หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดทองคำในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2025 แสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยราคาสามารถทะลุแนวต้านสำคัญและยืนเหนือระดับจิตวิทยาที่ 2,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้สำเร็จ ณ วันที่ 4 มีนาคม 2025 ราคาทองคำปิดที่ระดับ 2,895 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 34 ดอลลาร์จากวันก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิคพบว่าราคาทองคำสามารถทำลายโครงสร้างขาลง (Downtrend Channel) ที่ระดับ 2,877 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม และสร้างรูปแบบ Higher High และ Higher Low ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการเปลี่ยนแนวโน้มระยะสั้นเป็นขาขึ้น นอกจากนี้ ตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง RSI และ Stochastic ยังแสดงสัญญาณเชิงบวก โดย RSI ฟื้นตัวจากระดับ Oversold ที่ 28 ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ มาแตะระดับ 58 ในวันที่ 4 มีนาคม และ Stochastic Oscillator แสดงสัญญาณ Bullish Crossover ที่ชัดเจนใน Time Frame 4 ชั่วโมง
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน การประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และเพิ่มภาษีสินค้าจากจีนเป็น 20% โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก ประกอบกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตสหรัฐฯ ที่ออกมาในระดับ 50.3 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มราคาทองคำในระยะสั้นถึงระยะกลาง พร้อมระบุระดับแนวรับ-แนวต้านสำคัญ และนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน โดยคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในอนาคตอันใกล้
การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการค้าระหว่างประเทศและข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทิศทางค่าเงินดอลลาร์และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
เหตุการณ์ที่ผ่านมาและมีผลต่อตลาด
เหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น
การวิเคราะห์กราฟราคาทองคำในหลาย Time Frame ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของแนวโน้มตลาดได้ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่แนวโน้มระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว โดยในแต่ละกรอบเวลาจะให้มุมมองและข้อมูลที่แตกต่างกันสำหรับการวางแผนกลยุทธ์การลงทุน
การวิเคราะห์กราฟรายวัน (Daily Chart)
กราฟรายวันของ XAUUSD แสดงให้เห็นแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางที่ชัดเจน แม้จะมีการปรับฐานในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ก็ตาม ราคาทองคำได้สร้างจุดต่ำสุดที่สูงกว่าจุดต่ำสุดครั้งก่อน (Higher Low) ที่ระดับ 2,842 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และสามารถฟื้นตัวขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง โดยกลับมาทดสอบระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 2,900 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (MA 50) ยังคงเคลื่อนที่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน (MA 200) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เรียกว่า “Golden Cross” และบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว นอกจากนี้ เส้น MA 50 ยังทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในช่วงปรับฐานที่ผ่านมา
ดัชนี RSI บนกราฟรายวันปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 45 เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์มาอยู่ที่ระดับ 62 ในปัจจุบัน ซึ่งยังไม่ถึงระดับ Overbought ที่ 70 แสดงว่ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก ในขณะที่ MACD กำลังจะเกิดสัญญาณ Bullish Crossover ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มขาขึ้นเพิ่มเติม
การวิเคราะห์กราฟ 4 ชั่วโมง (H4 Chart)
บนกราฟ 4 ชั่วโมง ราคาทองคำได้ทะลุโครงสร้างขาลง (Downtrend Channel) ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ระดับ 2,877 ดอลลาร์ และสร้างแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นที่ชัดเจน โดยการทำ Higher High และ Higher Low ต่อเนื่องกัน
ตัวชี้วัด Stochastic Oscillator แสดงสัญญาณ Bullish Crossover ในขณะที่ราคาอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่บ่งชี้ถึงโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (EMA 20) เริ่มโค้งตัวขึ้นและมีแนวโน้มที่จะตัดขึ้นเหนือเส้น EMA 50 ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นอย่างเป็นทางการ
บนกราฟ 4 ชั่วโมงยังปรากฏรูปแบบ Bullish Flag Pattern ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 มีนาคม ซึ่งเป็นรูปแบบการพักตัวชั่วคราวก่อนที่ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อไป โดยมีเป้าหมายทางเทคนิคที่ระดับ 2,920-2,930 ดอลลาร์
การวิเคราะห์กราฟรายชั่วโมง (H1 Chart)
กราฟรายชั่วโมงให้มุมมองที่ละเอียดขึ้นสำหรับการวางแผนการเข้าซื้อขายในระยะสั้น โดยราคาทองคำกำลังเคลื่อนตัวในกรอบธง (Flag Pattern) ระยะสั้นระหว่าง 2,890-2,905 ดอลลาร์ การทะลุขึ้นเหนือกรอบด้านบนที่ระดับ 2,905 ดอลลาร์ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสัญญาณเชิงบวกที่บ่งชี้ถึงการปรับตัวขึ้นต่อไปยังระดับ 2,920 ดอลลาร์
นอกจากนี้ ดัชนี RSI บนกราฟรายชั่วโมงอยู่ที่ระดับ 56 ซึ่งไม่ได้อยู่ในภาวะ Overbought แสดงว่ายังมีพื้นที่สำหรับการปรับตัวขึ้นเพิ่มเติม ขณะที่ MACD แสดงให้เห็นโมเมนตัมขาขึ้นที่กำลังพัฒนา โดยเส้น Histogram กำลังขยายตัวในเชิงบวก
การวิเคราะห์กราฟระยะสั้น (M30, M15, M5)
กราฟ M30, M15 และ M5 เหมาะสำหรับการหาจุดเข้าซื้อขายที่เหมาะสมในระยะสั้นมาก โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการจับความเคลื่อนไหวในระยะสั้น กราฟ M30 แสดงให้เห็นรูปแบบการสร้าง Higher Low ที่ชัดเจน และมีการทดสอบแนวรับที่ 2,890 ดอลลาร์ซ้ำหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวรับระดับนี้
บนกราฟ M15 สังเกตเห็นรูปแบบ Double Bottom ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 4 มีนาคม ที่ระดับ 2,888 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวเชิงบวกในระยะสั้นมาก และอาจนำไปสู่การปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 2,905 ดอลลาร์
บทสรุปการวิเคราะห์กราฟ
จากการวิเคราะห์กราฟในหลาย Time Frame พบว่าราคาทองคำกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง โดยมีแรงสนับสนุนจากการทะลุโครงสร้างขาลงที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และการสร้างรูปแบบกราฟเชิงบวกต่างๆ เช่น Bullish Flag และ Double Bottom ตัวชี้วัดทางเทคนิคส่วนใหญ่ให้สัญญาณเชิงบวก ซึ่งสนับสนุนมุมมองว่าราคาทองคำมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับ 2,920-2,930 ดอลลาร์ในระยะสั้น
การระบุระดับแนวต้านที่สำคัญเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุน โดยเฉพาะสำหรับการกำหนดเป้าหมายกำไรและจุดขายทำกำไร จากการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคของทองคำ (XAUUSD) ในหลาย Time Frame ได้บ่งชี้ถึงระดับแนวต้านสำคัญดังต่อไปนี้
แนวต้านระยะสั้น (1-3 วัน)
แนวต้านระยะกลาง (1-4 สัปดาห์)
บริเวณแนวต้านที่ราคาอาจติดขัด
การวิเคราะห์โครงสร้างของตลาดยังเผยให้เห็นบริเวณที่ราคาอาจประสบกับแรงต้านที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะระดับ 2,920-2,930 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการสะสมคำสั่งขายจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อราคาเข้าใกล้ระดับนี้มักจะเกิดการตอบสนองอย่างรุนแรง ทำให้ราคาปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ระดับ 2,956 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ของราคาทองคำ ถือเป็นแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยา การที่ราคาจะสามารถทะลุผ่านและรักษาระดับเหนือจุดนี้ได้จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งว่าตลาดทองคำกำลังเข้าสู่ช่วงขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และอาจมีการปรับตัวขึ้นไปสู่ระดับใหม่ที่ 3,000 ดอลลาร์ได้ในอนาคตอันใกล้
ปัจจัยที่จะช่วยให้ราคาทะลุแนวต้านสำคัญ
การระบุระดับแนวรับที่สำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและการจัดการความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการกำหนดจุดเข้าซื้อที่เหมาะสมและการตั้งระดับ Stop Loss เพื่อจำกัดความเสียหายหากตลาดเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จากการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคของทองคำ (XAUUSD) ในหลาย Time Frame ได้บ่งชี้ถึงระดับแนวรับสำคัญดังต่อไปนี้
แนวรับระยะสั้น (1-3 วัน)
แนวรับระยะกลาง (1-4 สัปดาห์)
บริเวณที่คาดว่าจะมีการสะสมคำสั่งซื้อจากสถาบัน
จากการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดและการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต พบว่ามีบริเวณที่คาดว่าจะมีการสะสมคำสั่งซื้อจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงราคา 2,870-2,880 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการซื้อขายหนาแน่นในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีบริเวณ 2,840-2,850 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่มีแรงซื้อที่แข็งแกร่งเข้ามาสนับสนุนในช่วงการปรับฐานครั้งล่าสุด การที่ราคาลงมาทดสอบบริเวณนี้อีกครั้งอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวในการสะสมทองคำเพิ่มเติม
ปัจจัยที่อาจทำให้ราคาลงมาทดสอบแนวรับ
จจัยพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อราคาทองคำจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าใจภาพรวมของตลาดและวางแผนกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าสำคัญได้ทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และเพิ่มภาษีสินค้าจากจีนเป็น 20% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2025 การออกมาตรการทางการค้าที่เข้มงวดเช่นนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลก
จีนได้ตอบโต้ทันทีด้วยการประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 10-15% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 มีนาคม 2025 นอกจากนี้ ยังมีการประกาศมาตรการจำกัดการส่งออกต่อบริษัทสหรัฐฯ บางแห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของสงครามการค้าที่อาจขยายตัวและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
ในสถานการณ์ที่ความไม่แน่นอนทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นเช่นนี้ นักลงทุนมักจะหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งล่าสุด Fed ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม และตลาดคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ 78% ที่ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม 2025 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตที่ออกมาต่ำกว่าคาดที่ระดับ 50.3 ได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่ Fed อาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2025
FedWatch Tool ของ CME Group ระบุว่าตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2025 โดยเริ่มจากการประชุมในเดือนมิถุนายน และครั้งที่สองอาจเกิดขึ้นในเดือนกันยายน หากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัวลงต่อไป
การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย และอาจส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะส่งผลดีต่อราคาทองคำที่กำหนดในสกุลเงินดอลลาร์
การสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก
ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ยังคงเพิ่มการสะสมทองคำในทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลจาก World Gold Council การซื้อทองคำโดยธนาคารกลางในไตรมาสแรกของปี 2025 เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
การสะสมทองคำของธนาคารกลางสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในการกระจายความเสี่ยงจากสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น แนวโน้มนี้คาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2025 และเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำในระยะยาว
ความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นๆ
ราคาทองคำมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ดัชนี DXY ได้ปรับตัวลดลง 1.47% ในสัปดาห์ล่าสุด อันเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนในนโยบายการค้า การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ ราคาทองคำยังมีความสัมพันธ์กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยในช่วงที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีได้ปรับตัวลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ
แนวโน้มอุปสงค์-อุปทานทองคำในตลาดโลก
ในด้านอุปสงค์ Daniel Pavilonis นักยุทธศาสตร์การตลาดอาวุโสจาก RJO Futures ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของความต้องการทองคำจากนักลงทุนทั้งในตลาดตะวันตกและตลาดเกิดใหม่ โดยปริมาณการซื้อในตลาดล่วงหน้าได้เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
ในขณะเดียวกัน การผลิตทองคำจากเหมืองทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของความต้องการ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนในตลาดและกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว
มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ
นักวิเคราะห์จาก J.P.Morgan คาดการณ์ว่าราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2025 โดยได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางการค้า การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed
ในทำนองเดียวกัน Giovanni Staunovo นักวิเคราะห์จาก UBS มองว่าราคาทองคำมีโอกาสที่จะทดสอบระดับสูงสุดเดิมที่ 2,956.15 ดอลลาร์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแสดงสัญญาณการชะลอตัว ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันให้ Fed ต้องลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
ตลาดทองคำ (XAUUSD) ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2025 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นจากการประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สะท้อนจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตที่ต่ำกว่าคาด และการคาดการณ์ว่า Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2025
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าราคาทองคำได้ทะลุโครงสร้างขาลง (Downtrend Channel) ที่ระดับ 2,877 ดอลลาร์ และสร้างรูปแบบ Higher High และ Higher Low ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้มระยะสั้นเป็นขาขึ้น ตัวชี้วัดทางเทคนิคส่วนใหญ่ยังให้สัญญาณเชิงบวก โดย RSI ได้ฟื้นตัวจากระดับ Oversold มาอยู่ที่ระดับ 58 และ Stochastic Oscillator แสดงสัญญาณ Bullish Crossover ที่ชัดเจนใน Time Frame 4 ชั่วโมง
ระดับแนวต้านสำคัญในระยะสั้นอยู่ที่ 2,910 และ 2,920-2,930 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซน Offer Liquidity จากสถาบันการเงิน ส่วนแนวต้านระยะกลางอยู่ที่ 2,951 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Extension 161.8% และใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิมที่ 2,956.15 ดอลลาร์ ในขณะที่ระดับแนวรับสำคัญในระยะสั้นอยู่ที่ 2,890 และ 2,878 ดอลลาร์ ส่วนแนวรับระยะกลางอยู่ที่ 2,842 และ 2,820 ดอลลาร์
ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนราคาทองคำในปัจจุบันประกอบด้วยความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงครึ่งปีหลัง การสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐที่ลดลง 1.47% ในสัปดาห์ล่าสุด
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้สำหรับนักลงทุนระยะสั้นคือการใช้กลยุทธ์ Breakout Trading โดยเข้าซื้อเมื่อราคายืนมั่นเหนือ 2,900 ดอลลาร์ด้วยปริมาณการซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ 2,920-2,930 ดอลลาร์ และตั้ง Stop Loss ที่ 2,885 ดอลลาร์ หรือใช้กลยุทธ์ Pullback Entry โดยรอให้ราคาย่อตัวลงมาที่แนวรับ 2,878 ดอลลาร์และมีรูปแบบกลับตัว (Reversal Pattern) ก่อนเข้าซื้อ
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว อาจพิจารณาการสะสมทองคำในช่วงปรับฐานที่ 2,840-2,860 ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายที่ 2,950 ดอลลาร์ในระยะกลาง และอาจถึง 3,000 ดอลลาร์ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2025 ตามการคาดการณ์ของ J.P.Morgan
ปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงนี้ได้แก่ การกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อสภาคองเกรสในวันที่ 5 มีนาคม 2025 รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันที่ 7 มีนาคม 2025 มาตรการตอบโต้ทางการค้าของจีนต่อสหรัฐฯ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 มีนาคม 2025 และการประชุมนโยบายการเงินของ Fed ในวันที่ 19-20 มีนาคม 2025 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดทองคำและเป็นโอกาสสำหรับการซื้อขายในระยะสั้น
โดยสรุป มุมมองต่อตลาดทองคำในช่วงนี้ยังคงเป็นบวก โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น และควรมีการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมโดยการกำหนด Stop Loss ที่ชัดเจนและการจำกัดขนาดการลงทุนไม่เกิน 2-3% ของพอร์ตโฟลิโอต่อการเทรดหนึ่งครั้ง