หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
คู่เงิน EUR/USD เผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 20 มีนาคม 2025 หลังจากการประกาศมติการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ระดับ 4.25-4.50% เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1.0868 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยประมาณ -0.15% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า
ถ้อยแถลงของประธาน Fed เจอโรม พาวเวล ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ต่อเงินเฟ้อ ส่งผลให้นักลงทุนต้องประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ใหม่ ทั้งนี้ Fed ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2025 เหลือเพียง 1.7% จาก 2.1% ในการประเมินครั้งก่อน และปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเป็น 2.7% จาก 2.5% แสดงถึงความท้าทายในการควบคุมเงินเฟ้อท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ
ในด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค EUR/USD กำลังเคลื่อนไหวในรูปแบบของคลื่นปรับฐาน (Corrective Wave) ภายในช่องราคาขาขึ้น (Ascending Channel) ที่เห็นได้ชัดบนกรอบเวลา H4 และ D1 ในระยะสั้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1.0850 ก่อนที่จะมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1.0930 และ 1.0965 ตามลำดับ
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในช่วงนี้ ได้แก่ แถลงการณ์เพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ Fed เกี่ยวกับแนวทางนโยบายการเงินในอนาคต การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และยูโรโซน รวมถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของคู่เงินนี้ในระยะสั้นถึงกลาง
การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 19-20 มีนาคม 2025 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อคู่เงิน EUR/USD ในช่วงนี้ โดย Fed มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดคือการปรับเปลี่ยนคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคตของคณะกรรมการ Fed
จากการสำรวจความคิดเห็นของคณะกรรมการ Fed (Dot Plot) พบว่ามีการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2025 รวม 0.50% โดยคาดว่าสิ้นปี 2025 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 3.90% นอกจากนี้ยังมี 4 เสียงจากคณะกรรมการที่มองว่าในปีนี้ Fed อาจไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยเลย เพิ่มขึ้นจาก 1 เสียงในการประชุมเดือนธันวาคม 2024 สะท้อนถึงท่าทีที่เข้มงวดขึ้นในการดำเนินนโยบายการเงิน
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญคือถ้อยแถลงของประธาน Fed เจอโรม พาวเวล ที่แสดงความกังวลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ โดยระบุว่า “มาตรการภาษีศุลกากรจะกดดันให้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น” และ “การดำเนินนโยบายเบื้องต้นของรัฐบาลทรัมป์ จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตช้าลงและเกิดภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อยในช่วงแรก” คำกล่าวนี้ส่งผลให้นักลงทุนต้องประเมินความเสี่ยงใหม่เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงดำเนินตามแผนการลดอัตราดอกเบี้ยที่วางไว้ โดยคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในปี 2025 ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ ECB จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของคู่เงิน EUR/USD ในช่วงที่เหลือของปี
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่ควรติดตามในช่วงสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซนและสหรัฐฯ ในวันที่ 22 มีนาคม 2025 ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองภูมิภาค รวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ในวันที่ 23 มีนาคม 2025 ที่จะสะท้อนแนวโน้มการใช้จ่ายและการลงทุนในสหรัฐฯ
การวิเคราะห์แผนภูมิราคาของคู่เงิน EUR/USD ในกรอบเวลาต่างๆ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มและจุดซื้อขายที่สำคัญที่นักเทรดควรให้ความสนใจ โดยเมื่อพิจารณาจากหลากหลายกรอบเวลา ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
บนกรอบเวลารายวัน EUR/USD กำลังเคลื่อนไหวในช่องราคาขาขึ้น (Ascending Channel) ที่สร้างตั้งแต่ต้นปี 2025 แนวโน้มหลักของคู่เงินนี้ยังคงเป็นขาขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการที่ราคายังคงเคลื่อนไหวเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้ง SMA 50 และ SMA 200
ค่า RSI บนกรอบเวลา D1 อยู่ที่ระดับประมาณ 54 ซึ่งบ่งชี้ว่ายังไม่ถึงภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) แต่มีการอ่อนแรงลงเล็กน้อยจากระดับก่อนหน้า สอดคล้องกับการปรับฐานของราคาในระยะสั้น ในขณะที่ MACD กำลังเคลื่อนตัวสู่แนวโน้มเป็นลบ โดยเส้น Histogram ลดลงเรื่อยๆ แต่ยังไม่ตัดข้ามเส้น Signal ลงมา
รูปแบบแท่งเทียนล่าสุดบนกรอบเวลา D1 แสดงการสร้างแท่งเทียน Harami ใกล้กับ Bollinger Band ด้านบน ซึ่งมักเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการกลับตัวหรือการปรับฐานในระยะสั้น
ในกรอบเวลา H4 EUR/USD กำลังอยู่ในช่วงคลื่นปรับฐาน (Corrective Wave) หลังจากที่ราคาได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาเริ่มลงมาทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (SMA #1) ซึ่งอาจเป็นแนวรับสำคัญในระยะสั้น
ค่า RSI บนกรอบเวลา H4 อยู่ที่ประมาณ 48 และกำลังเคลื่อนตัวลงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นสัญญาณของการอ่อนแรงลงในระยะสั้น แต่ยังไม่ถึงระดับขายมากเกินไป (Oversold) ที่ 30 ดังนั้นยังมีพื้นที่สำหรับการปรับตัวลงต่อไปได้
MACD แสดงการตัดข้ามเส้น Signal ลงมาเมื่อไม่นานมานี้ และ Histogram กำลังขยายตัวในแดนลบ เป็นการยืนยันแรงขายในระยะสั้น สอดคล้องกับภาพรวมของการปรับฐาน
บนกรอบเวลา H1 จะเห็นได้ชัดเจนว่าราคากำลังสร้างระดับต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ (Lower Lows) และระดับสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ (Lower Highs) ซึ่งเป็นลักษณะของแนวโน้มขาลงในระยะสั้น ราคาทะลุเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นลงมาแล้ว และกำลังมุ่งหน้าไปทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1.0850
ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคบนกรอบเวลา M30, M15, และ M5 แสดงภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ในระยะสั้นมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การดีดตัวกลับเล็กน้อยก่อนที่จะปรับตัวลงต่อไป โดยเฉพาะหากราคาเข้าใกล้แนวรับสำคัญ Stochastic %K และ %D กำลังเข้าสู่เขต Oversold บนกรอบเวลาเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการดีดตัวระยะสั้น
จากการวิเคราะห์แผนภูมิราคาในกรอบเวลาต่างๆ สามารถสรุปได้ว่า EUR/USD กำลังอยู่ในช่วงการปรับฐานระยะสั้นภายในแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง โดยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงไปทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1.0850 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci 38.2% ของการปรับตัวขึ้นล่าสุด และยังเป็นระดับแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญ
หากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับนี้ได้ มีโอกาสที่จะเกิดการดีดตัวกลับไปทดสอบแนวต้านที่ 1.0904 และ 1.0930 ตามลำดับ แต่หากราคาหลุดแนวรับนี้ลงไป การปรับฐานอาจขยายตัวลงไปที่แนวรับถัดไปที่ 1.0811 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci 61.8%
การระบุระดับแนวต้านที่สำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การเทรด EUR/USD อย่างมีประสิทธิภาพ ระดับแนวต้านเหล่านี้จะเป็นจุดที่มักมีแรงขายเข้ามา และอาจเป็นพื้นที่สำหรับการปิดสถานะซื้อหรือพิจารณาเปิดสถานะขาย จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างละเอียด เราสามารถระบุแนวต้านสำคัญสำหรับ EUR/USD ได้ดังนี้
ระดับ 1.0904 เป็นแนวต้านสำคัญในระยะสั้น เนื่องจากเป็นระดับราคาสูงสุดของการซื้อขายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังเป็นจุดที่ราคาเคยทะลุขึ้นไปก่อนหน้า แล้วกลับมาทดสอบเป็นแนวต้าน ทำให้มีนัยสำคัญทางจิตวิทยา บนกราฟ H1 ยังสังเกตเห็นว่าบริเวณนี้มีการสะสมของแท่งเทียนแสดงการปฏิเสธ (Rejection Candles) บ่งชี้ถึงแรงขายที่หนาแน่นในบริเวณนี้
บริเวณ 1.0930-1.0933 เป็นแนวต้านที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นจุดที่ตรงกับระดับ Fibonacci Extension 127.2% ของการปรับฐานครั้งก่อน และยังเป็นระดับราคาสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ในกรอบเวลา H4 และ D1 จะเห็นว่าบริเวณนี้มีการทำ Double Top เมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นถึงแรงต้านทานที่แข็งแกร่ง หากราคาสามารถทะลุแนวต้านนี้ขึ้นไปได้จะเป็นสัญญาณบวกอย่างมากสำหรับแนวโน้มขาขึ้น
แนวต้าน 1.0965 มีความสำคัญในมุมมองระยะกลาง เป็นระดับ Fibonacci Extension 161.8% และยังเป็นขอบบนของช่องราคาขาขึ้น (Ascending Channel) ในกรอบเวลา D1 นอกจากนี้ ยังเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับค่ากลม 1.1000 ซึ่งมีความสำคัญทางจิตวิทยาอย่างมาก หากราคาสามารถทะลุขึ้นไปยืนเหนือระดับนี้ได้ จะเป็นการยืนยันว่าแนวโน้มขาขึ้นยังคงแข็งแกร่ง และอาจมุ่งหน้าไปสู่ระดับ 1.1000 และ 1.1050 ในเวลาต่อมา
แนวต้าน 1.1010 เป็นแนวต้านสำคัญในระยะยาว เนื่องจากเป็นระดับราคาสูงสุดในรอบ 3 เดือน และยังอยู่ใกล้กับระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 1.1000 บนกราฟ D1 จะเห็นว่าบริเวณนี้มีความหนาแน่นของกิจกรรมการซื้อขายในอดีต และเคยเป็นแนวรับก่อนที่จะกลายเป็นแนวต้าน (Support-turned-Resistance) การทะลุระดับนี้ขึ้นไปจะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอย่างมีนัยสำคัญ
นักเทรดควรให้ความสนใจกับปฏิกิริยาของราคาเมื่อเข้าใกล้ระดับแนวต้านเหล่านี้ โดยมองหาสัญญาณยืนยันทางเทคนิค เช่น รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว การเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขาย หรือการแยกตัว (Divergence) ของตัวบ่งชี้ทางเทคนิค ในการเทรดระยะสั้น การปิดสถานะซื้อเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านเหล่านี้อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหากมีสัญญาณการปฏิเสธจากระดับแนวต้าน
นอกจากนี้ ควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานร่วมด้วย เนื่องจากข่าวสารสำคัญหรือแถลงการณ์จากธนาคารกลางสามารถส่งผลให้ราคาทะลุแนวต้านได้ง่ายขึ้นหรือยากขึ้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของข่าวนั้นๆ
การระบุระดับแนวรับที่สำคัญมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์เพื่อประเมินจุดที่ราคาอาจเกิดการดีดตัวกลับ เป็นจุดที่อาจพิจารณาเปิดสถานะซื้อ หรือปิดสถานะขายเพื่อทำกำไร จากการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคในหลากหลายกรอบเวลา เราสามารถระบุแนวรับสำคัญของคู่เงิน EUR/USD ได้ดังต่อไปนี้
ระดับ 1.0850 เป็นแนวรับที่มีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับตัวขึ้นล่าสุด นอกจากนี้ยังเป็นระดับที่ตรงกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (SMA 50) บนกรอบเวลา H4 ซึ่งเป็นเส้นแนวโน้มสำคัญที่มักให้แรงสนับสนุนราคา ในประวัติการซื้อขายช่วงที่ผ่านมา ระดับนี้เคยทำหน้าที่เป็นทั้งแนวรับและแนวต้าน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญทางเทคนิคของระดับนี้ นอกจากนี้ ระดับนี้ยังมีความสำคัญทางจิตวิทยาเนื่องจากเป็นระดับตัวเลขกลม
บริเวณ 1.0833-1.0838 เป็นแนวรับที่สำคัญเนื่องจากเป็นจุดตัดของหลายปัจจัยทางเทคนิค ได้แก่ ระดับ Fibonacci Retracement 50% ของการปรับตัวขึ้นล่าสุด แนวรับของช่องราคาขาขึ้น (Ascending Channel) บนกรอบเวลา D1 และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน (SMA 100) เมื่อหลายปัจจัยทางเทคนิคมาบรรจบกันเช่นนี้ มักจะสร้างแนวรับที่แข็งแกร่ง หากราคาหลุดแนวรับที่ 1.0850 ลงมา แนวรับนี้จะเป็นเป้าหมายถัดไปที่นักเทรดควรให้ความสนใจ
ระดับ 1.0811 เป็นแนวรับสำคัญเนื่องจากเป็นระดับ Fibonacci Retracement 61.8% ซึ่งเป็นระดับที่มักได้รับความสนใจจากเทรดเดอร์ที่ใช้เครื่องมือ Fibonacci นอกจากนี้ ในกรอบเวลา D1 จะเห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นจุดกลับตัวสำคัญในอดีต และยังเป็นระดับต่ำสุดในรอบเดือนที่ผ่านมา หากราคาหลุดแนวรับที่ 2 ลงมา แนวรับนี้จะเป็นเป้าหมายสุดท้ายก่อนที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอย่างมีนัยสำคัญ
แนวรับที่ 1.0789 เป็นแนวรับระยะยาวที่สำคัญ เนื่องจากเป็นระดับ Fibonacci Retracement 78.6% และยังเป็นจุดที่ตรงกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน (SMA 200) ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างแนวโน้มขาขึ้นและขาลงในระยะยาว หากราคาหลุดระดับนี้ลงไป จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงในระยะกลางถึงยาว ทำให้ระดับนี้มีความสำคัญอย่างมากสำหรับการวางแผนการเทรดระยะยาว
การใช้ประโยชน์จากระดับแนวรับเหล่านี้ควรทำควบคู่ไปกับการสังเกตพฤติกรรมของราคาเมื่อเข้าใกล้แนวรับ หากราคาเข้าใกล้แนวรับและแสดงสัญญาณการดีดตัว เช่น แท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candles), การแยกตัวเชิงบวกของตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (Positive Divergence) หรือปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นโอกาสในการพิจารณาเปิดสถานะซื้อ
อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ควรตระหนักว่าไม่มีแนวรับใดที่รับประกันได้ 100% โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวสำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลาง ดังนั้น การใช้คำสั่ง Stop Loss ที่เหมาะสมเสมอเมื่อเปิดสถานะซื้อบริเวณแนวรับเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารความเสี่ยง
การผสมผสานการวิเคราะห์แนวรับเข้ากับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเทรด โดยนักเทรดควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับแถลงการณ์ของ Fed และ ECB ที่อาจส่งผลให้แนวรับถูกทะลุลงไปหรือได้รับการเคารพมากขึ้น
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินทิศทางระยะกลางถึงระยะยาวของคู่เงิน EUR/USD โดยเฉพาะในช่วงที่นโยบายการเงินและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยูโรโซนกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้มักมีอิทธิพลอย่างมากต่อทิศทางแนวโน้มระยะยาวของคู่เงิน
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ล่าสุดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% และส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2025 ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ 3 ครั้ง สะท้อนท่าทีที่เข้มงวดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ในทางตรงกันข้าม ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงดำเนินตามแผนการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในปี 2025
ความแตกต่างในทิศทางนโยบายการเงินนี้จะส่งผลต่อส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Yield Differential) ระหว่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และยูโรโซน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของคู่เงิน EUR/USD โดยปกติ หาก Fed เข้มงวดกว่า ECB จะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับยูโร แต่สถานการณ์ปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นเนื่องจากท่าทีที่เข้มงวดของ Fed เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
Fed ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ ปี 2025 ลงเหลือ 1.7% จาก 2.1% ในเดือนธันวาคม 2024 และปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ (PCE) เป็น 2.7% จาก 2.5% ในขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนคาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 1.5% ในปี 2025 โดยมีอัตราเงินเฟ้อที่ 2.4% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของ ECB ที่ 2.0% มากกว่า
การที่คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นและสูงกว่ายูโรโซน อาจบ่งชี้ว่า Fed จะยังคงต้องรักษาท่าทีที่เข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ในขณะที่ ECB อาจมีพื้นที่มากกว่าในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนค่าเงินยูโร
ประธาน Fed เจอโรม พาวเวล ได้แสดงความกังวลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ ระบุว่าจะส่งผลให้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นและทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตช้าลง ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผ่านไปยังผู้บริโภคในรูปของราคาสินค้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มเติม
ในขณะเดียวกัน นโยบายภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยูโรโซน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของกันและกัน การลดลงของปริมาณการค้าอาจส่งผลลบต่อเศรษฐกิจทั้งสองฝั่ง แต่ผลกระทบสุทธิต่อค่าเงินยังต้องติดตามต่อไป โดยขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดจะได้รับผลกระทบมากกว่ากัน
ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ส่งผลต่อ EUR/USD คือการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ในช่วงที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในยูโรโซนมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับทิศทางนโยบายของรัฐบาลทรัมป์
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนโดยลดการถือครองสินทรัพย์ดอลลาร์และเพิ่มการถือครองสินทรัพย์ยูโร ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนค่าเงินยูโรในระยะกลางถึงยาว อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรป โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนและความตึงเครียดทางการค้ากับจีน ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
จากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานข้างต้น มุมมองต่อคู่เงิน EUR/USD ในระยะกลางถึงยาวยังคงมีแนวโน้มเป็นบวก โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อ และโอกาสที่ Fed และ ECB จะมีนโยบายการเงินที่สอดคล้องกันมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2025
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ท่าทีที่เข้มงวดของ Fed อาจสร้างแรงกดดันต่อ EUR/USD และทำให้เกิดการปรับฐานลงทดสอบแนวรับสำคัญตามที่ได้วิเคราะห์ไว้ในส่วนของการวิเคราะห์ทางเทคนิค นักเทรดควรติดตามแถลงการณ์เพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ Fed และ ECB รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในช่วงสัปดาห์ที่จะมาถึง เพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับพัฒนาการล่าสุด
การวิเคราะห์คู่เงิน EUR/USD ล่าสุด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2025 แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นหลังจากการประกาศมติของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% และส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2025 พร้อมทั้งแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อ
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค EUR/USD กำลังอยู่ในช่วงคลื่นปรับฐาน (Corrective Wave) ภายในช่องราคาขาขึ้น (Ascending Channel) ในระยะยาว โดยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1.0850 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% และยังตรงกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน บนกรอบเวลา H4 หากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับนี้ได้ มีโอกาสที่จะเกิดการดีดตัวกลับไปทดสอบแนวต้านที่ 1.0904 และ 1.0930 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม หากราคาหลุดแนวรับ 1.0850 ลงไป การปรับฐานอาจขยายตัวลงไปที่แนวรับถัดไปที่ 1.0833 และ 1.0811 ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 50% และ 61.8% ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคต่างๆ เช่น RSI และ MACD สนับสนุนการปรับฐานในระยะสั้น แต่ยังไม่แสดงสัญญาณการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหลักที่ยังคงเป็นขาขึ้น
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน ความแตกต่างในนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ ECB จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของคู่เงินนี้ในระยะกลางถึงยาว โดย Fed ที่ส่งสัญญาณเข้มงวดมากขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ อาจสร้างแรงกดดันต่อ EUR/USD ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจทำให้ Fed ต้องปรับท่าทีและเร่งลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับกลยุทธ์การเทรด นักลงทุนควรพิจารณาการเทรดตามแนวโน้มระยะกลางถึงยาวที่ยังคงเป็นขาขึ้น โดยมองหาโอกาสเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ โดยเฉพาะหากมีสัญญาณการยืนยันทางเทคนิค เช่น รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวหรือการแยกตัวเชิงบวกของตัวบ่งชี้ทางเทคนิค ในขณะเดียวกัน การบริหารความเสี่ยงยังคงมีความสำคัญสูงสุด โดยควรตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมและจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 1-2% ของเงินทุน
ท้ายที่สุด นักเทรดควรติดตามข่าวสารสำคัญอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแถลงการณ์จากเจ้าหน้าที่ Fed และ ECB รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ที่จะมีการเปิดเผยในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนเพิ่มเติมและเปิดโอกาสในการเทรดสำหรับนักลงทุนที่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน