หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (10-14 มีนาคม 2025) คู่สกุลเงิน GBPJPY ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่มีนัยสำคัญ โดยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2.462% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ราคาได้เคลื่อนไหวจากระดับต่ำสุดของสัปดาห์ที่ 189.132 ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 14 มีนาคม ราคากำลังทดสอบแนวต้านสำคัญที่ระดับ 192.14 ซึ่งเป็นจุดที่มีความสำคัญทางเทคนิคอย่างมาก
การทะลุแนวโน้มขาลงในช่วงสัปดาห์นี้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ GBPJPY สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ทั้ง 50 วันและ 200 วันได้ นอกจากนี้ ตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง Stochastic และ RSI ได้พุ่งขึ้นในโซนที่มีการซื้อมากเกินไป (Overbought) แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งในตลาด แต่ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจเกิดการปรับฐานในระยะสั้นได้เช่นกัน
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน การแข็งค่าของปอนด์ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขยอดค้าปลีกที่ประกาศออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ในขณะที่เงินเยนได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และการปรับปรุงความเชื่อมั่นด้านความเสี่ยงทั่วโลก
ในสัปดาห์นี้ (17-21 มีนาคม 2025) ตลาดจะให้ความสนใจกับการประชุมนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึงการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของ GBPJPY ในระยะต่อไป นักลงทุนควรติดตามการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เช่นกัน เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก
ในสัปดาห์นี้ (17-21 มีนาคม 2025) มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงิน GBPJPY ซึ่งนักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญและการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจหลัก
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้สำหรับเงินปอนด์ แม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า BOE จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบัน แต่นักลงทุนจะให้ความสนใจกับถ้อยแถลงและมุมมองของคณะกรรมการต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในอนาคต หากมีการส่งสัญญาณถึงการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อเงินปอนด์ ในทางกลับกัน หากมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น อาจทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงได้
รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหราชอาณาจักรจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธนาคารกลางอังกฤษใช้ในการตัดสินใจด้านนโยบายการเงิน ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดอาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่ BOE จะยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ส่งผลให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น ในขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดอาจเพิ่มโอกาสในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้น
รายงานตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักรจะเปิดเผยข้อมูลอัตราการว่างงานและการเติบโตของค่าจ้าง ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและการเติบโตของค่าจ้างที่สูงอาจเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้ BOE ยังคงนโยบายการเงินที่เข้มงวด ส่งผลบวกต่อเงินปอนด์
การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางของเงินเยน นักวิเคราะห์จับตามองความเป็นไปได้ที่ BOJ จะส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ตามรายงานที่อ้างถึงข้อมูลจาก Bloomberg ก่อนหน้านี้ มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ ซึ่งหากในการประชุมครั้งนี้มีการส่งสัญญาณถึงการเข้มงวดมากขึ้น อาจทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลดุลการค้าของญี่ปุ่นประจำเดือนกุมภาพันธ์จะแสดงให้เห็นถึงสถานะการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น ดุลการค้าที่ดีกว่าคาดอาจสนับสนุนเงินเยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการปรับตัวดีขึ้นของการส่งออก ในทางกลับกัน การขาดดุลการค้าที่มากกว่าคาดอาจทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง
รายงานเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ BOJ ใช้ในการกำหนดนโยบายการเงิน ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดอาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่ BOJ จะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น
การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงคู่สกุลเงิน GBPJPY การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและถ้อยแถลงของประธาน Fed จะช่วยให้นักลงทุนประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อความเสี่ยงในตลาดและการเคลื่อนไหวของสกุลเงินต่างๆ
ความผันผวนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะส่งผลต่อความเสี่ยงในตลาดการเงินและความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ในสถานการณ์ที่มีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในตลาด เงินเยนมักจะได้ประโยชน์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย (Safe-haven Currency) ซึ่งอาจทำให้ GBPJPY มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
นักลงทุนควรติดตามเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของคู่สกุลเงิน GBPJPY ในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษและญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของทั้งเงินปอนด์และเงินเยน
การวิเคราะห์กราฟของคู่สกุลเงิน GBPJPY แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการทะลุแนวโน้มขาลงที่สำคัญ และการยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลัก ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะกลาง
จากข้อมูลกราฟรายวัน GBPJPY ได้ทะลุเส้นแนวโน้มขาลงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2025 ได้สำเร็จในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การทะลุแนวโน้มนี้ได้รับการยืนยันด้วยแท่งเทียนที่มีปริมาณการซื้อขายสูงและการปิดตลาดที่ระดับใกล้จุดสูงสุดของวัน
นอกจากนี้ ราคายังได้ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ทั้ง 50 วันที่ระดับ 190.60 และ 200 วันที่ระดับ 192.70 ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญในมุมมองทางเทคนิค โดยเฉพาะการที่เส้น SMA 50 วันกำลังเริ่มโค้งขึ้นและมีแนวโน้มที่จะตัดกับเส้น SMA 200 วันในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะเป็นการเกิด “Golden Cross” อันเป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง
RSI (Relative Strength Index) บนกราฟรายวันมีค่าประมาณ 68.75 ซึ่งเข้าใกล้โซนซื้อมากเกินไป (Overbought) ที่ระดับ 70 แต่ยังไม่ได้เข้าสู่โซนดังกล่าว แสดงว่าแรงซื้อยังคงมีอยู่ แต่อาจเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัวในระยะสั้น
MACD (Moving Average Convergence Divergence) แสดงค่าบวกและกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเส้น MACD อยู่เหนือเส้น Signal อย่างชัดเจน ซึ่งยืนยันถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
เมื่อพิจารณากราฟ 4 ชั่วโมง จะเห็นได้ว่า GBPJPY มีการสร้างรูปแบบ “Higher Highs” และ “Higher Lows” อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นลักษณะของแนวโน้มขาขึ้น โดยในช่วงวันที่ 12-14 มีนาคม ราคาได้ทะลุแนวต้านที่ 191.50 และกำลังทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 192.14
Stochastic Oscillator บนกราฟ 4 ชั่วโมงอยู่ในโซนซื้อมากเกินไป (Overbought) ที่ระดับเหนือ 80 แสดงให้เห็นว่าอาจมีการปรับฐานในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เส้น %K และ %D ยังไม่ได้แสดงสัญญาณการตัดกันลง ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นยังคงมีกำลัง
บนกราฟรายชั่วโมง GBPJPY กำลังเคลื่อนไหวในรูปแบบการแกว่งตัวขึ้น (Ascending Channel) โดยมีการทดสอบแนวรับด้านล่างของช่องและดีดตัวขึ้นหลายครั้ง ซึ่งแสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามาเมื่อราคาลดลงสู่ระดับแนวรับ
นอกจากนี้ RSI บนกราฟรายชั่วโมงมีการสร้าง “Bullish Divergence” เล็กน้อย โดยในขณะที่ราคาสร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าจุดก่อนหน้า แต่ RSI กลับสร้างจุดต่ำสุดที่สูงกว่า ซึ่งเป็นสัญญาณของการอ่อนกำลังลงของแรงขายและการเข้ามาของแรงซื้อ
ในกราฟ 15 นาทีและ 5 นาที เราสามารถเห็นการเคลื่อนไหวในระยะสั้นที่ผันผวนมากขึ้น แต่ยังคงอยู่ในกรอบแนวโน้มขาขึ้นโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ราคามักจะกลับตัวขึ้นหลังจากทดสอบเส้น SMA 21 วัน ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรับเคลื่อนที่ (Dynamic Support)
Stochastic บนกราฟระยะสั้นมีการแกว่งตัวระหว่างโซนซื้อมากเกินไปและโซนขายมากเกินไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นลักษณะปกติของตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนและมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงที่ใกล้การประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจสำคัญ
ในช่วงวันที่ 11 มีนาคม มีการเกิดรูปแบบแท่งเทียน “Bullish Engulfing” บนกราฟรายวัน ซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ตามมาด้วยแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่และปิดที่ระดับสูงในวันถัดมา ยืนยันถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในวันที่ 14 มีนาคม บนกราฟ 4 ชั่วโมง มีการเกิดรูปแบบ “Doji” ใกล้ระดับแนวต้าน 192.14 ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความลังเลของตลาดและอาจนำไปสู่การพักฐานชั่วคราวก่อนจะมีการทดสอบทะลุแนวต้านอีกครั้ง
จากการวิเคราะห์กราฟในทุก Time Frame สามารถสรุปได้ว่า GBPJPY มีแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนในระยะกลาง โดยได้ทะลุแนวโน้มขาลงหลักและยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ด้วยตัวชี้วัดหลายตัวที่เข้าสู่โซนซื้อมากเกินไป อาจมีการพักฐานในระยะสั้นก่อนที่จะมีการปรับตัวขึ้นต่อไป โดยควรจับตาดูการทดสอบแนวต้านที่ 192.14 ซึ่งหากทะลุผ่านไปได้ อาจนำไปสู่การทดสอบเป้าหมายถัดไปที่ 194.57 และ 195.00 ตามลำดับ
การระบุระดับแนวต้านที่สำคัญเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับคู่สกุลเงินที่มีความผันผวนสูงอย่าง GBPJPY ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ เราได้ระบุระดับแนวต้านสำคัญหลายระดับที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ ซึ่งได้จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างละเอียดในหลาย Time Frame
แนวต้านที่ระดับ 192.14 เป็นระดับที่มีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นจุดที่คู่เงิน GBPJPY กำลังทดสอบอยู่ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ระดับนี้มีความสำคัญทางจิตวิทยาเนื่องจากเป็นจุดสูงสุดในรอบหลายสัปดาห์ และยังเป็นเขตที่เคยมีการเทรดอย่างหนาแน่นในอดีต
จากกราฟรายวันและ 4 ชั่วโมง จะเห็นได้ว่าระดับนี้เคยทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2025 ก่อนที่จะถูกทะลุลงมา ตามหลักการทางเทคนิค เมื่อแนวรับถูกทะลุลงมาแล้ว มักจะกลายเป็นแนวต้านเมื่อราคากลับมาทดสอบอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
หากราคาสามารถปิดเหนือระดับ 192.14 ได้อย่างชัดเจนและมีปริมาณการซื้อขายสูง จะถือเป็นสัญญาณบวกที่แข็งแกร่ง บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นมีกำลังมากพอที่จะผลักดันราคาไปสู่ระดับที่สูงขึ้นต่อไป
เมื่อพิจารณาถึงระดับถัดไปหากราคาทะลุผ่าน 192.14 ได้สำเร็จ เป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 194.57 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 61.8% ของการปรับตัวลงครั้งล่าสุด ระดับนี้มีความสำคัญทางเทคนิคเนื่องจากมักจะดึงดูดราคาเข้าหาและอาจเกิดแรงขายทำกำไรหรือแรงต้านทานเมื่อราคาเข้าใกล้
นอกจากนี้ ระดับ 194.57 ยังเป็นบริเวณที่มีการเทรดอย่างหนาแน่นในช่วงปลายปี 2024 ทำให้มีความสำคัญทั้งในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิคและทางจิตวิทยาของตลาด
ระดับ 195.00 เป็นแนวต้านจิตวิทยาที่สำคัญ เนื่องจากเป็นตัวเลขกลม (Round Number) ซึ่งมักจะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนและเทรดเดอร์ ระดับนี้อาจเป็นจุดที่มีการตั้งคำสั่งขายทำกำไร (Take Profit) หรือคำสั่งขายเพื่อทำกำไรระยะสั้น (Scalping) จำนวนมาก
ในมุมมองทางเทคนิค ระดับนี้ยังใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้มีความสำคัญในฐานะแนวต้านที่ต้องเอาชนะเพื่อยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว
หากราคาสามารถผ่านแนวต้านที่ 195.00 ได้ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ระดับ 197.50 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน การทะลุผ่านระดับนี้จะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวอย่างชัดเจน และอาจนำไปสู่การทดสอบระดับจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 200.00 ในอนาคต
ระดับ 197.50 ยังเป็นบริเวณที่มี Supply Zone หนาแน่น ซึ่งหมายถึงบริเวณที่มีแรงขายสะสมอยู่มาก ทำให้ราคาอาจพบแรงต้านทานที่แข็งแกร่งเมื่อเข้าใกล้ระดับนี้
สำหรับนักลงทุนที่กำลังพิจารณาเปิดสถานะซื้อ GBPJPY การตั้งเป้าหมายกำไร (Take Profit) ตามระดับแนวต้านที่สำคัญเหล่านี้จะช่วยให้สามารถบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาจพิจารณาตั้งเป้าหมายกำไรที่ระดับ 194.57 สำหรับการเทรดระยะสั้น และ 197.50 สำหรับการเทรดระยะกลาง
นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การปรับ Stop Loss ให้ตามการเคลื่อนไหวของราคา (Trailing Stop) เมื่อราคาเคลื่อนที่ผ่านแต่ละระดับแนวต้านไปแล้ว จะช่วยป้องกันกำไรที่เกิดขึ้นและลดความเสี่ยงในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การระบุระดับแนวรับที่สำคัญเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการวางแผนจุดเข้าซื้อและการจัดการความเสี่ยงในการเทรด ในกรณีของคู่สกุลเงิน GBPJPY ที่กำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น การทราบระดับแนวรับจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าซื้อในจังหวะปรับฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ยังสอดคล้องกับแนวโน้มหลักของตลาด
ถึงแม้ว่าระดับ 192.14 จะกำลังทำหน้าที่เป็นแนวต้านในขณะนี้ แต่หากราคาสามารถทะลุผ่านและปิดเหนือระดับนี้ได้อย่างชัดเจน ระดับเดียวกันนี้จะกลายเป็นแนวรับที่สำคัญในการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป ตามหลักการที่ว่าแนวต้านเมื่อถูกทะลุผ่านแล้วมักจะกลายเป็นแนวรับ (Resistance Turned Support)
การทดสอบกลับมาที่ระดับนี้หลังจากทะลุผ่านไปแล้วจะเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าซื้อ โดยเฉพาะหากมีการยืนยันทางเทคนิคอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว หรือการปรากฏของ Bullish Divergence บนตัวชี้วัดโมเมนตัม
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (SMA 50) ที่ระดับประมาณ 190.60 เป็นแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญมาก เนื่องจากราคาได้ยืนเหนือเส้นนี้ได้สำเร็จในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และมักจะใช้เป็นแนวรับเคลื่อนที่ (Dynamic Support) ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น
การปรับฐานลงมาที่ระดับนี้และมีการดีดตัวกลับขึ้นไป โดยเฉพาะหากมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น จะเป็นสัญญาณยืนยันว่าแนวโน้มขาขึ้นยังคงแข็งแกร่ง และเป็นจุดเข้าซื้อที่มีความเสี่ยงต่ำและโอกาสทำกำไรสูง
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วัน (SMA 21) ที่ระดับประมาณ 189.35 เป็นแนวรับทางเทคนิคในระยะสั้นที่สำคัญ ในช่วงของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ราคามักจะไม่หลุดต่ำกว่าเส้นนี้เป็นเวลานาน และมักจะดีดตัวกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
หากราคามีการปรับฐานลงมาถึงระดับนี้ แต่ยังไม่หลุดต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ จะถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อที่ดี โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาจุดเข้าซื้อในราคาที่ต่ำกว่าตลาดปัจจุบัน
ระดับ 188.60 เป็นแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญซึ่งได้รับการยืนยันหลายครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม 2025 ระดับนี้เคยทำหน้าที่เป็นแนวต้านในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ก่อนที่จะถูกทะลุขึ้นไป และต่อมาได้กลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง
การยืนที่ระดับนี้หลังจากการปรับฐานจะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้าซื้อ อย่างไรก็ตาม หากราคาหลุดต่ำกว่าระดับนี้อย่างมีนัยสำคัญ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังอ่อนกำลังลง และอาจต้องทบทวนกลยุทธ์การเทรดใหม่
ระดับ 187.00 เป็นแนวรับสำคัญในระยะกลาง ซึ่งตรงกับระดับ Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับตัวขึ้นตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนมกราคม 2025 จนถึงจุดสูงสุดล่าสุด ระดับนี้ยังเคยทำหน้าที่เป็นทั้งแนวรับและแนวต้านในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญทางจิตวิทยาของตลาด
การหลุดต่ำกว่าระดับนี้จะเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจสิ้นสุดลง และอาจมีการปรับฐานลึกขึ้นหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเป็นขาลง
นอกจากการใช้ระดับแนวรับเป็นจุดเข้าซื้อแล้ว นักลงทุนยังสามารถใช้ระดับเหล่านี้ในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการตั้ง Stop Loss ต่ำกว่าระดับแนวรับสำคัญเล็กน้อย เพื่อป้องกันกรณีที่ราคาเกิดการหลุดแนวรับแบบหลอก (False Breakout)
ตัวอย่างเช่น หากเข้าซื้อที่ระดับใกล้เคียงกับ 190.60 (SMA 50) อาจพิจารณาตั้ง Stop Loss ที่ประมาณ 189.00-189.20 ซึ่งต่ำกว่าทั้ง SMA 50 และ SMA 21 เล็กน้อย เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับความผันผวนในระยะสั้น แต่ยังคงป้องกันความเสียหายในกรณีที่ราคาเกิดการปรับฐานลึกขึ้น
การเข้าใจและระบุระดับแนวรับที่สำคัญเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ของการหาจุดเข้าซื้อที่เหมาะสมและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จในการเทรดคู่สกุลเงิน GBPJPY ในสภาวะตลาดปัจจุบัน
ปัจจัยพื้นฐานเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางระยะกลางถึงระยะยาวของคู่สกุลเงิน GBPJPY การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่ครอบคลุมจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจแรงขับเคลื่อนหลักที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา และสามารถคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 โดยเฉพาะในภาคค้าปลีกที่มีผลประกอบการดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ตัวเลขยอดค้าปลีกในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่เพียง 0.3% สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักรยังคงอยู่ในสภาวะที่ดี โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำและการเติบโตของค่าจ้างยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แม้ว่าเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังคงอยู่เหนือเป้าหมายที่ 2% ส่งผลให้ BOE ยังไม่รีบร้อนที่จะลดอัตราดอกเบี้ย
ในการประชุมครั้งล่าสุด คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) มีมติ 7 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25% โดยสมาชิกส่วนใหญ่ต้องการเห็นหลักฐานที่ชัดเจนมากขึ้นว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ลดลงอย่างยั่งยืนก่อนที่จะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ย
ถ้อยแถลงของผู้ว่าการ BOE, Andrew Bailey ในช่วงที่ผ่านมายังคงมีท่าทีระมัดระวังและเน้นย้ำว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามา โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อและการเติบโตของค่าจ้าง
แม้ว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงที่ใกล้การเลือกตั้งทั่วไป และความท้าทายในการปรับตัวหลังจากการออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
นอกจากนี้ ภาคการผลิตของสหราชอาณาจักรยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการหดตัว แต่ในขณะเดียวกัน ภาคบริการกลับแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตโดยรวมของเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเผชิญกับความท้าทายในการกระตุ้นการเติบโตและเงินเฟ้อให้ถึงเป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เติบโตเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบวกจากภาคการส่งออกที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา โดยยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 7.8% ในเดือนมกราคม 2025 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.3%
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายสู่การปรับเข้มงวดมากขึ้น หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีในช่วงต้นปี 2025 โดยปรับจากติดลบมาเป็นบวกเล็กน้อยที่ 0.1%
อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในอนาคต ตามรายงานจาก Bloomberg ที่อ้างถึงแหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับท่าทีของ BOJ ระบุว่ายังมีความลังเลในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเปราะบางของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ผู้ว่าการ BOJ, Kazuo Ueda ได้แสดงความระมัดระวังในการสื่อสารเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต โดยเน้นย้ำว่าการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อเป็นหลัก
เงินเยนยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกหลายประการ โดยเฉพาะความผันผวนในตลาดการเงินโลกและการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญอื่นๆ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ในช่วงที่มีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในตลาด เงินเยนมักจะได้รับประโยชน์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย (Safe-haven Currency) แต่ในช่วงที่ความเชื่อมั่นในตลาดสูงขึ้น นักลงทุนมักจะลดการถือครองเงินเยนและหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง
คู่สกุลเงิน GBPJPY มีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจกับตลาดหุ้นทั้งในสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น โดยมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับดัชนี FTSE 100 และในทิศทางตรงข้ามกับดัชนี Nikkei 225 ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลง โดยดัชนี Dow Jones ลดลง 1.3%, S&P 500 ลดลง 1.4% และ Nasdaq ลดลง 2% ความผันผวนนี้ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกและอาจมีส่วนทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างสกุลเงินต่างๆ
เงินปอนด์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคาน้ำมัน เนื่องจากความสำคัญของภาคพลังงานต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะในทะเลเหนือ ในขณะที่เงินเยนมักจะมีความสัมพันธ์เชิงลบกับราคาน้ำมัน เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันรายใหญ่
ในช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบ WTI มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันเงินปอนด์ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบนี้ถูกชดเชยด้วยปัจจัยบวกอื่นๆ เช่น ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหราชอาณาจักร
นักลงทุนควรติดตามการประชุมนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษและญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะถ้อยแถลงที่เกี่ยวข้องกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต นอกจากนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อของทั้งสองประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของ GBPJPY ในระยะสั้นถึงระยะกลาง
การประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากจะส่งผลต่อความเสี่ยงในตลาดการเงินทั่วโลกและอาจกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุนระหว่างสกุลเงินต่างๆ
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินแนวโน้มของคู่สกุลเงิน GBPJPY ได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น นำไปสู่การตัดสินใจเทรดที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบัน
จากการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานของคู่สกุลเงิน GBPJPY อย่างครบถ้วน เราสามารถสรุปได้ว่าคู่เงินนี้กำลังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่ชัดเจนเป็นขาขึ้นในระยะกลาง โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายประการ ทั้งจากการทะลุแนวโน้มขาลงทางเทคนิค ข้อมูลเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรที่แข็งแกร่ง และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น
ในด้านเทคนิค การที่ GBPJPY สามารถทะลุแนวโน้มขาลงหลักและยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 และ 200 วันได้สำเร็จ เป็นสัญญาณยืนยันที่สำคัญของการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้น โดยในระยะสั้น ระดับแนวต้านที่ 192.14 เป็นจุดสำคัญที่ต้องจับตามอง หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง จะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นต่อไปยังเป้าหมายถัดไปที่ 194.57 และ 195.00 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ด้วยตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง RSI และ Stochastic ที่อยู่ในหรือใกล้โซนซื้อมากเกินไป (Overbought) อาจมีการพักฐานในระยะสั้นก่อนที่จะมีการปรับตัวขึ้นต่อไป ซึ่งการปรับฐานนี้อาจเป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักลงทุนที่มองหาจุดเข้าซื้อในราคาที่ต่ำกว่า โดยระดับแนวรับสำคัญอยู่ที่ 190.60 (SMA 50) และ 189.35 (SMA 21)
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน เงินปอนด์ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะตัวเลขยอดค้าปลีกที่ดีกว่าคาด และตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ยังไม่รีบร้อนที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้
ในขณะเดียวกัน เงินเยนยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และการปรับปรุงความเชื่อมั่นด้านความเสี่ยงทั่วโลก แม้ว่า BOJ จะเริ่มส่งสัญญาณการปรับเข้มงวดนโยบายการเงินมากขึ้น แต่ยังคงมีความลังเลในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้เงินเยนยังคงอ่อนค่าต่อไปในระยะสั้นถึงระยะกลาง
สำหรับนักลงทุนที่สนใจเทรดคู่สกุลเงิน GBPJPY ในสภาวะตลาดปัจจุบัน เราแนะนำกลยุทธ์ “ซื้อในจังหวะปรับฐาน” (Buy on Dips Strategy) โดยรอการปรับฐานลงมาที่บริเวณแนวรับสำคัญ เช่น 190.60 (SMA 50) หรือ 192.14 (หลังจากทะลุผ่านและกลายเป็นแนวรับ) ก่อนที่จะเข้าซื้อ
การใช้กลยุทธ์นี้จะช่วยให้นักลงทุนได้ราคาเข้าที่ดีกว่าการซื้อที่ระดับราคาปัจจุบัน และยังช่วยลดความเสี่ยงในกรณีที่เกิดการปรับฐานที่ลึกขึ้น โดยควรตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าแนวรับที่ใช้เป็นจุดเข้าประมาณ 30-50 pips และตั้งเป้าหมายกำไรที่ระดับแนวต้านถัดไป เช่น 194.57 หรือ 195.00
สำหรับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะกลางถึงระยะยาว อาจพิจารณาเพิ่มขนาดการลงทุน (Scale in) ในจังหวะที่ราคาปรับฐานและดีดตัวขึ้นจากแนวรับสำคัญ และใช้กลยุทธ์การปรับ Stop Loss ให้ตามการเคลื่อนไหวของราคา (Trailing Stop) เพื่อป้องกันกำไรที่เกิดขึ้นแล้ว
ในสัปดาห์นี้ (17-21 มีนาคม 2025) นักลงทุนควรติดตามเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ GBPJPY อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ:
สำหรับนักลงทุนทุกระดับ การเข้าใจทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ GBPJPY จะช่วยให้สามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างมีข้อมูลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้ว่าแนวโน้มในระยะกลางจะเป็นบวก แต่ความผันผวนยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหรือการประชุมนโยบายการเงิน ดังนั้น การใช้การบริหารเงินทุนที่เหมาะสมและการบริหารความเสี่ยงที่ดีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
การติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญและการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด จะช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดการความเสี่ยงและโอกาสในการเทรดคู่สกุลเงิน GBPJPY ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะตลาดที่ท้าทายแต่น่าสนใจในปัจจุบัน