หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ดัชนี FTSE100 แสดงการเติบโตที่น่าประทับใจในไตรมาสแรกของปี 2025 ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลก โดยนับตั้งแต่วันแรกของการซื้อขายในปีนี้ ดัชนีได้แสดงแนวโน้มเชิงบวกอย่างชัดเจน เริ่มต้นด้วยการพุ่งขึ้น 1.07% ในวันที่ 2 มกราคม 2025 และปิดที่ 8,260.09 จุด จากนั้นได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 8,679.46 จุดในวันที่ 31 มกราคม 2025
ตลอดช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม FTSE100 ยังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางไว้ได้ แม้จะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลก ในช่วงเดือนมีนาคมดัชนีมีการแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 8,550-8,700 จุด โดย ณ วันที่ 27 มีนาคม 2025 ดัชนีปิดที่ 8,628.17 จุด ซึ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากจุดสูงสุดที่เคยทำได้
หากพิจารณาผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน FTSE100 ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5.6% ซึ่งถือว่าโดดเด่นเมื่อเทียบกับดัชนีหลักอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ S&P 500 ที่ปรับตัวลดลง 3.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน ความแข็งแกร่งของ FTSE100 ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ในเดือนกุมภาพันธ์ สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอังกฤษ และการประเมินมูลค่าที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหลักอื่นๆ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคในหลาย time frame แสดงให้เห็นว่า FTSE100 ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง โดยราคายังคงเคลื่อนตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะกลางและระยะยาว แม้ว่าตัวชี้วัดทางเทคนิคบางอย่าง เช่น RSI จะเริ่มแสดงสัญญาณการอ่อนแรงลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงขั้นกลับตัวเป็นขาลง ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจเกิดการพักฐานในระยะสั้นก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป
นอกจากนี้ ในแง่ของการประเมินมูลค่า FTSE100 ยังมีความน่าสนใจอย่างมาก โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ที่ประมาณ 12 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (14 เท่า) และต่ำกว่าทั้ง S&P 500 (21 เท่า) และตลาดยุโรป (15 เท่า) อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงถึง 3.8% ซึ่งสูงกว่า S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 1.4% ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ FTSE100 มีความน่าสนใจทั้งในแง่ของการลงทุนระยะสั้นและระยะยาว
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก โดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้าโลกที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนในนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น แม้ว่าแนวโน้มระยะกลางยังคงเป็นบวก
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจหลายประการได้ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี FTSE100 ในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจัยสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2025 BOE มีมติเสียงส่วนใหญ่ 5 ต่อ 2 ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 4.50% ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งแรกในปี 2025 การลดอัตราดอกเบี้ยนี้ได้ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้น ทำให้ FTSE100 พุ่งทำจุดสูงสุดใหม่
ต่อมาในการประชุมวันที่ 19 มีนาคม 2025 คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติ 8-1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% โดย BOE ระบุว่า “การลดอัตราเงินเฟ้อในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีความคืบหน้าอย่างมาก” และจะใช้ “แนวทางค่อยเป็นค่อยไปและระมัดระวัง” ในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน แม้ว่าตลาดจะคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม แต่การตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ได้แสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังของ BOE ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อในอนาคต
ข้อมูลเศรษฐกิจที่เปิดเผยในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจอังกฤษมีสัญญาณฟื้นตัว แม้จะยังมีความท้าทายอยู่บ้าง GDP เดือนมกราคม 2025 ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่เติบโต 0.2% ในช่วงสามเดือนถึงมกราคม 2025 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน GDP สูงขึ้น 1.0% ที่น่าสนใจคือ ในเดือนธันวาคม 2024 เศรษฐกิจเติบโตถึง 0.4% ซึ่งดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เศรษฐกิจอังกฤษเติบโต 0.1% ซึ่งถือเป็น “unexpected boost” สำหรับรัฐมนตรีคลัง Rachel Reeves
นอกจากนี้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทชั้นนำยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของ FTSE100 อาทิ AstraZeneca ประกาศผลประกอบการ Q4 2024/FY 2024 ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2025 แสดงการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 21% และกำไรต่อหุ้น (Core EPS) เพิ่มขึ้น 19% ในขณะที่บริษัทพลังงานอย่าง Shell และบริษัทค้าปลีกอย่าง Next ก็เป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในช่วงปลายเดือนมีนาคม กลุ่มธนาคารนำโดย Lloyds Banking Group มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 30% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของประธานาธิบดีทรัมป์ได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดโลก สหรัฐฯ ได้กำหนดภาษีศุลกากร 25% สำหรับการนำเข้าสินค้าบางรายการของเม็กซิโกและแคนาดา, 10% สำหรับผลิตภัณฑ์พลังงานของแคนาดา, และเพิ่มภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนจาก 10% เป็น 20% ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง FTSE100 ในบางช่วง
สำหรับเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ซึ่งนักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่:
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามพัฒนาการของสงครามการค้าโลกและการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของ FTSE100 ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2025
การวิเคราะห์กราฟ FTSE100 ในหลาย time frame แสดงให้เห็นถึงภาพรวมที่น่าสนใจของแนวโน้มตลาดในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 ที่ดัชนีแสดงให้เห็นพลังของแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน
ในกราฟรายวัน FTSE100 แสดงแนวโน้มขาขึ้นที่มีความต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2025 โดยราคาได้ทำการทะลุแนวต้านสำคัญหลายระดับและทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 8,679.46 จุดในวันที่ 31 มกราคม 2025 หากพิจารณาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (SMA #1) และ 200 วัน (SMA #2) จะพบว่าทั้งสองเส้นกำลังแยกห่างกันออกไปในทิศทางขาขึ้น (Bullish Divergence) และราคายังคงเคลื่อนตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั้งสอง ซึ่งเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
ค่า RSI ในกราฟรายวันแกว่งตัวอยู่ในโซน 50-70 ในช่วงที่ผ่านมา แสดงถึงโมเมนตัมเชิงบวกที่ยังคงมีอยู่ แม้ว่าในช่วงปลายเดือนมีนาคมจะเริ่มมีการอ่อนแรงลงเล็กน้อย โดย RSI ลงมาอยู่ที่ประมาณ 55-58 แต่ยังไม่ได้หลุดต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งหากยังสามารถรักษาระดับนี้ไว้ได้ แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางก็ยังคงอยู่
MACD ในกราฟรายวันยังคงอยู่เหนือเส้นศูนย์ แต่เริ่มมีการลดลงของค่า Histogram ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการลดลงของโมเมนตัมและอาจนำไปสู่การปรับฐานในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ MACD ยังคงอยู่เหนือเส้นศูนย์และยังไม่มีการตัดกันของเส้น MACD และ Signal Line ในทิศทางขาลง แนวโน้มขาขึ้นก็ยังคงได้รับการยืนยัน
กราฟรายชั่วโมงให้ภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในระยะสั้น ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2025 FTSE100 มีการแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 8,550-8,700 จุด โดยมีแนวรับสำคัญที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 ชั่วโมง ประมาณ 8,580-8,600 จุด และแนวต้านสำคัญที่ 8,700 จุด
ค่า Stochastic (%K และ %D) ในกราฟรายชั่วโมงแสดงการแกว่งตัวที่ค่อนข้างเร็วระหว่างโซนซื้อมากเกินไป (Overbought) และขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งสะท้อนถึงความผันผวนในระยะสั้น แต่ในภาพรวมยังคงรักษารูปแบบของจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows) และจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher Highs) ซึ่งเป็นลักษณะของแนวโน้มขาขึ้น
กราฟ 4 ชั่วโมงแสดงให้เห็นรูปแบบการแกว่งตัวที่น่าสนใจ โดยในช่วงเดือนมีนาคม 2025 FTSE100 เริ่มมีการสร้างรูปแบบสามเหลี่ยมที่แคบลง (Ascending Triangle) ซึ่งมีแนวต้านแนวนอนที่ประมาณ 8,700 จุด และแนวรับที่เป็นเส้นแนวโน้มขาขึ้น รูปแบบนี้มักนำไปสู่การทะลุขึ้นในทิศทางของแนวโน้มเดิม (ในที่นี้คือขาขึ้น) แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดการทะลุลงเช่นกันหากไม่มีแรงซื้อเพียงพอ
ค่า RSI ในกราฟ 4 ชั่วโมงเริ่มมีลักษณะของการบรรจบกันเชิงลบ (Bearish Divergence) กับราคา กล่าวคือในขณะที่ราคายังคงทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้นหรือเท่าเดิม แต่ค่า RSI กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการอ่อนแรงของแรงซื้อและอาจนำไปสู่การปรับฐานในระยะสั้น
จุด Fractal (Up Fractal และ Down Fractal) ในกราฟ FTSE100 ช่วยระบุจุดกลับตัวที่สำคัญ โดยในช่วงปลายเดือนมีนาคมมีการเกิด Down Fractal ที่บริเวณใกล้ 8,700 จุด ซึ่งยืนยันว่าระดับนี้เป็นแนวต้านสำคัญในระยะสั้น ในขณะเดียวกัน Up Fractal ที่เกิดขึ้นบริเวณ 8,550-8,580 จุด ก็ยืนยันว่าระดับนี้เป็นแนวรับสำคัญ
รูปแบบแท่งเทียนในช่วงปลายเดือนมีนาคมแสดงถึงความไม่แน่นอนของตลาด โดยมีการเกิดแท่งเทียนรูปแบบ Doji และ Spinning Top บ่อยครั้ง ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่มีกำลังใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่แข็งแกร่ง เช่น Evening Star หรือ Bearish Engulfing ที่ชัดเจน ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงขายยังไม่มากพอที่จะกลับแนวโน้มหลัก
จากการวิเคราะห์กราฟในหลาย time frame สามารถสรุปได้ว่า FTSE100 ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง แม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณของการอ่อนแรงในระยะสั้น ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป โดยมีระดับแนวรับสำคัญที่ 8,550-8,580 จุด และแนวต้านสำคัญที่ 8,700 จุด
นักลงทุนระยะสั้นควรให้ความสำคัญกับการทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้านเหล่านี้ เนื่องจากจะเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงทิศทางการเคลื่อนไหวในระยะถัดไป หากสามารถทะลุแนวต้านที่ 8,700 จุดขึ้นไปได้ ก็มีโอกาสที่จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 8,800-8,850 จุด ในทางกลับกัน หากหลุดแนวรับที่ 8,550 จุด ก็อาจปรับตัวลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 8,400-8,450 จุด
การระบุระดับแนวต้านสำคัญเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการวางกลยุทธ์การเทรด FTSE100 อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวต้านเหล่านี้มักเป็นจุดที่ราคามีแนวโน้มที่จะถูกยับยั้งหรือเกิดการปรับฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคจากหลาย time frame ทำให้เราสามารถระบุระดับแนวต้านสำคัญของ FTSE100 ได้ดังนี้
ระดับ 8,700 จุดถือเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นระดับที่ FTSE100 เคยทดสอบหลายครั้งในช่วงเดือนมีนาคม 2025 แต่ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง การวิเคราะห์กราฟรายชั่วโมงและรายวันแสดงให้เห็นว่าเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับนี้ มักเกิดแรงขายทำกำไรเข้ามากดดัน นอกจากนี้ ยังมีการเกิด Down Fractal บริเวณใกล้เคียงกับระดับนี้ ซึ่งเป็นการยืนยันว่านี่คือแนวต้านสำคัญในระยะสั้น
การทะลุผ่านแนวต้านนี้จะต้องมีปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และควรยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างน้อย 2-3 วันทำการเพื่อยืนยันการทะลุผ่านที่แท้จริง หากสามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ได้สำเร็จ ก็มีโอกาสที่ FTSE100 จะเคลื่อนตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 8,800 จุด
ระดับ 8,800 จุดเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญถัดไป แม้ว่า FTSE100 ยังไม่เคยทดสอบระดับนี้มาก่อน แต่เป็นระดับกลมที่มักจะดึงดูดความสนใจของนักลงทุน นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับการขยายตัว Fibonacci 127.2% จากการปรับฐานครั้งล่าสุดในช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งทำให้มีความสำคัญในเชิงเทคนิคมากขึ้น
ในกรณีที่ FTSE100 สามารถทะลุแนวต้านที่ 8,700 จุดขึ้นไปได้ ระดับ 8,800 จุดนี้จะเป็นเป้าหมายแรกสำหรับการทำกำไรในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระวังการเกิด “Bull Trap” หรือกับดักกระทิงที่อาจเกิดขึ้นบริเวณระดับนี้ โดยเฉพาะหากมีปริมาณการซื้อขายที่ไม่หนาแน่นพอหรือตัวชี้วัดทางเทคนิคแสดงการบรรจบกันเชิงลบ (Bearish Divergence)
หากสามารถทะลุแนวต้านที่ 8,800 จุดขึ้นไปได้ แนวต้านสำคัญถัดไปจะอยู่ที่กรอบ 8,900-8,950 จุด ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัว Fibonacci 161.8% จากการปรับฐานครั้งล่าสุด ระดับนี้มีความสำคัญในเชิงเทคนิคอย่างมาก และอาจเป็นจุดที่เกิดการปรับฐานที่ค่อนข้างรุนแรงหากไม่มีปัจจัยพื้นฐานหนุนเพิ่มเติม
การเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับนี้ควรจะต้องมีการยืนยันจากตัวชี้วัดทางเทคนิคหลายตัว โดยเฉพาะ RSI และ MACD ที่ควรแสดงโมเมนตัมเชิงบวกที่แข็งแกร่ง และไม่มีการบรรจบกันเชิงลบกับราคา หากเกิดการบรรจบกันเชิงลบ โอกาสที่จะเกิดการปรับฐานที่รุนแรงจะมีสูง
ระดับ 9,000 จุดถือเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นระดับกลมที่มีความโดดเด่น และยังไม่เคยมีการทดสอบมาก่อนในประวัติศาสตร์ของ FTSE100 การทะลุผ่านระดับนี้จะต้องมีแรงซื้อที่แข็งแกร่งมากและมีปัจจัยพื้นฐานหนุนอย่างชัดเจน เช่น การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจาก BOE หรือผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียนหลักใน FTSE100
ในกรณีที่สามารถทะลุผ่านระดับ 9,000 จุดได้ จะถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งมากของแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาว และอาจนำไปสู่การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องไปที่ระดับ 9,200-9,300 จุด อย่างไรก็ตาม ในมุมมองปัจจุบัน โอกาสที่จะเกิดการทะลุผ่านระดับนี้ในไตรมาส 2 ของปี 2025 ยังมีไม่มากนัก
เมื่อราคา FTSE100 เคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับแนวต้านสำคัญ นักลงทุนควรพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้:
การระบุและเข้าใจระดับแนวต้านสำคัญของ FTSE100 จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในการตัดสินใจเปิดและปิดสถานะ รวมถึงการคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
การวิเคราะห์ระดับแนวรับสำคัญมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อ FTSE100 ในจังหวะที่เหมาะสม หรือต้องการคาดการณ์จุดที่ราคาอาจกลับตัวขึ้นหลังการปรับฐาน จากการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคในหลาย time frame สามารถระบุระดับแนวรับสำคัญของ FTSE100 ได้ดังนี้
ระดับ 8,580-8,600 จุดเป็นแนวรับสำคัญในระยะสั้น โดยสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (SMA #1) และยังเป็นระดับที่มีการเกิด Up Fractal ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2025 ซึ่งเป็นการยืนยันความสำคัญของระดับนี้ในเชิงเทคนิค นอกจากนี้ ยังเป็นระดับที่ FTSE100 เคยปรับตัวลงมาทดสอบหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาและสามารถดีดตัวขึ้นได้ แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งในบริเวณนี้
หากราคาปรับตัวลงมาทดสอบระดับนี้อีกครั้ง นักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับพฤติกรรมของราคาและตัวชี้วัดทางเทคนิค โดยหากมีการเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเชิงบวก เช่น Hammer, Bullish Engulfing หรือ Morning Star พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ
ระดับ 8,500-8,520 จุดเป็นแนวรับที่สำคัญมากในระยะกลาง เนื่องจากเป็นระดับที่มีการทดสอบซ้ำหลายครั้งในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2025 และยังเป็นระดับที่สอดคล้องกับระดับ Fibonacci Retracement 23.6% ของการปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี นอกจากนี้ ระดับ 8,500 จุดยังเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญเนื่องจากเป็นระดับกลม
การหลุดต่ำกว่าระดับนี้อย่างมีนัยสำคัญ (มากกว่า 20-30 จุด) และมีการยืนยันจากตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เช่น RSI ที่หลุดต่ำกว่า 40 หรือ MACD ที่ตัดลงต่ำกว่าเส้น Signal Line อาจเป็นสัญญาณของการปรับฐานที่ลึกขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไป
ระดับ 8,400-8,420 จุดเป็นแนวรับสำคัญที่สอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (SMA #2) และยังเป็นระดับที่สอดคล้องกับระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี แนวรับนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันมักเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มในระยะกลาง
ในช่วงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ราคามักจะเคลื่อนตัวลงมาทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันและดีดตัวขึ้น ดังนั้น หากราคาปรับตัวลงมาทดสอบระดับนี้ นักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับปริมาณการซื้อขายและพฤติกรรมของราคา หากมีการเกิดรูปแบบการกลับตัวเชิงบวกที่ชัดเจน พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ
ระดับ 8,250-8,300 จุดเป็นแนวรับที่สำคัญในระยะยาว เนื่องจากเป็นระดับที่สอดคล้องกับจุดเริ่มต้นของการปรับตัวขึ้นครั้งล่าสุดในช่วงต้นปี 2025 และยังเป็นระดับที่สอดคล้องกับระดับ Fibonacci Retracement 61.8% นอกจากนี้ ระดับนี้ยังใกล้เคียงกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน (SMA #3) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มในระยะยาว
การหลุดต่ำกว่าระดับนี้อย่างมีนัยสำคัญอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะกลาง จากขาขึ้นเป็นแนวโน้มแนวราบหรือขาลง ดังนั้น นักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวควรให้ความสำคัญกับแนวรับนี้เป็นพิเศษ และอาจพิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุนหากราคาหลุดต่ำกว่าระดับนี้
เมื่อราคา FTSE100 ปรับตัวลงมาทดสอบระดับแนวรับสำคัญ นักลงทุนควรพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้:
ความเข้าใจเกี่ยวกับระดับแนวรับสำคัญของ FTSE100 จะช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุโอกาสในการเข้าซื้อที่มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสทำกำไรสูง โดยเฉพาะในภาวะตลาดที่มีแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางเช่นปัจจุบัน แต่มีการปรับฐานในระยะสั้น
ปัจจัยพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางระยะกลางถึงระยะยาวของ FTSE100 แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมีประโยชน์ในการระบุจุดเข้าซื้อและขายที่เหมาะสม แต่ปัจจัยพื้นฐานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่อยู่เบื้องหลังแนวโน้มของตลาดในระยะยาว โดยมีปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามดังนี้
ในปี 2025 นโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อ FTSE100 การลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 4.50% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของธุรกิจลดลง และลดความน่าสนใจของตราสารหนี้เมื่อเทียบกับหุ้น ซึ่งส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น
ตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 66% ที่ BOE จะลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนพฤษภาคม 2025 และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงเหลือประมาณ 4% ภายในสิ้นปี 2525 ซึ่งหากเป็นไปตามคาดการณ์นี้ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของ FTSE100 ต่อไป อย่างไรก็ตาม BOE ยังคงเน้นย้ำว่าจะใช้ “แนวทางค่อยเป็นค่อยไปและระมัดระวัง” ในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ดังนั้น หากอัตราเงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้น อาจทำให้ BOE ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยออกไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้น
เศรษฐกิจอังกฤษแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนในช่วงต้นปี 2025 แม้ว่า GDP เดือนมกราคม 2025 จะลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมจะพบว่า GDP เติบโต 0.2% ในช่วงสามเดือนถึงมกราคม 2025 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน GDP สูงขึ้น 1.0% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเติบโตในระยะยาว
นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เศรษฐกิจอังกฤษเติบโต 0.1% ซึ่งถึงแม้จะไม่สูงมาก แต่ก็เป็นสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์หลายรายคาดการณ์ไว้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจนี้เป็นผลมาจากการลดลงของเงินเฟ้อ การจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของ FTSE100 ในระยะกลางถึงระยะยาว
บริษัทชั้นนำที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของ FTSE100 แสดงผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของดัชนี AstraZeneca ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีน้ำหนักมากที่สุดใน FTSE100 ประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 4/2024 โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 21% และกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 19% ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจ
ในกลุ่มพลังงาน Shell แสดงผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2025 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มธุรกิจและความสามารถในการทำกำไร ในขณะเดียวกัน กลุ่มธนาคาร นำโดย Lloyds Banking Group ก็มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 30% ในปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับภาคการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม
บริษัทจดทะเบียนใน FTSE100 ยังมีการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ โดยมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยที่ 3.8% ซึ่งสูงกว่า S&P 500 ที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเพียง 1.4% บริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงสุดในดัชนี ได้แก่ Phoenix Group (10.5%), M&G (9.8%) และ Legal & General (8.9%) ซึ่งทำให้ FTSE100 มีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้จากเงินปันผล
FTSE100 มีความน่าสนใจในแง่ของการประเมินมูลค่าเมื่อเทียบกับตลาดหลักอื่นๆ ทั่วโลก โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ที่ประมาณ 12 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (14 เท่า) และต่ำกว่าทั้ง S&P 500 (21 เท่า) และตลาดยุโรป (15 เท่า) อย่างมีนัยสำคัญ
การประเมินมูลค่าที่ต่ำนี้อาจเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ Brexit และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เมื่อเศรษฐกิจอังกฤษเริ่มฟื้นตัวและนโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลาย การประเมินมูลค่าที่ต่ำนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองหาตลาดที่มีโอกาสเติบโตและให้ผลตอบแทนที่ดี
แม้ว่าจะมีปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของ FTSE100 แต่ก็มีความเสี่ยงและความท้าทายที่นักลงทุนควรตระหนักถึง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันคือสงครามการค้าโลกที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของประธานาธิบดีทรัมป์ และการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งอาจกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใน FTSE100 ที่มีการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลาง และความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน ก็เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดโลกและ FTSE100 ได้
ความเสี่ยงอีกประการหนึ่งคือการกลับมาเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางอังกฤษต้องชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยหรือแม้กระทั่งกลับมาเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในระยะกลาง
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ FTSE100 โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับค่าเงินปอนด์ โดยทั่วไปแล้ว FTSE100 มักมีความสัมพันธ์เชิงลบกับค่าเงินปอนด์ กล่าวคือ เมื่อปอนด์อ่อนค่า FTSE100 มักปรับตัวขึ้น เนื่องจากบริษัทใหญ่หลายแห่งใน FTSE100 มีรายได้จากต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูง ดังนั้น เมื่อปอนด์อ่อนค่า รายได้เหล่านี้เมื่อแปลงกลับเป็นเงินปอนด์จะมีมูลค่าสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันและโลหะ เนื่องจากบริษัทในกลุ่มพลังงานและเหมืองแร่มีน้ำหนักค่อนข้างมากใน FTSE100 ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและโลหะมักส่งผลบวกต่อดัชนี
การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางของ FTSE100 ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ดัชนี FTSE100 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในไตรมาสแรกของปี 2025 ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลก โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5.6% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน และทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 8,679.46 จุดในวันที่ 31 มกราคม 2025 แนวโน้มขาขึ้นนี้ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอังกฤษ ผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน และการประเมินมูลค่าที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหลักอื่นๆ ทั่วโลก
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่า FTSE100 ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง โดยราคายังคงเคลื่อนตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะกลางและระยะยาว แม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณของการอ่อนแรงในระยะสั้น การวิเคราะห์กราฟในหลาย time frame ชี้ให้เห็นว่า FTSE100 มีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 8,700, 8,800 และ 9,000 จุด ในขณะที่มีแนวรับสำคัญที่ระดับ 8,580-8,600, 8,500-8,520, 8,400-8,420 และ 8,250-8,300 จุด การระบุระดับแนวรับแนวต้านเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การเทรดในสภาพตลาดปัจจุบัน เราแนะนำให้ยึดตามแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง โดยใช้การปรับฐานในระยะสั้นเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โดยเฉพาะเมื่อราคาปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ เช่น 8,580-8,600 และ 8,500-8,520 จุด และมีการยืนยันจากตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น RSI ที่แสดงการกลับตัวขึ้นจากโซนขายมากเกินไป หรือ MACD ที่เริ่มแสดงสัญญาณของการเพิ่มขึ้นของโมเมนตัม
สำหรับนักลงทุนที่มีสถานะซื้ออยู่แล้ว ควรพิจารณาทยอยปิดสถานะบางส่วนเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านสำคัญ โดยเฉพาะที่ระดับ 8,700 และ 8,800 จุด และอาจพิจารณาเปิดสถานะใหม่เมื่อราคาปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับ นอกจากนี้ ยังควรใช้การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การตั้งจุดตัดขาดทุนที่ระดับต่ำกว่าแนวรับสำคัญ และการใช้สัดส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่เหมาะสม เช่น 1:2 หรือ 1:3
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อ FTSE100 ในช่วงที่เหลือของปี 2025 โดยเฉพาะความเสี่ยงจากสงครามการค้าโลกที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ และความไม่แน่นอนในนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น แม้ว่าแนวโน้มระยะกลางยังคงเป็นบวก
ปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามในช่วงที่เหลือของไตรมาส 2 ปี 2025 ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของ BOE ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2025 การเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อในวันที่ 16 เมษายน 2525 การประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ GSK ที่จะประกาศผลประกอบการในวันที่ 30 เมษายน 2025 และพัฒนาการของสงครามการค้าโลกและการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยสรุป FTSE100 ยังคงมีแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แม้ว่าอาจมีการปรับฐานในระยะสั้น แต่นี่อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อในระดับราคาที่ต่ำกว่า ด้วยการประเมินมูลค่าที่ยังอยู่ในระดับต่ำและอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง FTSE100 ยังคงมีความน่าสนใจสำหรับทั้งนักลงทุนระยะสั้นและระยะยาว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยเสี่ยงอย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป