หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังจับตามองข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ประจำเดือนเมษายนที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจแรกที่จะสะท้อนผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ประกาศโดยประธานาธิบดีทรัมป์ แม้ว่าการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมกับประเทศส่วนใหญ่จะถูกเลื่อนออกไป 90 วัน แต่ภาษีพื้นฐาน 10% ยังคงมีผลบังคับใช้ รวมถึงการเรียกเก็บภาษีในระดับสูงกับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะได้เห็นตัวเลข PMI ฉบับเบื้องต้น (Flash PMI) จากประเทศเศรษฐกิจหลักหลายแห่ง ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนประเมินความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผลกระทบเบื้องต้นของมาตรการภาษีนำเข้าดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังติดตามการประชุมฤดูใบไม้ผลิของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกที่กรุงวอชิงตัน ซึ่งจะจัดขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ โดยคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นและการปรับตัวของเศรษฐกิจโลก
ธนาคารกลางจีนจะประกาศอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate ในวันจันทร์ ซึ่งเป็นที่จับตามองว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดสกุลเงินเอเชียอาจเผชิญกับความผันผวนเพิ่มขึ้นหากมีสัญญาณของการแทรกแซงค่าเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
สำหรับสหรัฐฯ นักลงทุนจะติดตามการแถลงการณ์ของสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) หลายท่านที่มีกำหนดการพูดในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต นอกจากนี้ ข้อมูลยอดขายบ้านใหม่และยอดขายบ้านมือสองในสหรัฐฯ จะช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในบริบทของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น
ในญี่ปุ่น ข้อมูล Tokyo Core CPI ในวันศุกร์จะเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อที่สำคัญ โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.2% จากปีก่อนหน้า สูงกว่าระดับ 2.4% ในเดือนมีนาคม ซึ่งอาจส่งผลต่อการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่กำลังอยู่ในช่วงของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในตลาดการเงินทั่วโลก นักลงทุนควรระมัดระวังและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในตลาดสกุลเงิน ดัชนีหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อพัฒนาการของนโยบายการค้าและข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้
ในสัปดาห์นี้ (21-27 เมษายน 2025) มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลกระทบสูงต่อตลาด CFD ทั้งในด้านสกุลเงิน ดัชนีหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
เหตุการณ์เศรษฐกิจเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อตลาด CFD โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูล PMI ที่จะเปิดเผยในวันพุธที่ 23 เมษายน ซึ่งอาจสร้างความผันผวนอย่างมากในตลาดสกุลเงินและดัชนีหุ้น นอกจากนี้ การแถลงการณ์ของผู้กำหนดนโยบายการเงินจากธนาคารกลางสำคัญต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต
การประกาศอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate (LPR) ของจีนทั้งระยะ 1 ปีและ 5 ปีในวันจันทร์นี้มีความสำคัญเป็นพิเศษภายใต้บริบทของความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.10% สำหรับระยะ 1 ปี และ 3.60% สำหรับระยะ 5 ปี แต่นักวิเคราะห์จาก ING เชื่อว่ามีเหตุผลหนักแน่นสำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและแรงกดดันจากภายนอกจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ข้อพิจารณาด้านเสถียรภาพของค่าเงินอาจทำให้ธนาคารประชาชนจีน (PBOC) ตัดสินใจรอจนกว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อน หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR โดยไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 7-day reverse repo ก่อน อาจส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน และส่งผลกระทบต่อคู่สกุลเงิน USD/CNH รวมถึงสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน
ข้อมูล Flash PMI ที่จะเปิดเผยในวันพุธถือเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของสัปดาห์นี้ เนื่องจากเป็นข้อมูลชุดแรกที่จะสะท้อนความเชื่อมั่นทางธุรกิจหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นักวิเคราะห์จาก RBC Capital Markets ระบุว่าจะติดตามข้อมูลคำสั่งซื้อส่งออกใหม่อย่างใกล้ชิด แม้ว่าอาจยังเร็วเกินไปที่จะเห็นผลกระทบทั้งหมดในเดือนเมษายน
สำหรับสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า Flash Manufacturing PMI จะลดลงเป็น 49.3 จาก 50.2 ในเดือนก่อนหน้า ส่วน Services PMI คาดว่าจะลดลงเป็น 52.9 จาก 54.4 การลดลงที่มากกว่าคาดการณ์อาจส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจกดดันดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY)
ในยุโรป PMI ภาคการผลิตของฝรั่งเศส เยอรมนี และยูโรโซนโดยรวมคาดว่าจะยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการหดตัว โดยเฉพาะภาคการผลิตของเยอรมนีที่คาดว่าจะลดลงเป็น 47.5 จาก 48.3 หากตัวเลขออกมาแย่กว่าคาดการณ์ อาจส่งผลเชิงลบต่อค่าเงินยูโร โดยเฉพาะคู่สกุลเงิน EUR/USD
สำหรับสหราชอาณาจักร คาดการณ์ว่า Manufacturing PMI จะลดลงเป็น 44.0 จาก 44.9 ในขณะที่ Services PMI คาดว่าจะลดลงเป็น 51.4 จาก 52.5 นักวิเคราะห์จาก RBC Capital Markets ชี้ว่าความเสี่ยงที่ชัดเจนคือผลกระทบต่อความเชื่อมั่นจากการประกาศภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แม้ว่าการส่งออกบริการของสหราชอาณาจักรไปยังสหรัฐฯ จะยังคงไม่ถูกเก็บภาษี ดังนั้นผลกระทบโดยตรงควรมีจำกัด
การประชุมฤดูใบไม้ผลิของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกที่กรุงวอชิงตันจะจัดขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ โดยคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมเงินเฟ้อสูง (Stagflation)
นักลงทุนควรติดตามถ้อยแถลงและรายงานที่ออกมาจากการประชุมนี้ เนื่องจากอาจมีการปรับการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินทั่วโลก
ในสัปดาห์นี้จะมีสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) หลายท่านกล่าวสุนทรพจน์ รวมถึง Goolsbee, Jefferson, Harker, Kashkari, Kugler, Waller และ Hammack นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต โดยเฉพาะท่าทีของ FOMC ต่อความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้า
การแถลงการณ์ที่บ่งชี้ถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อและการเลื่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น และเสริมความแข็งแกร่งให้กับดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะสั้น
ข้อมูลยอดขายบ้านใหม่ในวันพุธและยอดขายบ้านมือสองในวันพฤหัสบดีจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสภาวะตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ในบริบทของอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านใหม่จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 680,000 หน่วย จาก 676,000 หน่วย ในขณะที่ยอดขายบ้านมือสองคาดว่าจะลดลงเป็น 4.14 ล้านหน่วย จาก 4.26 ล้านหน่วย
ตลาดที่อยู่อาศัยเป็นภาคส่วนที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย และเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความแข็งแกร่งของผู้บริโภคและเศรษฐกิจโดยรวม หากตัวเลขออกมาแย่กว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจส่งผลกระทบต่อดัชนีหุ้นสหรัฐฯ และดอลลาร์สหรัฐฯ
ข้อมูลคำสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมีนาคมที่จะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการลงทุนภาคเอกชนและความเชื่อมั่นทางธุรกิจในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าคำสั่งซื้อสินค้าคงทนจะเพิ่มขึ้น 1.5% เดือนต่อเดือน เพิ่มขึ้นจาก 0.9% ในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน (ไม่รวมการขนส่ง) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% เดือนต่อเดือน ลดลงจาก 0.7% ในเดือนก่อนหน้า
ตัวเลขที่แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์อาจบ่งชี้ถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจเสริมความแข็งแกร่งให้กับดอลลาร์สหรัฐฯ และดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ในขณะที่ตัวเลขที่อ่อนแอกว่าคาดการณ์อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโตเกียวเดือนเมษายนที่จะเปิดเผยในวันศุกร์มีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากมักเป็นตัวชี้วัดล่วงหน้าของอัตราเงินเฟ้อระดับประเทศของญี่ปุ่น คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโตเกียวจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.2% จากปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้นจาก 2.4% ในเดือนมีนาคม ซึ่งสะท้อนถึงการปรับขึ้นราคาของบริษัทต่างๆ ในช่วงเริ่มต้นของปีงบประมาณใหม่ของญี่ปุ่นในเดือนเมษายน
ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดการณ์อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) จะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น และอาจส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยเฉพาะคู่สกุลเงิน USD/JPY ที่อาจปรับตัวลดลงหากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลยอดค้าปลีกเดือนมีนาคมของสหราชอาณาจักรและแคนาดาที่จะเปิดเผยในวันศุกร์จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้ คาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักรจะลดลง 0.4% เดือนต่อเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ยอดค้าปลีกของแคนาดาคาดว่าจะลดลง 0.4% เดือนต่อเดือน หลังจากลดลง 0.6% ในเดือนก่อนหน้า
ตัวเลขที่อ่อนแอกว่าคาดการณ์อาจส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ และอาจส่งผลเชิงลบต่อค่าเงินปอนด์และดอลลาร์แคนาดา โดยเฉพาะคู่สกุลเงิน GBP/USD และ USD/CAD
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค University of Michigan ฉบับปรับปรุงสำหรับเดือนเมษายนจะเปิดเผยในวันศุกร์ คาดการณ์ว่าจะทรงตัวที่ระดับ 50.8 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับการเปิดเผยครั้งแรก ความเชื่อมั่นและพฤติกรรมของผู้บริโภคสหรัฐฯ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินความเป็นไปได้ของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ความคาดหวังเงินเฟ้อของผู้บริโภคในรายงานนี้ยังมีความสำคัญต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการประเมินว่าความคาดหวังเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ หากความคาดหวังเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาจเพิ่มความกังวลของ Fed เกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ และอาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
สัปดาห์ที่จะถึงนี้ (21-27 เมษายน 2025) จะเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะในบริบทของความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าแก่นักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจและนโยบายการเงินในอนาคต
ตลาดสกุลเงินมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความผันผวนเพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะหลังจากการเปิดเผยข้อมูล PMI ทั่วโลกในวันพุธ ซึ่งจะเป็นการทดสอบความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจท่ามกลางความกังวลเรื่องสงครามการค้า
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) อาจเผชิญกับแรงกดดันหากข้อมูล PMI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเร่งการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน หากข้อมูลออกมาแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ อาจเสริมความแข็งแกร่งให้กับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะหากมีการแถลงการณ์จากสมาชิก FOMC ที่เน้นย้ำความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้า
สกุลเงินเยน (JPY) ควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษในสัปดาห์นี้ เนื่องจากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโตเกียวในวันศุกร์อาจส่งผลต่อความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น หากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2025 และอาจส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ
สกุลเงินหยวน (CNY) จะได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate ในวันจันทร์ หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อค่าเงินหยวนและอาจส่งผลกระทบต่อสกุลเงินเอเชียอื่นๆ โดยเฉพาะสกุลเงินของประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ใกล้ชิดกับจีน เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) และดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD)
ตลาดดัชนีหุ้นทั่วโลกจะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากข้อมูล PMI และการแถลงการณ์ของผู้กำหนดนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq อาจเผชิญกับความผันผวนหลังจากการเปิดเผยข้อมูล PMI ของสหรัฐฯ ในวันพุธ และข้อมูลคำสั่งซื้อสินค้าคงทนในวันพฤหัสบดี
ดัชนีหุ้นยุโรป โดยเฉพาะ DAX ของเยอรมนีและ CAC 40 ของฝรั่งเศส อาจได้รับผลกระทบอย่างมากจากข้อมูล PMI ของประเทศเหล่านี้ เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปมีความอ่อนไหวต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการชะลอตัวของการค้าโลก
ดัชนีหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะ Hang Seng ของฮ่องกงและ CSI 300 ของจีน จะได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate ของจีนในวันจันทร์ และปฏิกิริยาของตลาดต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจมีการประกาศเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันและทองคำ จะได้รับผลกระทบจากข้อมูลเศรษฐกิจและพัฒนาการทางนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ น้ำมันดิบจะได้รับผลกระทบจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบในวันพุธ รวมถึงข้อมูล PMI ทั่วโลกที่จะสะท้อนแนวโน้มความต้องการพลังงาน
ทองคำอาจยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะหากมีสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าคาดการณ์จากข้อมูล PMI ทั่วโลก นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นหากมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเร่งการลดอัตราดอกเบี้ย ก็อาจเสริมความแข็งแกร่งให้กับราคาทองคำเช่นกัน
โอกาสในการเทรดเฉพาะ:
นักลงทุนควรตระหนักว่าสัปดาห์นี้มีวันหยุดธนาคารในหลายประเทศสำคัญ โดยเฉพาะในวันจันทร์และวันศุกร์ ซึ่งอาจส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดลดลงและอาจเพิ่มความผันผวนในช่วงเวลาดังกล่าว
นอกจากนี้ นักลงทุนควรติดตามพัฒนาการจากการประชุม IMF และธนาคารโลกตลอดทั้งสัปดาห์ เนื่องจากการประเมินและคำแนะนำเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดและการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เสี่ยง
ท้ายที่สุด ในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ วินัยในการเทรดและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมมีความสำคัญมากกว่าที่เคย นักลงทุนควรพิจารณาการลดขนาดของตำแหน่งการลงทุนและการตั้งค่า Stop Loss ที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนที่คาดไม่ถึง
โดยสรุป สัปดาห์นี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับตลาดการเงินทั่วโลก โดยข้อมูล PMI ทั่วโลกจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของผลกระทบเบื้องต้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นักลงทุนที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นและอาจค้นพบโอกาสในการเทรดที่น่าสนใจท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น