาณร้อยละ 30-40 ของเงินทุนที่วางแผนไว้เมื่อราคาอยู่ในระดับปัจจุบัน และเพิ่มเติมตำแหน่งในการปรับฐานลงมาที่ระดับ 1.1550-1.1590 เป้าหมายการลงทุนระยะยาวควรตั้งไว้ที่ระดับ 1.1750-1.1800 สำหรับระยะเวลา 2-3 เดือนข้างหน้า และ 1.1850-1.1900 สำหรับระยะเวลา 6-12 เดือน หากปัจจัยพื้นฐานยังคงเอื้ออำนวย
การจัดการความเสี่ยงสำหรับการลงทุนระยะยาวควรใช้ระดับ Stop Loss ที่ 1.1450 ซึ่งเป็นระดับที่การทะลุลงไปจะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของแนวโน้ม นักลงทุนควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการประชุมธนาคารกลางทั้งสองฝั่งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม การปรับตำแหน่งอาจจำเป็นหากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินที่แตกต่างจากคาดการณ์
การเทรดระยะกลางที่มีระยะเวลาการถือครองประมาณ 3-10 วันทำการเหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของแนวโน้มโดยไม่ต้องติดตามตลาดอย่างต่อเนื่อง ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ EUR/USD แสดงแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน กลยุทธ์ swing trading ที่เหมาะสมคือการซื้อในการปรับฐานและขายเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับแนวต้าน
จุดเข้าซื้อที่เหมาะสมสำหรับ swing trading อยู่ที่ระดับ 1.1620-1.1650 เมื่อราคาปรับฐานลงมาจากระดับสูงปัจจุบัน การยืนยันการเข้าตำแหน่งควรรอให้เห็นสัญญาณการรีบาวด์จากตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น RSI ที่กลับขึ้นมาจากระดับ oversold หรือ MACD ที่แสดงสัญญาณ bullish divergence เป้าหมายการทำกำไรสำหรับ swing trade ครั้งแรกควรตั้งไว้ที่ 1.1720-1.1750 ซึ่งเป็นระดับแนวต้านระยะสั้น
การจัดการความเสี่ยงสำหรับ swing trading ควรใช้ Stop Loss ที่แคบกว่าการลงทุนระยะยาว โดยตั้งไว้ที่ระดับ 1.1570-1.1590 เพื่อรักษาอัตราส่วน Risk-Reward ที่เหมาะสม นักเทรดควรใช้ trailing stop เมื่อตำแหน่งเริ่มมีกำไรประมาณ 50-70 pips เพื่อปกป้องกำไรและให้โอกาสการเคลื่อนไหวขาขึ้นต่อไป การตั้ง Take Profit แบบบางส่วนที่ระดับ 1.1700 เพื่อลดความเสี่ยงและรักษากำไรบางส่วนเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม
การเทรดภายในวันสำหรับ EUR/USD ในช่วงปัจจุบันต้องคำนึงถึงการเพิ่มขึ้นของความผันผวนหลังจากการทะลุระดับเทคนิคสำคัญ นักเทรด day trading ควรมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากการปรับฐานระยะสั้นภายในแนวโน้มขาขึ้นหลัก โดยใช้กรอบเวลา 1 ชั่วโมงและ 4 ชั่วโมงเป็นหลักในการวิเคราะห์ทิศทางหลัก และกรอบเวลา 15-30 นาทีสำหรับการหาจุดเข้าที่แม่นยำ
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเทรดภายในวันคือช่วง 14:00-18:00 น. ตามเวลาไทย เมื่อตลาดยุโรปและสหรัฐฯ เปิดทำการพร้อมกัน ซึ่งจะมีสภาพคล่องสูงและการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนกว่า นักเทรดควรหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วง 20:00-22:00 น. เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญซึ่งอาจสร้างความผันผวนที่ไม่คาดคิด
กลยุทธ์ day trading ที่แนะนำคือการใช้ breakout strategy เมื่อราคาทะลุระดับแนวต้านระยะสั้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น และ pullback strategy เมื่อราคาปรับฐานกลับมาทดสอบระดับที่เพิ่งทะลุไป การตั้ง Stop Loss ควรไม่เกิน 20-30 pips และ Take Profit ควรอยู่ในอัตราส่วน 1:2 หรือ 1:3 เพื่อรักษาผลตอบแทนที่เหมาะสมต่อความเสี่ยงที่รับ
การ scalping EUR/USD ในสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนแต่มีความผันผวนเพิ่มขึ้นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ นักเทรด scalping ควรมุ่งเน้นไปที่การเข้าซื้อในการปรับฐานระยะสั้นและออกจากตำแหน่งอย่างรวดเร็วเมื่อได้กำไรเป้าหมาย การใช้กรอบเวลา 1-5 นาทีสำหรับการวิเคราะห์รายละเอียดและกรอบเวลา 15-30 นาทีสำหรับการยืนยันทิศทางหลักเป็นแนวทางที่เหมาะสม
เป้าหมายกำไรสำหรับการ scalping ควรอยู่ที่ 5-15 pips ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ขณะที่ Stop Loss ไม่ควรเกิน 8-12 pips เพื่อรักษาอัตราส่วน Risk-Reward ที่เป็นบวก นักเทรดควรหลีกเลี่ยงการ scalping ในช่วง 30 นาทีก่อนและหลังการประกาศข่าวสำคัญ เนื่องจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันอาจทำให้เกิดการขาดทุนที่รุนแรง
การเลือกเวลาในการ scalping ควรมุ่งเน้นไปที่ช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง โดยเฉพาะช่วง 15:00-17:00 น. และ 21:00-23:00 น. ตามเวลาไทย การใช้เครื่องมือทางเทคนิคที่เหมาะสมกับการ scalping เช่น Bollinger Bands สำหรับหาจุดเข้าออกและ Stochastic Oscillator สำหรับยืนยันสัญญาณ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเทรด
การเทรดในช่วงที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญต้องการการเตรียมการพิเศษ สำหรับข้อมูล Non-Farm Payrolls ที่จะประกาศในวันที่ 3 กรกฎาคม นักเทรดควรลดขนาดตำแหน่งลงเหลือประมาณร้อยละ 50 ของปกติในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนการประกาศ และหลีกเลี่ยงการเปิดตำแหน่งใหม่ในช่วง 2 ชั่วโมงก่อนการประกาศข้อมูล
กลยุทธ์สำหรับการเทรดรอบข้อมูล NFP ควรเน้นไปที่การ trade the reaction มากกว่าการทายผลลัพธ์ หากข้อมูลออกมาอ่อนแอกว่าคาดการณ์ (ต่ำกว่า 140,000 ตำแหน่ง) แนวโน้มจะเป็นบวกต่อ EUR/USD และนักเทรดสามารถพิจารณาเข้าซื้อหลังจากการปรับฐานเริ่มต้น ในทางกลับกัน หากข้อมูลออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด (สูงกว่า 170,000 ตำแหน่ง) อาจมีการขายทำกำไรใน EUR/USD ในระยะสั้น
สำหรับการตัดสินใจเรื่องภาษีศุลกากรในวันที่ 8-9 กรกฎาคม นักเทรดควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนสำหรับทั้งสองสถานการณ์ หากมีการขยายเวลาหรือลดภาษีศุลกากร จะเป็นปัจจัยบวกต่อ EUR/USD และตลาดเสี่ยงโดยรวม ในขณะที่การดำเนินการตามแผนเดิมอาจสร้างความไม่แน่นอนระยะสั้น การใช้ pending orders และการตั้ง alert ที่ระดับเทคนิคสำคัญจะช่วยให้นักเทรดสามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว
การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเทรด EUR/USD ในช่วงที่ความผันผวนเพิ่มขึ้น นักเทรดควรใช้กฎการจัดการความเสี่ยงที่ไม่เสี่ยงเกินร้อยละ 2 ของเงินทุนรวมต่อการเทรดหนึ่งครั้งสำหรับการเทรดปกติ และไม่เกินร้อยละ 1 ในช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญหรือความไม่แน่นอนสูง การคำนวณขนาดตำแหน่งควรอิงจากระยะห่างของ Stop Loss และเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การกระจายความเสี่ยงสำหรับการเทรด EUR/USD ควรพิจารณาการเทรดในคู่สกุลเงินอื่นที่มี correlation ต่ำ เช่น GBP/JPY หรือ AUD/NZD เพื่อลดการพึ่งพาการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงทิศทางเดียว การติดตามข้อมูล correlation แบบ rolling 30 วันจะช่วยให้นักเทรดปรับกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงได้เหมาะสม
การใช้ trailing stop และ partial profit taking เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษากำไรและลดความเสี่ยง เมื่อตำแหน่งมีกำไรถึงร้อยละ 50 ของเป้าหมาย ควรปิดตำแหน่งบางส่วน (ประมาณร้อยละ 30-50) และเลื่อน Stop Loss ขึ้นมาที่ระดับ breakeven หรือเข้าใกล้ร้อยละ 25 ของกำไรปัจจุบัน การปรับ trailing stop ควรทำตามระดับเทคนิคสำคัญมากกว่าการใช้ระยะห่างคงที่เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมตลาดที่เปลี่ยนแปลง
การบันทึกผลการเทรดและการวิเคราะห์หลังการเทรดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง นักเทรดควรบันทึกเหตุผลในการเข้าและออกจากตำแหน่ง ผลลัพธ์ที่ได้ และบทเรียนที่ได้รับจากแต่ละการเทรด การทบทวนข้อมูลเหล่านี้เป็นประจำจะช่วยให้นักเทรดปรับปรุงกลยุทธ์และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดซ้ำ โดยเฉพาะในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นปัจจุบัน
การวิเคราะห์ครอบคลุมของ EUR/USD แสดงให้เห็นถึงการบรรจบกันของปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่งทั้งในมิติทางเทคนิคและพื้นฐานที่ส่งผลให้คู่สกุลเงินเข้าสู่ช่วงแนวโน้มขาขึ้นที่มีความน่าเชื่อถือสูง การทะลุระดับแนวต้านสำคัญที่ 1.1625-1.1660 พร้อมกับการยืนยันจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นได้สร้างรากฐานทางเทคนิคที่มั่นคงสำหรับการเคลื่อนไหวขาขึ้นต่อไป การวิเคราะห์ Elliott Wave ที่ชี้ให้เห็นว่าคู่สกุลเงินกำลังอยู่ในช่วง Wave 3 ของแนวโน้มขาขึ้นเป็นการยืนยันเพิ่มเติมถึงศักยภาพการเคลื่อนไหวในระยะกลาง
ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนการขาขึ้นของ EUR/USD มีความชัดเจนและครอบคลุมหลายมิติ การเปลี่ยนแปลงทิศทางของนโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ประกอบกับความระมัดระวังของธนาคารกลางยุโรปในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เป็นประโยชน์ต่อเงินยูโร การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่แสดงผ่านข้อมูล IFO Business Climate และ PMI ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องสร้างความเชื่อมั่นเพิ่มเติมต่อความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนเงินยูโร
การคลี่คลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากข้อตกลงหยุดยิงในตะวันออกกลางได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุนจากสินทรัพย์ปลอดภัยไปสู่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงใน risk sentiment นี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินยูโร การวิเคราะห์ข้อมูล positioning และ sentiment แสดงให้เห็นว่านักลงทุนสถาบันและ smart money ได้เพิ่มการถือครอง EUR/USD อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อความยั่งยืนของแนวโน้มขาขึ้น
ในระยะสั้น คือ 1-2 สัปดาหน์ข้างหน้า ความเสี่ยงหลักที่ต้องติดตามคือการปรับฐานทางเทคนิคจากภาวะ overbought ที่เริ่มปรากฏในตัวชี้วัดโมเมนตัมหลายตัว การที่ RSI ในกรอบเวลารายวันเข้าสู่เขตเหนือ 75 จุดและ Stochastic Oscillator แสดงสัญญาณ overbought ในกรอบเวลาระยะสั้นอาจนำไปสู่การพักฐานที่ระดับแนวรับสำคัญ 1.1590-1.1620 อย่างไรก็ตาม การปรับฐานดังกล่าวควรมองในแง่ของโอกาสสำหรับการเข้าซื้อในราคาที่ดีกว่าสำหรับนักลงทุนที่มองระยะกลางถึงยาว
เหตุการณ์สำคัญในระยะสั้นที่อาจสร้างความผันผวนรวมถึงการประกาศข้อมูล Non-Farm Payrolls ในวันที่ 3 กรกฎาคม และการตัดสินใจเรื่องภาษีศุลกากรในวันที่ 8-9 กรกฎาคม ทั้งสองเหตุการณ์มีศักยภาพในการสร้างการเคลื่อนไหวที่รุนแรงในระยะสั้น แต่ผลกระทบระยะยาวจะขึ้นอยู่กับการตีความของตลาดต่อนัยยะของข้อมูลเหล่านี้ต่อนโยบายการเงินและการค้าของสหรัฐฯ
ในระยะกลาง คือ 1-3 เดือนข้างหน้า โอกาสสำหรับการเติบโตต่อเนื่องของ EUR/USD ดูมีความน่าเชื่อถือสูง หากปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนยังคงดำเนินต่อไป การประชุมธนาคารกลางทั้งสองฝั่งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมจะเป็นจุดสำคัญในการยืนยันทิศทางนโยบายการเงิน การที่ Federal Reserve อาจลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ขณะที่ ECB รักษาดอกเบี้ยไว้ในระดับปัจจุบันจะเป็นแรงหนุนต่อการแข็งค่าของ EUR/USD สู่เป้าหมาย 1.1750-1.1800
ความเสี่ยงในระยะกลางรวมถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงในทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่างจากคาดการณ์ การที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดหรือการที่เศรษฐกิจยุโรปแสดงสัญญาณการชะลอตัวที่รุนแรงกว่าที่คาด อาจส่งผลให้ความคาดหวังต่อนโยบายการเงินเปลี่ยนแปลงและสร้างแรงกดดันต่อ EUR/USD การพัฒนาทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในภูมิภาคอื่นก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
ในระยะยาว คือ 6-12 เดือนข้างหน้า ศักยภาพของ EUR/USD ในการเข้าถึงระดับ 1.1850-1.1900 ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงิน การที่ยูโรโซนสามารถรักษาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไว้ได้อย่างต่อเนื่องและแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่ยังคงอยู่จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความแข็งแกร่งระยะยาวของเงินยูโร ขณะเดียวกัน การที่สหรัฐฯ ปรับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อรับมือกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์ในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหลัก แนวทางที่แนะนำคือการสะสมตำแหน่งซื้อ EUR/USD อย่างเป็นระบบในช่วงการปรับฐาน โดยเฉพาะเมื่อราคาลงมาทดสอบระดับแนวรับสำคัญที่ 1.1590-1.1620 การแบ่งการลงทุนออกเป็นหลายช่วงจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าตำแหน่งในจังหวะที่ไม่เหมาะสม การตั้งเป้าหมายที่ระดับ 1.1800-1.1850 สำหรับระยะเวลา 6-9 เดือนเป็นแนวทางที่สมเหตุสมผลตามการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
นักเทรด swing trading ควรใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นโดยการเข้าซื้อในการปรับฐานระยะสั้นและออกจากตำแหน่งเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับแนวต้าน การใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อระบุจุดเข้าที่แม่นยำและการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมจะเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จ การเก็บตำแหน่งในช่วง 3-7 วันและการใช้ trailing stop เพื่อปกป้องกำไรเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน
นักเทรดระยะสั้นและ scalper ต้องปรับตัวให้เข้ากับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นโดยการลดขนาดตำแหน่งและเพิ่มความถี่ในการติดตามตลาด การหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีการประกาศข่าวสำคัญและการใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวดจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนที่ไม่คาดคิด การมุ่งเน้นไปที่การเทรดในทิศทางของแนวโน้มหลักจะเพิ่มโอกาสความสำเร็จมากกว่าการพยายามเทรดย้อนกลับแนวโน้ม
การติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อทิศทางของ EUR/USD ต้องครอบคลุมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจ การประชุมธนาคารกลาง และการพัฒนาทางภูมิรัฐศาสตร์ ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญรวมถึงข้อมูลการจ้างงาน อัตราเงินเฟ้อ และตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯ และยูโรโซน การเปลี่ยนแปลงในข้อมูลเหล่านี้อาจส่งผลต่อความคาดหวังนโยบายการเงินและต้องมีการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
การประชุมและการแถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจาก Federal Reserve และ ECB ต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด การเปลี่ยนแปลงในโทนเสียงหรือการให้คำแนะนำเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคตอาจสร้างผลกระทบต่อ EUR/USD อย่างทันที นักเทรดควรเตรียมแผนสำหรับสถานการณ์ต่างๆ และมีความพร้อมในการปรับตำแหน่งตามข้อมูลใหม่ที่เกิดขึ้น
การติดตามระดับเทคนิคสำคัญและการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัดโมเมนตัมจะช่วยให้นักเทรดระบุจุดเข้าออกที่เหมาะสม การตั้ง alert ที่ระดับแนวต้านและแนวรับสำคัญจะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว การทบทวนและปรับแผนการเทรดเป็นประจำทุกสัปดาหน์จะช่วยให้กลยุทธ์การเทรดสอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
การวิเคราะห์ครอบคลุมของ EUR/USD ชี้ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในทิศทางการซื้อ โดยได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและสัญญาณทางเทคนิคที่เป็นบวก การทะลุระดับเทคนิคสำคัญพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของปัจจัยพื้นฐานสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางถึงยาว แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากการปรับฐานทางเทคนิคในระยะสั้น แต่โครงสร้างโดยรวมยังคงสนับสนุนการเคลื่อนไหวขาขึ้นต่อไป
ความสำเร็จในการเทรด EUR/USD ในช่วงนี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด นักลงทุนและเทรดเดอร์ที่สามารถรักษาระเบียบวินัยในการเทรดและติดตามปัจจัยสำคัญอย่างสม่ำเสมอจะมีโอกาสสูงในการได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจจากการเคลื่อนไหวของ EUR/USD ในระยะข้างหน้า การรักษาความยืดหยุ่นและความพร้อมในการปรับแผนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการลงทุนในช่วงที่ตลาดการเงินโลกกำลังผ่านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญ