หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ราคาทองคำ (XAUUSD) แสดงสัญญาณแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา โดยปรับตัวขึ้น 0.9% แตะระดับ $3,229.51 ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าสหรัฐฯ ปิดที่ $3,233.5 เพิ่มขึ้น 1.5% หลังจากที่ Moody’s ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาจากระดับสูงสุด “Aaa” ลงมาเป็น “Aa1” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยอ้างถึงภาระหนี้สาธารณะและต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีอันดับความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกัน
การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือนี้ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์มักเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากถ้อยแถลงของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent ที่ระบุว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเรียกเก็บภาษีตามอัตราที่ขู่ไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน หากประเทศคู่ค้าไม่เจรจาด้วย “ความสุจริต”
ในมุมมองระยะสั้นถึงระยะกลาง ทองคำมีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก โดย Goldman Sachs ยังคงคาดการณ์ราคาทองคำที่ $3,700 ต่อออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ และ $4,000 ต่อออนซ์ภายในกลางปี 2026 โดยมองว่าการกระจายการลงทุนของภาคเอกชนในทองคำยังมีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งหมายความว่ายังมีศักยภาพการเติบโตอีกมาก
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจับตาดูการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพันธบัตรอายุ 30 ปีที่ผลตอบแทนแตะระดับ 5.03% ในช่วงสั้นๆ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นอาจเป็นแรงกดดันต่อราคาทองคำในอนาคต
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อราคาทองคำในระยะต่อไปยังรวมถึงความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เกี่ยวกับสันติภาพในยูเครน ซึ่งอาจส่งผลต่อความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในตลาดโลก
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Moody’s ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาลงจาก “Aaa” เป็น “Aa1” ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดยุค 75 ปีที่สหรัฐฯ เคยได้รับการจัดอันดับสูงสุดจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือนี้มาตั้งแต่ปี 1949 การปรับลดครั้งนี้ทำให้ปัจจุบันทุกสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ (Moody’s, S&P และ Fitch) ต่างให้อันดับสหรัฐฯ ในระดับรองจากสูงสุด โดย Moody’s ระบุเหตุผลว่า:
“การปรับลดอันดับลงหนึ่งขั้นจากมาตราส่วน 21 ขั้นของเรา สะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้รัฐบาลและอัตราส่วนการจ่ายดอกเบี้ยตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา สู่ระดับที่สูงกว่าประเทศอื่นที่มีอันดับความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกันอย่างมีนัยสำคัญ”
ผลกระทบต่อตลาดทองคำเป็นไปในเชิงบวก เนื่องจากการปรับลดอันดับนี้ทำให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐฯ ในระยะยาว ส่งผลให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ นอกจากนี้ การปรับลดอันดับยังส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำที่กำหนดราคาในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent ได้แถลงเมื่อวันอาทิตย์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์พร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าตามอัตราที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน หากประเทศคู่ค้าไม่เจรจาการค้าด้วย “ความสุจริต” คำกล่าวนี้ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก
ในขณะเดียวกัน สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กำลังเร่งผลักดันร่างกฎหมายภาษีและการใช้จ่ายของทรัมป์ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มหนี้สาธารณะของประเทศอีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า โดย Moody’s ได้เตือนถึงการขาดวินัยทางการคลัง: “รัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐสภาในหลายสมัยที่ผ่านมาไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับมาตรการที่จะช่วยลดแนวโน้มการขาดดุลงบประมาณขนาดใหญ่และต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เราไม่เชื่อว่าข้อเสนอทางการคลังที่กำลังพิจารณาอยู่ในปัจจุบันจะนำไปสู่การลดรายจ่ายภาคบังคับและการขาดดุลอย่างมีนัยสำคัญหลายปี”
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าและการขาดดุลงบประมาณสร้างความกังวลในตลาด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากนักลงทุนมักหันไปพึ่งพาสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอน
ประธานาธิบดีทรัมป์มีกำหนดจะหารือกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เกี่ยวกับสันติภาพในยูเครน ขณะที่ผู้นำยุโรปเรียกร้องให้รัสเซียยอมรับข้อตกลงหยุดยิงทันทีเพื่อยุติสงครามที่ดำเนินมาสามปีแล้ว การเจรจาครั้งนี้อาจส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคและตลาดการเงินโลก
ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์มักเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของราคาทองคำ โดยในช่วงที่มีความตึงเครียดสูง นักลงทุนมักเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง หากการเจรจาระหว่างทรัมป์และปูตินนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพ อาจส่งผลให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลดลงในระยะสั้น แต่หากการเจรจาล้มเหลวหรือนำไปสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ก็อาจเป็นแรงหนุนสำคัญให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอีก
นอกจากนี้ ยังควรติดตามผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนและสหภาพยุโรป ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน โดยรายงานจาก Financial Times ระบุว่าสหรัฐฯ ได้เริ่มการเจรจาการค้าอย่างจริงจังกับสหภาพยุโรป ซึ่งอาจช่วยบรรเทาความกังวลบางส่วนเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้น
การวิเคราะห์กราฟราคาทองคำ (XAUUSD) จำเป็นต้องพิจารณาในหลายกรอบเวลาเพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ของแนวโน้มตลาดและจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม ในการวิเคราะห์นี้ เราจะเริ่มจากกรอบเวลาใหญ่เพื่อกำหนดแนวโน้มหลัก และค่อยๆ ลงมาสู่กรอบเวลาที่เล็กลงเพื่อระบุจุดเข้าเทรดที่แม่นยำยิ่งขึ้น
ในกรอบเวลารายวัน ราคาทองคำแสดงแนวโน้มขาขึ้น (Bullish) ที่ชัดเจน โดยเคลื่อนตัวเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ทั้งสี่เส้น การที่ SMA ระยะสั้นอยู่เหนือ SMA ระยะยาวยืนยันแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ เราสังเกตเห็นการเกิด Up Fractal ล่าสุดที่ระดับประมาณ $3,180 ซึ่งอาจเป็นจุดกลับตัวสำคัญหากราคามีการปรับฐาน
ดัชนี RSI ในกรอบเวลารายวันอยู่ที่ระดับประมาณ 65 ซึ่งแสดงถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่ยังแข็งแกร่ง แต่ยังไม่เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป (Overbought) ที่ 70 ขณะที่ MACD ยังคงอยู่เหนือเส้น Signal และ Histogram เป็นบวก ซึ่งเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นที่ยังดำเนินต่อไป
ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ราคาทองคำได้เกิดการดีดตัวขึ้นจากแนวรับที่สำคัญหลังจากข่าวการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ โดย Moody’s โดยเราสังเกตเห็นรูปแบบ “ฐานคู่” (Double Bottom) ที่กำลังก่อตัว ซึ่งเป็นรูปแบบกราฟที่มักนำไปสู่การกลับตัวขาขึ้น
Stochastic Oscillator ในกรอบเวลา H4 เริ่มแสดงสัญญาณการตัดขึ้น (Bullish Crossover) โดยเส้น %K ตัดผ่านเส้น %D ขึ้นไปจากเขตขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งเป็นสัญญาณการเข้าซื้อที่น่าสนใจ ในขณะเดียวกัน MACD ก็เริ่มแสดงการกลับตัวโดย Histogram กำลังเริ่มลดความลึกของค่าลบ
ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง ราคาทองคำกำลังทดสอบแนวต้านระยะสั้นที่ $3,240 โดยเราสังเกตเห็นรูปแบบกราฟ “ธงชาติ” (Bull Flag) ซึ่งมักเป็นรูปแบบการพักตัวชั่วคราวในแนวโน้มขาขึ้น หากราคาสามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ไปได้ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ $3,280-3,300
RSI ในกรอบเวลา H1 อยู่ที่ระดับ 60 ซึ่งยังมีพื้นที่ให้ราคาปรับตัวขึ้นต่อได้ก่อนที่จะเข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป การสอดคล้องกันของเครื่องมือทางเทคนิค RSI, MACD และ Stochastic ที่แสดงสัญญาณเชิงบวกในกรอบเวลานี้เป็นการยืนยันแนวโน้มการฟื้นตัวของราคา
ในกรอบเวลาที่เล็กลง เราสามารถระบุจุดเข้าเทรดที่มีความเสี่ยงต่ำได้ดังนี้:
จากการวิเคราะห์กราฟในหลายกรอบเวลา เราสามารถสรุปได้ว่าราคาทองคำมีแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาว โดยมีแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ และการอ่อนค่าของดอลลาร์ ในระยะสั้น อาจมีการปรับฐานหรือพักตัวบ้าง แต่หากราคายังคงยืนเหนือแนวรับสำคัญที่ $3,180-3,200 แนวโน้มขาขึ้นยังมีโอกาสดำเนินต่อไปสู่เป้าหมายที่ $3,300 และ $3,500 ในที่สุด
เทรดเดอร์ควรระมัดระวังในการเข้าเทรดบริเวณแนวต้านสำคัญ และควรรอให้มีการยืนยันจากรูปแบบราคาและเครื่องมือทางเทคนิคก่อนเข้าเทรด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบเวลาที่เล็กลง เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการเทรด
การระบุระดับแนวต้านที่สำคัญมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ในการวางแผนกลยุทธ์การเทรด กำหนดเป้าหมายกำไร และตัดสินใจเกี่ยวกับจุดขายทำกำไร ในกรณีของทองคำ (XAUUSD) เราสามารถระบุแนวต้านสำคัญที่ต้องติดตามดังต่อไปนี้
ระดับ $3,240-3,250 เป็นแนวต้านระยะสั้นที่สำคัญซึ่งราคาได้ทดสอบหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาแต่ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง แนวต้านนี้เกิดจากระดับราคาสูงสุดย่อยในกรอบเวลา H1 และ H4 และเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% จากการปรับตัวลงครั้งล่าสุด
การทะลุผ่านแนวต้านนี้จะเป็นสัญญาณเชิงบวกในระยะสั้น และอาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $3,280-3,300 อย่างไรก็ตาม หากราคาไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ได้ อาจเกิดการอ่อนตัวลงเพื่อทดสอบแนวรับที่ $3,200-3,220 อีกครั้ง
กลยุทธ์การเทรด: เทรดเดอร์ที่มีมุมมองเชิงบวกอาจพิจารณารอให้ราคาทะลุผ่านแนวต้านนี้ก่อนเข้าซื้อ โดยยืนยันด้วยการปิดราคาเหนือระดับ $3,250 ในกรอบเวลา H4 หรือ D1 จากนั้นควรวาง Stop Loss ใต้ระดับแนวรับล่าสุดประมาณ $3,220
ระดับ $3,280-3,300 เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากเป็นระดับจิตวิทยาสำคัญที่ $3,300 ซึ่งเป็นระดับกลมที่มักมีแรงเทขายเข้ามา นอกจากนี้ยังเป็นจุดที่มีปริมาณการซื้อขายสูงในอดีต และเป็นระดับ Fibonacci Retracement 61.8% จากการปรับตัวลงครั้งล่าสุด
การทะลุผ่านแนวต้านนี้จะเปิดทางไปสู่การทดสอบระดับ $3,350 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเดิม (Previous High) ในขณะที่การถูกปฏิเสธที่แนวต้านนี้อาจนำไปสู่การปรับฐานลงมาทดสอบแนวรับที่ $3,240-3,250 ซึ่งเดิมเป็นแนวต้านก่อนหน้านี้
กลยุทธ์การเทรด: เทรดเดอร์ระยะสั้นอาจพิจารณาทำกำไรบางส่วนที่แนวต้านนี้ ในขณะที่เทรดเดอร์ระยะกลางที่มีมุมมองเชิงบวกยังคงถือครองตำแหน่ง Long ต่อไป หากราคาทะลุผ่านระดับนี้ได้พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไป
ระดับ $3,350 เป็นแนวต้านที่มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา และเป็นจุดที่เคยเกิดการกลับตัวหลายครั้ง แนวต้านนี้มีความแข็งแกร่งเพราะมีการทดสอบหลายครั้งแต่ไม่สามารถทะลุผ่านได้อย่างมีนัยสำคัญ
การเบรกเอาท์ผ่านแนวต้านนี้จะเป็นสัญญาณเชิงบวกอย่างมาก และอาจนำไปสู่การทดสอบระดับจิตวิทยาที่ $3,500 ในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม เราอาจเห็นการพักตัวหรือปรับฐานหลังจากที่ราคาทดสอบระดับนี้ เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนอาจเริ่มปิดสถานะทำกำไร
กลยุทธ์การเทรด: สำหรับแนวต้านที่แข็งแกร่งนี้ เทรดเดอร์ควรรอให้มีการยืนยันการเบรกเอาท์อย่างชัดเจน โดยอาจต้องมีการปิดราคาเหนือระดับนี้ในกรอบเวลา D1 หรือสัปดาห์ นอกจากนี้ ควรติดตามปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของการเบรกเอาท์
ระดับ $3,500 เป็นแนวต้านจิตวิทยาที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นระดับกลมที่มีความสำคัญและเป็นเป้าหมายราคาที่หลายสถาบันการเงินได้กำหนดไว้ในการประเมินราคาทองคำในปีนี้
การทะลุผ่านระดับนี้จะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การทดสอบระดับสูงที่ $3,700 ตามการคาดการณ์ของ Goldman Sachs
กลยุทธ์การเทรด: ที่ระดับนี้ เทรดเดอร์ระยะสั้นควรพิจารณาปิดสถานะทำกำไรทั้งหมด ในขณะที่เทรดเดอร์ระยะกลางอาจพิจารณาปิดสถานะบางส่วนและยกระดับจุดตัดขาดทุนเพื่อปกป้องกำไรที่มี
Goldman Sachs ยังคงคาดการณ์ราคาทองคำที่ $3,700 ต่อออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ และ $4,000 ต่อออนซ์ภายในกลางปี 2026 ระดับเหล่านี้ถือเป็นเป้าหมายระยะยาวที่มีความเป็นไปได้หากการลงทุนในทองคำของภาคเอกชนยังคงเพิ่มขึ้น และปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุน
กลยุทธ์การเทรด: ที่ระดับนี้ เทรดเดอร์ควรติดตามปัจจัยพื้นฐานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐและผลตอบแทนพันธบัตร รวมถึงปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
โดยสรุป การระบุและเข้าใจระดับแนวต้านต่างๆ ของราคาทองคำจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูงจากปัจจัยหลายประการ ทั้งการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้า และความไม่แน่นอนทางการเมือง
การระบุระดับแนวรับที่สำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการจัดการความเสี่ยงและการกำหนดจุดเข้าซื้อที่เหมาะสม สำหรับทองคำ (XAUUSD) ในสภาวะตลาดปัจจุบัน เราสามารถระบุแนวรับสำคัญหลายระดับที่เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญดังนี้
แนวรับแรกที่สำคัญอยู่ที่ระดับ $3,220-3,225 ซึ่งเป็นระดับที่ราคาได้รับการสนับสนุนในช่วงการซื้อขายล่าสุด แนวรับนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นจุดที่มีปริมาณการซื้อขายสูงและเป็นระดับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน (20-day SMA) ในกรอบเวลา H4
หากราคาทดสอบแนวรับนี้ เราควรติดตามปริมาณการซื้อขายและการตอบสนองของราคาอย่างใกล้ชิด หากราคายังคงยืนเหนือระดับนี้ได้พร้อมกับการฟื้นตัวของโมเมนตัม จะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแนวโน้มขาขึ้นในระยะต่อไป
กลยุทธ์การเทรด: เทรดเดอร์อาจพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาทดสอบแนวรับนี้และมีสัญญาณการกลับตัวขึ้น เช่น การเกิด Bullish Candle Patterns (เช่น Hammer หรือ Bullish Engulfing) ในกรอบเวลา H1 หรือ H4 พร้อมยืนยันด้วยการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย การวางจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ควรอยู่ใต้ระดับ $3,210
แนวรับที่สำคัญมากอยู่ที่ระดับ $3,180-3,200 ซึ่งเป็นฐานของการปรับตัวขึ้นล่าสุดและเป็นระดับที่มีการยืนยันหลายครั้งในการซื้อขายที่ผ่านมา แนวรับนี้มีความแข็งแกร่งเนื่องจากเป็นจุดที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมากและเป็นบริเวณที่มีการเกิด Up Fractal ในกรอบเวลารายวัน
การยืนได้เหนือแนวรับนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อการรักษาแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง หากราคาหลุดแนวรับนี้ไป อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มระยะสั้นเป็นขาลง และอาจนำไปสู่การปรับฐานลึกกว่าที่คาดการณ์ไว้
กลยุทธ์การเทรด: นี่เป็นระดับที่เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่รอจังหวะเข้าซื้อและเพิ่มตำแหน่ง Long ในระยะกลาง ควรวางแผนเพิ่มขนาดการลงทุนหากราคาทดสอบแนวรับนี้และมีการตอบสนองในเชิงบวกอย่างชัดเจน โดยวางจุดตัดขาดทุนที่ระดับประมาณ $3,160
ระดับ $3,150 เป็นแนวรับที่มีความแข็งแกร่งมากเนื่องจากเป็นระดับจิตวิทยาสำคัญและเป็นระดับ Fibonacci Retracement 38.2% จากการปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังเป็นบริเวณที่มีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (50-day SMA) ในกรอบเวลารายวันอีกด้วย
หากราคาลงมาทดสอบระดับนี้ เราควรคาดหวังการตอบสนองในเชิงบวกที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีปัจจัยพื้นฐานเชิงบวกเข้ามาสนับสนุน เช่น การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเพิ่มเติม หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
กลยุทธ์การเทรด: นี่เป็นโอกาสซื้อที่ดีมากสำหรับนักลงทุนที่มีมุมมองเชิงบวกในระยะกลางถึงระยะยาว และเป็นระดับที่เหมาะสำหรับการเปิดสถานะขนาดใหญ่ขึ้น โดยวางจุดตัดขาดทุนที่ระดับต่ำกว่า $3,120 ซึ่งเป็นบริเวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน
ระดับ $3,100 เป็นแนวรับระยะกลางที่มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นระดับจิตวิทยากลมและเป็นบริเวณที่มีการกลับตัวสำคัญในช่วงที่ผ่านมา แนวรับนี้ยังเป็นระดับ Fibonacci Retracement 50% จากการปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า
การหลุดระดับนี้อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะกลาง และอาจนำไปสู่การปรับฐานที่ลึกยิ่งขึ้นไปสู่ระดับ $3,000 ในกรณีที่มีการเทขายขนาดใหญ่ในตลาดทองคำ
กลยุทธ์การเทรด: หากราคาลงมาทดสอบระดับนี้ เทรดเดอร์ควรระมัดระวังและรอสัญญาณยืนยันที่ชัดเจนก่อนเข้าซื้อ โดยอาจต้องมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งและมีการปิดราคาเหนือระดับ $3,120 ในกรอบเวลา D1 เพื่อยืนยันการกลับตัวขึ้น
ระดับ $3,000 เป็นแนวรับระยะยาวที่มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญและเป็นระดับที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมากในอดีต ระดับนี้ยังสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน (200-day SMA) ซึ่งมักเป็นเส้นแนวโน้มหลักในระยะยาว
การที่ราคาลงมาใกล้ระดับนี้จะเป็นจุดซื้อเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจมากสำหรับนักลงทุนระยะยาว เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวยังคงสนับสนุนราคาทองคำ รวมถึงการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับหนี้สาธารณะ
กลยุทธ์การเทรด: นี่เป็นระดับที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยอาจพิจารณาทยอยซื้อเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับนี้ และเพิ่มขนาดการลงทุนหากราคามีการตอบสนองในเชิงบวกที่ชัดเจน
โดยสรุป การเข้าใจแนวรับที่สำคัญในตลาดทองคำจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดเข้าซื้อที่มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสทำกำไรสูง ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปัจจัยสนับสนุนทั้งทางเทคนิคและพื้นฐาน การหาจุดเข้าซื้อที่ดีตามแนวรับสำคัญนี้อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับเทรดเดอร์ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประเมินแนวโน้มของราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว นอกเหนือจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค การเข้าใจปัจจัยพื้นฐานจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาทองคำได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงเช่นปัจจุบัน
ทองคำและดอลลาร์สหรัฐมีความสัมพันธ์แบบผกผันที่ชัดเจน (Inverse Correlation) ซึ่งหมายความว่าเมื่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ราคาทองคำมักจะแข็งค่าขึ้น และในทางกลับกัน เราเห็นความสัมพันธ์นี้ชัดเจนในเหตุการณ์ล่าสุด เมื่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงหลังจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ โดย Moody’s ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม ในขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
มีหลายเหตุผลที่อธิบายความสัมพันธ์นี้:
ในมุมมองระยะสั้นถึงระยะกลาง ดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะยังคงอ่อนค่าเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังการฟื้นตัวของดอลลาร์ที่อาจเกิดขึ้นหากมีสัญญาณของการเจรจาการค้าที่สำเร็จระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้าสำคัญ
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีอิทธิพลอย่างมากต่อราคาทองคำ โดยทั่วไปแล้ว ทองคำและผลตอบแทนพันธบัตรมักมีความสัมพันธ์แบบผกผันเช่นกัน เนื่องจาก:
หลังจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ โดย Moody’s เราเห็นผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปีเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.03% ในช่วงสั้นๆ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีเพิ่มขึ้นสู่ 4.459% อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่าแม้ผลตอบแทนพันธบัตรจะเพิ่มขึ้น แต่ราคาทองคำกลับไม่ได้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่สูงขึ้นเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรสหรัฐฯ และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยทางเลือก
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เคยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้ “ภาษีนำเข้าแบบตอบโต้” กับคู่ค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีทะลุระดับ 4.5% และพันธบัตร 30 ปีแตะ 5% ซึ่งทำให้รัฐบาลทรัมป์ต้องยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงที่สุดเนื่องจากกังวลว่าจะเกิดภาวะตื่นตระหนกในตลาดการเงินและทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นสำหรับผู้บริโภค
เทรดเดอร์ควรติดตามการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตรอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐสภาสหรัฐฯ กำลังพิจารณาร่างกฎหมายภาษีและการใช้จ่ายของทรัมป์ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มหนี้สาธารณะของประเทศอีกหลายล้านล้านดอลลาร์
สถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว:
มุมมองโดยรวมจากสถาบันการเงินชั้นนำสนับสนุนทิศทางขาขึ้นของราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของหนี้สาธารณะ
อย่างไรก็ตาม John Williams ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ประจำนิวยอร์ก ได้กล่าวว่าเขายังไม่เห็นการเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่ออกจากสินทรัพย์สหรัฐฯ และชี้ว่าดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินสำรองของโลก ซึ่งเตือนให้เทรดเดอร์ระมัดระวังการปรับฐานของราคาทองคำในระยะสั้นหากดอลลาร์ฟื้นตัว
นอกจากปัจจัยหลักข้างต้น เทรดเดอร์ควรติดตามปัจจัยเหล่านี้ที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำในระยะข้างหน้า:
โดยสรุป ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมยังคงสนับสนุนมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว แม้ว่าอาจมีความผันผวนในระยะสั้นจากการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เทรดเดอร์ควรติดตามปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้อย่างใกล้ชิดควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อประเมินโอกาสเทรดที่เหมาะสมในตลาดทองคำ
ราคาทองคำ (XAUUSD) กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่น่าสนใจหลังจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาโดย Moody’s จาก “Aaa” เป็น “Aa1” การวิเคราะห์ครอบคลุมทั้งปัจจัยทางเทคนิคและพื้นฐานชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในระยะกลาง แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความผันผวนในระยะสั้น
ในมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน โดยเคลื่อนตัวเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญในกรอบเวลารายวัน ดัชนี RSI อยู่ที่ระดับประมาณ 65 ซึ่งแสดงถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่ยังแข็งแกร่ง แต่ยังไม่เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป ขณะที่ MACD ยังคงอยู่เหนือเส้น Signal และ Histogram เป็นบวก การวิเคราะห์รูปแบบกราฟพบสัญญาณเชิงบวกในหลายกรอบเวลา รวมถึงการเกิด “ฐานคู่” (Double Bottom) ในกรอบเวลา H4 และรูปแบบ “ธงชาติ” (Bull Flag) ในกรอบเวลา H1
ในส่วนของปัจจัยพื้นฐาน ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐหลังการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ ขณะที่นโยบายภาษีและการค้าของรัฐบาลทรัมป์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเพิ่มความผันผวนในตลาด โดย Goldman Sachs ยังคงคาดการณ์ราคาทองคำที่ $3,700 ต่อออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ และ $4,000 ต่อออนซ์ภายในกลางปี 2026
สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น (1-5 วัน):
สำหรับเทรดเดอร์ระยะกลาง (1-4 สัปดาห์):
การจัดการความเสี่ยง:
โดยสรุป มุมมองต่อราคาทองคำยังคงเป็นบวกในระยะกลางถึงระยะยาว โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ การอ่อนค่าของดอลลาร์ และความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สาธารณะ เทรดเดอร์ควรใช้กลยุทธ์การเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาใกล้แนวรับสำคัญ พร้อมจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อตลาดในระยะข้างหน้า โอกาสที่ทองคำจะทะลุระดับ $3,500 มีความเป็นไปได้สูงในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า หากปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนและไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในนโยบายการเงินหรือภูมิรัฐศาสตร์โลก