หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
คู่เงิน EURGBP ได้แสดงสัญญาณการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นสัปดาห์ที่ 21-25 เมษายน 2025 โดยมีการเคลื่อนไหวเหนือระดับสำคัญที่ 0.8600 ส่งผลให้แนวโน้มในระยะสั้นยังคงเป็นเชิงบวก การวิเคราะห์จากหลายกรอบเวลา (Multi-timeframe Analysis) บ่งชี้ว่าคู่เงินนี้กำลังเคลื่อนไหวในช่วงขาขึ้นของวัฏจักรราคา โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทั้งทางเทคนิคและพื้นฐาน
จากการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์พบว่าค่า RSI ในกรอบเวลา H4 และ D1 ยังไม่เข้าสู่เขต Overbought แสดงถึงแรงซื้อที่มีเพียงพอในการผลักดันราคาเพิ่มขึ้นได้อีก ขณะที่ MACD ในกรอบเวลา H1 แสดงสัญญาณเชิงบวกเมื่อเส้น MACD ตัดเหนือเส้น Signal โดยมี Histogram ที่เป็นบวกและขยายตัวขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของคู่เงินนี้ประกอบด้วยการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความแตกต่างในนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BOE) นอกจากนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากความคืบหน้าเชิงบวกอาจส่งผลให้ปอนด์แข็งค่าขึ้นและกดดันคู่เงินนี้
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ คู่เงิน EURGBP ในช่วงนี้นำเสนอโอกาสการเทรดที่น่าสนใจในกรอบการซื้อขายที่ค่อนข้างแคบ โดยเฉพาะการเข้าซื้อเมื่อราคาทดสอบแนวรับสำคัญและมีการยืนยันจากอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค ทั้งนี้ ผู้เทรดควรใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมและติดตามปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของคู่เงินอย่างต่อเนื่อง
บทวิเคราะห์นี้จะครอบคลุมการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างละเอียดในหลายกรอบเวลา การประเมินเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ การระบุระดับแนวรับและแนวต้านหลัก รวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของคู่เงิน EURGBP เพื่อให้ผู้อ่านมีข้อมูลที่ครบถ้วนสำหรับการตัดสินใจซื้อขาย
ในการวิเคราะห์ทิศทางของคู่เงิน EURGBP นอกเหนือจากปัจจัยทางเทคนิคแล้ว การติดตามเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินยูโรและปอนด์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์นี้ (21-25 เมษายน 2025) มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญต่อไปนี้ที่นักลงทุนควรจับตามอง:
1. รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการของยูโรโซน (24 เมษายน 2025)
ดัชนี PMI เป็นตัวบ่งชี้สำคัญของภาวะเศรษฐกิจในภาคการผลิตและบริการ หากข้อมูลออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ จะเป็นปัจจัยหนุนให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น ส่งผลบวกต่อคู่เงิน EURGBP ในทางกลับกัน หากข้อมูลออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจส่งผลให้ยูโรอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันคู่เงินนี้
2. แถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) (25 เมษายน 2025)
ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะประธาน Christine Lagarde อาจให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต ซึ่งจะมีผลต่อมุมมองของตลาดต่อค่าเงินยูโร หากมีสัญญาณของการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม อาจกดดันให้ยูโรอ่อนค่าลงได้
1. รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหราชอาณาจักร (24 เมษายน 2025)
อัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BOE) หากอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจเพิ่มความกดดันให้ BOE ต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ปอนด์แข็งค่าขึ้น และกดดันคู่เงิน EURGBP
2. รายงานยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักร (25 เมษายน 2025)
ยอดค้าปลีกเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการบริโภคภาคเอกชนและความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ หากข้อมูลออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ จะเป็นปัจจัยหนุนให้ปอนด์แข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจกดดันคู่เงิน EURGBP
1. ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
การเจรจาที่มีความคืบหน้าเชิงบวกอาจส่งผลให้ปอนด์แข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะหากมีข้อตกลงเกี่ยวกับการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหราชอาณาจักรที่ประธานาธิบดี Trump ได้เพิ่มขึ้นเป็น 10% สำหรับสินค้าทั่วไป และ 25% สำหรับรถยนต์ เหล็ก และอลูมิเนียม
2. ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีผลต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเงินสกุลหลักอื่นๆ รวมถึงยูโรและปอนด์ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ แสดงสัญญาณของความอ่อนแอ อาจส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อยูโรมากกว่าปอนด์ในสถานการณ์ปัจจุบัน
การติดตามและวิเคราะห์ผลกระทบของเหตุการณ์เศรษฐกิจเหล่านี้ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่ครบถ้วนมากขึ้นต่อแนวโน้มของคู่เงิน EURGBP โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกหลายประการ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของคู่เงิน EURGBP ในหลายกรอบเวลาให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มและจุดเข้าซื้อขายที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ 21-25 เมษายน 2025 ซึ่งมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจหลายประการ
ในกรอบเวลารายวัน คู่เงิน EURGBP แสดงแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน โดยราคาเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ทั้ง 50 วันและ 100 วัน ซึ่งเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง นอกจากนี้ การที่ SMA ระยะสั้นตัดขึ้นเหนือ SMA ระยะยาว (Golden Cross) ยังเป็นสัญญาณยืนยันของแนวโน้มขาขึ้นอีกด้วย
ค่า RSI ในกรอบเวลานี้อยู่ที่ประมาณ 58-60 ซึ่งแสดงถึงแรงซื้อที่มีเสถียรภาพโดยไม่เข้าสู่เขต Overbought (เหนือ 70) ขณะที่ MACD แสดงค่า Histogram เป็นบวกและขยายตัวขึ้น โดยเส้น MACD อยู่เหนือเส้น Signal ซึ่งสนับสนุนมุมมองเชิงบวกต่อคู่เงินนี้
ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง เห็นได้ชัดว่าคู่เงิน EURGBP กำลังซื้อขายในรูปแบบ Ascending Channel โดยมีแนวโน้มขาขึ้นที่สม่ำเสมอ ราคาได้ทดสอบแนวรับด้านล่างของช่องทางนี้หลายครั้งและสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นสัญญาณของความแข็งแกร่งในแนวโน้มปัจจุบัน
ค่า Stochastic Oscillator (%K และ %D) กำลังเคลื่อนไหวขึ้นจากเขต Oversold (ต่ำกว่า 20) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโอกาสในการเข้าซื้อ โดยเฉพาะเมื่อ %K ตัดขึ้นเหนือ %D ขณะที่ค่า RSI ที่ประมาณ 55 ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไป
ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง สังเกตเห็นการเกิด Bullish Fractal ล่าสุดที่ระดับประมาณ 0.8550 ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็นแนวรับในระยะสั้น นอกจากนี้ ราคายังคงเคลื่อนไหวเหนือเส้น SMA ทั้ง 50 และ 200 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
MACD ในกรอบเวลานี้แสดงสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจน โดยมี Histogram ที่เป็นบวกและขยายตัวขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นในตลาด ประกอบกับค่า RSI ที่อยู่ในโซนกลาง (ประมาณ 52-55) ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไปได้อีก
ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า เช่น 15 นาทีและ 30 นาที แม้จะมีการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้น แต่ทิศทางโดยรวมยังคงสอดคล้องกับแนวโน้มขาขึ้นในกรอบเวลาที่สูงกว่า โดยสังเกตได้จากการที่ราคามักจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาหลังจากการปรับฐานในระยะสั้น
ในกรอบเวลา 30 นาที พบว่ามีการสร้างรูปแบบ Higher Lows และ Higher Highs อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นลักษณะของแนวโน้มขาขึ้น ขณะที่อินดิเคเตอร์ RSI และ Stochastic ให้สัญญาณซื้อเมื่อมีการปรับตัวลงมาที่เขต Oversold และเริ่มฟื้นตัวขึ้น
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคในหลายกรอบเวลา สามารถสรุปได้ว่าคู่เงิน EURGBP มีแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยมีแรงสนับสนุนจากอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคหลายตัว ทั้ง SMA, RSI, MACD และ Stochastic
โอกาสในการเข้าซื้อที่น่าสนใจคือเมื่อราคาทดสอบแนวรับที่สำคัญ เช่น ระดับ 0.8550 หรือ 0.8521 และมีการยืนยันจากอินดิเคเตอร์ เช่น RSI ที่เริ่มปรับตัวขึ้นจากเขต Oversold หรือ MACD ที่เส้น Histogram เริ่มกลับตัวเป็นบวก
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังการปรับฐานในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหากมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลให้ปอนด์แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
การระบุระดับแนวต้านที่มีนัยสำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางแผนการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการกำหนดเป้าหมายกำไรและจุดออกจากตลาด สำหรับคู่เงิน EURGBP ในช่วงนี้ มีระดับแนวต้านสำคัญที่ควรจับตามองดังต่อไปนี้
ระดับ 0.8600 เป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญสำหรับคู่เงิน EURGBP ซึ่งราคาได้ทดสอบระดับนี้ในวันที่ 21 เมษายน 2025 และมีการปรับตัวลงเล็กน้อย การที่ราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคงจะเป็นสัญญาณบวกที่แข็งแกร่งสำหรับแนวโน้มขาขึ้นต่อไป
ความสำคัญของระดับนี้ยังได้รับการยืนยันจากการที่เป็นจุดตัดกับเส้น SMA 20 วันในกรอบเวลารายวัน ซึ่งมักเป็นตัวบ่งชี้ของแรงต้านที่สำคัญในแนวโน้มขาขึ้น หากราคาสามารถปิดเหนือระดับนี้ได้หลายวันติดต่อกัน จะเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งขึ้น
ระดับ 0.8613 เป็นจุดสูงสุดล่าสุด (Recent High) ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน 2025 และยังเป็นระดับ Fibonacci Retracement ที่ 61.8% ของการปรับตัวลงครั้งล่าสุด ทำให้เป็นแนวต้านที่มีความสำคัญทางเทคนิค
นอกจากนี้ ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ระดับนี้ยังสอดคล้องกับแนวต้านด้านบนของ Ascending Channel ที่คู่เงินนี้กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อาจเกิดแรงขายทำกำไรเมื่อราคาเข้าใกล้
ระดับ 0.8630 เป็นแนวต้านระยะกลางที่สำคัญ โดยเป็นระดับสูงสุดที่ราคาเคยไปถึงในเดือนมีนาคม 2025 และยังเป็นระดับ Pivot Point ในกรอบเวลารายเดือน ทำให้มีความสำคัญในมุมมองระยะยาว
การที่ราคาสามารถทะลุผ่านระดับนี้ไปได้จะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มระยะกลางไปสู่การเป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และอาจนำไปสู่การทดสอบระดับสูงขึ้นไปที่ 0.8700 ในอนาคต
ระดับ 0.8650 เป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญและยังเป็นระดับ Fibonacci Extension ที่ 127.2% ของการปรับตัวขึ้นล่าสุด นอกจากนี้ ยังเป็นระดับที่มีความหนาแน่นของ Up Fractals ในกรอบเวลา 1 วัน ซึ่งแสดงถึงพื้นที่ที่เคยมีแรงขายทำกำไรมาก่อน
หากราคาสามารถทะลุผ่านระดับนี้ไปได้ จะเป็นสัญญาณของแรงซื้อที่แข็งแกร่งมากและอาจนำไปสู่การปรับตัวขึ้นที่รวดเร็วเนื่องจากการตัดขาดทุนของผู้ขายที่เข้ามาในระดับนี้
ระดับ 0.8680 เป็นแนวต้านระยะยาวที่สำคัญ โดยเป็นจุดสูงสุดที่ราคาเคยไปถึงในช่วงปลายปี 2024 ซึ่งหลังจากนั้นราคาได้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เป็นระดับที่อาจมีแรงขายสะสมรออยู่
ระดับนี้ยังสอดคล้องกับค่า RSI ที่เข้าใกล้เขต Overbought ในกรอบเวลารายวัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีการพักฐานหรือปรับตัวลงเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับนี้
การติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาเมื่อเข้าใกล้ระดับแนวต้านเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในการประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้มปัจจุบันและโอกาสในการทะลุผ่านแนวต้านไปสู่ระดับที่สูงขึ้น
การวิเคราะห์ระดับแนวรับที่สำคัญมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการกำหนดจุดเข้าซื้อและจุดตัดขาดทุน สำหรับคู่เงิน EURGBP ในช่วงสัปดาห์นี้ มีระดับแนวรับสำคัญที่ควรให้ความสนใจดังต่อไปนี้
ระดับ 0.8550 เป็นแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญซึ่งสามารถสังเกตได้จากการที่ราคาได้ทดสอบระดับนี้หลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ นอกจากนี้ ระดับนี้ยังใกล้เคียงกับเส้น SMA 50 ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ซึ่งมักทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในแนวโน้มขาขึ้น
ความสำคัญของระดับนี้ยังได้รับการยืนยันจากการเกิด Bullish Fractal ล่าสุดในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นจุดที่มีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุน หากราคาปรับตัวลงมาทดสอบระดับนี้อีกครั้ง นักลงทุนควรสังเกตสัญญาณการฟื้นตัวเพื่อพิจารณาเข้าซื้อ
ระดับ 0.8521 เป็นแนวรับที่สำคัญมากในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยเป็นจุดต่ำสุดล่าสุดที่ราคาเคยลงไปถึงก่อนที่จะเริ่มการปรับตัวขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน 2025 การที่ราคายังคงยืนเหนือระดับนี้ได้เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแนวโน้มขาขึ้นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับเส้น EMA 100 ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง และแนวรับด้านล่างของ Ascending Channel ที่คู่เงินนี้กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ทำให้เป็นระดับที่มีความสำคัญทางเทคนิคอย่างมาก หากราคาทะลุและปิดต่ำกว่าระดับนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะสั้น
ระดับ 0.8500 เป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญมาก ซึ่งมักมีแรงซื้อเข้ามาเมื่อราคาลงไปทดสอบระดับกลมที่มีนัยสำคัญนี้ นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับเส้น SMA 200 ในกรอบเวลา 1 วัน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของแนวโน้มระยะยาวและมักเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง
หากราคาปรับตัวลงมาที่ระดับนี้ นักลงทุนควรสังเกตการตอบสนองของตลาดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะค่า RSI และ Stochastic ที่อาจเข้าสู่เขต Oversold และอาจให้สัญญาณซื้อที่แข็งแกร่ง
ระดับ 0.8480 เป็นแนวรับสำคัญในระยะกลาง โดยเป็นระดับ Fibonacci Retracement ที่ 38.2% ของการปรับตัวขึ้นตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 จนถึงจุดสูงสุดล่าสุด นอกจากนี้ ยังเป็นระดับที่มีความหนาแน่นของ Down Fractals ในกรอบเวลา 1 วัน ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นพื้นที่ที่เคยมีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุนในอดีต
การทะลุผ่านระดับนี้ลงไปอาจนำไปสู่การปรับตัวลงที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะกลางจากขาขึ้นเป็นขาลง
ระดับ 0.8450 เป็นแนวรับระยะยาวที่สำคัญ โดยเป็นระดับ Fibonacci Retracement ที่ 50% ของการปรับตัวขึ้นในระยะยาวตั้งแต่จุดต่ำสุดในปี 2024 จนถึงจุดสูงสุดล่าสุด นอกจากนี้ ยังเป็นระดับที่ราคาเคยทดสอบหลายครั้งในช่วงปลายปี 2024 และต้นปี 2025 และพบแรงซื้อเข้ามาสนับสนุน
การทะลุผ่านระดับนี้ลงไปจะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะยาว และอาจนำไปสู่การปรับตัวลงที่รุนแรงไปสู่ระดับ 0.8400 หรือต่ำกว่า
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมการวิเคราะห์ทางเทคนิคและให้มุมมองที่ครบถ้วนสำหรับการคาดการณ์ทิศทางของคู่เงิน EURGBP ในการนี้ เราจะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อทั้งยูโรและปอนด์ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดที่ส่งผลต่อคู่เงินนี้
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดครั้งที่เจ็ดติดต่อกัน Madis Muller ผู้นำนโยบายของ ECB ได้ให้ความเห็นว่าการลดลงของราคาพลังงานและผลกระทบจากการเก็บภาษีสนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ย โดยระบุว่านโยบายการเงินไม่ได้เป็นองค์ประกอบที่ยั้งกั้นอีกต่อไป
นอกจากนี้ ECB ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรป ทำให้มีความคาดหมายว่าอาจมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2025 แม้ว่าโดยทั่วไปการลดอัตราดอกเบี้ยมักส่งผลให้ค่าเงินอ่อนลง แต่ในกรณีนี้ ตลาดดูเหมือนจะได้ปรับตัวรับข่าวนี้ไปแล้ว และยูโรยังคงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับปอนด์
ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BOE) ยังคงใช้นโยบายการเงินที่ระมัดระวัง โดยมุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจท่ามกลางความท้าทายหลังยุค Brexit และการฟื้นตัวจากภาวะเงินเฟ้อสูง ล่าสุด BOE ได้ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 แต่ยังคงต้องการเห็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงสู่เป้าหมายที่ 2% อย่างยั่งยืน
รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหราชอาณาจักรที่จะเผยแพร่ในวันที่ 24 เมษายน 2025 จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่อาจส่งผลต่อมุมมองของ BOE ต่อทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต หากอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจทำให้ BOE ชะลอแผนการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ปอนด์แข็งค่าขึ้น
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินปอนด์ นายกรัฐมนตรี Keir Starmer ของสหราชอาณาจักรได้แสดงความตั้งใจที่จะประนีประนอมกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดี Trump ได้เพิ่มอัตราภาษีเป็น 10% สำหรับสินค้าของสหราชอาณาจักร และภาษี 25% สำหรับรถยนต์ เหล็ก และการนำเข้าอลูมิเนียม
การสนทนาแรกระหว่าง Starmer และ Trump เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 เมษายน 2025) โดยมีรายงานว่าทั้งสองฝ่ายมีการพูดคุยที่มีประสิทธิผล โดยเจ้าหน้าที่จาก Downing Street ระบุว่านายกรัฐมนตรี Starmer ยืนยันความมุ่งมั่นใน “การค้าที่เสรีภายใต้ระบบการค้าที่เปิดกว้าง” ในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
หากการเจรจามีความคืบหน้าเชิงบวก โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ ตกลงที่จะลดหรือยกเลิกภาษีที่เพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าจากสหราชอาณาจักร อาจส่งผลให้ปอนด์แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกดดันให้คู่เงิน EURGBP ปรับตัวลดลง
การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินสกุลหลักอื่นๆ รวมถึงยูโรและปอนด์ นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ซึ่งส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐและเงินสกุลหลักแต่ละสกุลมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โดยทั่วไป การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐมักส่งผลให้ยูโรแข็งค่าขึ้นมากกว่าปอนด์ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้คู่เงิน EURGBP มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงิน EURGBP กับตลาดอื่นๆ มีความสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต:
จากการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานของคู่เงิน EURGBP ในช่วงสัปดาห์ที่ 21-25 เมษายน 2025 สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
คู่เงิน EURGBP แสดงแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ยูโรแข็งค่าขึ้นในตลาดโลก แม้ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ตลาดได้รับรู้ข่าวนี้ไปแล้ว และยูโรยังคงแข็งค่าเมื่อเทียบกับปอนด์สเตอร์ลิง
การวิเคราะห์ทางเทคนิคในหลายกรอบเวลาสนับสนุนมุมมองเชิงบวกต่อคู่เงินนี้ โดยราคากำลังเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่สำคัญและอยู่ในรูปแบบ Ascending Channel ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคหลายตัว ทั้ง RSI, MACD และ Stochastic ให้สัญญาณเชิงบวกที่สอดคล้องกัน แสดงถึงแรงซื้อที่ยังมีเพียงพอในการผลักดันราคาเพิ่มขึ้นได้อีก
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของคู่เงินนี้ โดยเฉพาะความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ซึ่งหากมีความคืบหน้าเชิงบวก อาจส่งผลให้ปอนด์แข็งค่าขึ้นและกดดันคู่เงินนี้ นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่จะเผยแพร่ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เช่น ดัชนี PMI ของยูโรโซน รายงาน CPI และยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักร อาจส่งผลต่อความผันผวนของคู่เงินในระยะสั้น
สำหรับกลยุทธ์การซื้อขาย นักลงทุนควรพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาทดสอบระดับแนวรับสำคัญ เช่น 0.8550 หรือ 0.8521 และมีการยืนยันทางเทคนิค เช่น การฟื้นตัวของค่า RSI หรือรูปแบบกลับตัวของราคา โดยตั้งเป้าหมายกำไรที่ระดับแนวต้านสำคัญ เช่น 0.8600, 0.8613 และ 0.8630 ตามลำดับ และควรวางจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าระดับแนวรับที่เลือกเป็นจุดเข้าซื้อเล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการซื้อขายคู่เงิน EURGBP โดยเฉพาะในช่วงที่มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญและปัจจัยภายนอกหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด นักลงทุนควรจำกัดความเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง และอาจพิจารณาทยอยเก็บกำไรบางส่วนเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับแนวต้านแต่ละระดับ เพื่อรักษาผลกำไรและลดความเสี่ยงในกรณีที่ราคามีการกลับตัว
สุดท้ายนี้ การวิเคราะห์คู่เงิน EURGBP อย่างครบถ้วนทั้งทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานจะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex ที่มีความผันผวนและท้าทายนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีปัจจัยภายนอกหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของคู่เงิน ดังนั้นนักลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป