หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา โดยล่าสุดได้ทะลุระดับ $3,100 ขึ้นไปแตะระดับประวัติศาสตร์ใหม่ที่ $3,148.88 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาทองคำเป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะเรียกเก็บภาษีพื้นฐาน 10% จากทุกประเทศ พร้อมกับภาษีที่สูงขึ้นสำหรับประเทศคู่ค้าหลัก เช่น จีนที่ 34% และสหภาพยุโรปที่ 20%
ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าระหว่างประเทศนี้ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง โดยฟิวเจอร์ของดัชนี Dow Jones ลดลงกว่า 2.3%, S&P 500 ลดลง 3.4% และ Nasdaq ลดลงถึง 4.2% ในขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเยนและยูโร
ภายใต้สภาวะความผันผวนเช่นนี้ นักลงทุนจำนวนมากได้หันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven asset) ส่งผลให้ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นกว่า $500 ในปี 2025 นี้ นักวิเคราะห์ตลาดหลายรายได้ปรับเป้าหมายราคาทองคำระยะสั้นไปที่ $3,200 และมีการคาดการณ์ว่าราคาอาจแตะระดับ $3,300 หรือแม้กระทั่ง $3,500 ในอนาคตอันใกล้หากสถานการณ์สงครามการค้ายังคงดำเนินต่อไป
จากมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน โดยราคายังคงเคลื่อนตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญในทุกกรอบเวลา ตั้งแต่ M5 ไปจนถึง D1 ดัชนี RSI บ่งชี้ว่าทองคำอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ในบางกรอบเวลา ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มหลักยังคงเป็นบวกตราบใดที่ราคายังคงอยู่เหนือแนวรับสำคัญที่ $3,080-3,100
ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีนำเข้ารูปแบบใหม่ โดยจะเรียกเก็บภาษีพื้นฐาน 10% จากทุกประเทศ พร้อมกำหนดอัตราภาษีที่สูงขึ้นสำหรับประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ จีน (34%), สหภาพยุโรป (20%) และประเทศอื่นๆ ตามอัตราที่แตกต่างกันไป การประกาศครั้งนี้สร้างความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
รายงาน ADP เผยว่าการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่งในเดือนมีนาคม ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 120,000 ตำแหน่ง ข้อมูลนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงเติบโตแม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
คำสั่งซื้อโรงงานในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนมกราคม (ปรับเพิ่มจากที่รายงานก่อนหน้านี้ที่ 1.7%) ตัวเลขนี้สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.5% แสดงให้เห็นถึงความต้องการในภาคการผลิตของสหรัฐฯ ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
หลังการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยฟิวเจอร์ของดัชนี Dow Jones ลดลง 2.3%, S&P 500 ลดลง 3.4% และ Nasdaq ลดลงถึง 4.2% นอกจากนี้ หุ้นของบริษัทข้ามชาติและบริษัทที่พึ่งพาสินค้านำเข้าปรับตัวลงอย่างมาก เช่น Nike และ Apple ลดลงประมาณ 7% ส่วน Five Below ลดลง 15%, Dollar Tree ลดลง 11% และ Gap ลดลง 8.5% ความผันผวนในตลาดหุ้นนี้ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเยนและยูโร หลังการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ โดยในช่วงการซื้อขายล่าสุด ดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.2% เมื่อเทียบกับเยน มาอยู่ที่ 149.255 เยน ในขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1.0828 ดอลลาร์ การอ่อนค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำซึ่งกำหนดราคาในสกุลเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้น
เหตุการณ์เศรษฐกิจเหล่านี้ล้วนมีส่วนในการกำหนดทิศทางของราคาทองคำในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยเฉพาะนโยบายการค้าใหม่ที่สร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงินทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับทองคำมากขึ้น
ในกรอบเวลารายวัน ราคาทองคำแสดงแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน โดยราคาเคลื่อนตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้ง SMA 50 และ SMA 200 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในระยะยาว ราคาได้ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ $3,148.88 หลังจากที่ทะลุแนวต้านสำคัญที่ $3,100 ค่า RSI ในกรอบเวลานี้อยู่ที่ประมาณ 68-70 ซึ่งแม้จะเข้าใกล้โซนภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) แต่ยังไม่ถึงระดับ 70 ที่บ่งชี้ถึงภาวะซื้อมากเกินไปอย่างชัดเจน
MACD ยังคงอยู่เหนือเส้น Signal และ Histogram แสดงค่าเป็นบวก ซึ่งยืนยันแนวโน้มขาขึ้น อย่างไรก็ตาม ความห่างระหว่าง MACD และเส้น Signal เริ่มลดลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าแรงซื้ออาจกำลังอ่อนตัวลงบ้าง
การเกิด Up Fractal ในช่วงที่ผ่านมาบ่งชี้ถึงการทำจุดสูงสุดใหม่ที่สำคัญ ซึ่งอาจกลายเป็นแนวต้านในอนาคตหากราคามีการปรับตัวลง
ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ราคาทองคำเคลื่อนตัวในลักษณะ Higher Highs และ Higher Lows อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นรูปแบบของแนวโน้มขาขึ้น ราคายังคงเคลื่อนตัวเหนือเส้น SMA ทั้งหมด โดยมี SMA 50 เป็นแนวรับสำคัญในระยะสั้น
ค่า RSI ในกรอบเวลานี้เข้าสู่โซนภาวะซื้อมากเกินไป (มากกว่า 70) ในบางช่วง ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม Stochastic ยังคงชี้ขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงซื้อยังคงมีอยู่
การเกิดรูปแบบ Regular Bullish ในช่วงที่ผ่านมาเป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มขาขึ้น และควรให้ความสำคัญกับจุดที่เกิด Up Fractal ล่าสุดซึ่งอาจเป็นแนวต้านในระยะสั้น
ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง ราคาทองคำแสดงการเคลื่อนไหวในลักษณะของการสร้างระดับสูงสุดใหม่ตามด้วยการปรับฐานเล็กน้อยก่อนที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง MACD และ Signal Line เริ่มมีการตัดกัน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะสั้น
ค่า RSI ในกรอบเวลานี้แสดงการอ่อนตัวลงจากโซนภาวะซื้อมากเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับการปรับฐานของราคาในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ RSI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางยังคงได้รับการยืนยัน
ในกรอบเวลาที่เล็กลง เช่น 30 นาที, 15 นาที และ 5 นาที ราคาทองคำแสดงความผันผวนที่สูงขึ้น และมีการเกิด Swing High และ Swing Low บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นลักษณะปกติของกรอบเวลาที่เล็กลง
ในกรอบเวลา M30 และ M15 มีการเกิดรูปแบบ Regular Bearish บางช่วง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการปรับฐานในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาร่วมกับกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า สิ่งนี้อาจเป็นเพียงการปรับฐานในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว
เมื่อพิจารณาจากการวิเคราะห์แผนภูมิราคาในทุกกรอบเวลา สามารถสรุปได้ว่าทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า เช่น รายวันและ 4 ชั่วโมง ในขณะที่กรอบเวลาที่เล็กลงอาจแสดงสัญญาณของการปรับฐานในระยะสั้น
ตัวชี้วัดทางเทคนิคส่วนใหญ่ยังคงให้สัญญาณบวก แม้ว่าบางตัวจะเริ่มแสดงสัญญาณของการอ่อนตัวลงในระยะสั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับแนวรับและแนวต้านสำคัญที่จะกล่าวถึงในส่วนถัดไป เพื่อวางแผนการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ
แนวต้านที่ $3,150 เป็นระดับที่มีความสำคัญอย่างมากในระยะสั้น เนื่องจากเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดทางประวัติศาสตร์ล่าสุดที่ $3,148.88 ราคาทองคำได้ทดสอบระดับนี้หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาแต่ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง การปรับตัวขึ้นผ่านแนวต้านนี้ด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงจะเป็นสัญญาณบวกอย่างมาก และอาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวขึ้นไปสู่เป้าหมายถัดไปที่ $3,175-3,180
แนวต้านถัดไปอยู่ที่ $3,175-3,180 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาสำคัญ เนื่องจากเป็นระดับที่กลมและยังไม่เคยมีการทดสอบมาก่อน หากราคาทองคำสามารถทะลุแนวต้านที่ $3,150 ได้ ระดับนี้จะเป็นเป้าหมายถัดไปที่นักลงทุนควรจับตามอง
ระดับ $3,200 ถือเป็นแนวต้านที่มีความสำคัญมากในระยะกลาง และเป็นเป้าหมายที่นักวิเคราะห์หลายรายกำลังจับตามอง เนื่องจากเป็นระดับจิตวิทยาสำคัญที่กลมและแสดงถึงระดับราคาใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน การทะลุระดับนี้จะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาว และอาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
แนวต้านในระยะยาวอยู่ที่ $3,250 และ $3,300 ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาทองคำอาจไปถึงหากแนวโน้มขาขึ้นยังคงแข็งแกร่งต่อไป โดยเฉพาะหากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศยังคงดำเนินต่อไปหรือทวีความรุนแรงมากขึ้น
สิ่งสำคัญที่ต้องสังเกตคือพฤติกรรมของราคาเมื่อเข้าใกล้แนวต้านเหล่านี้ การทดสอบแนวต้านด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงแต่ไม่สามารถทะลุผ่านได้อาจนำไปสู่การปรับฐานในระยะสั้น ในขณะที่การทะลุแนวต้านด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงมักเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งในทิศทางเดียวกัน
นอกจากระดับราคาแล้ว ยังมีแนวต้านที่เกิดจากเส้นแนวโน้ม (Trendline) ที่ลากผ่านจุดสูงสุดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็นแนวต้านเคลื่อนที่ (Dynamic Resistance) โดยเฉพาะในกรอบเวลา H4 และ D1 นักลงทุนควรติดตามการทดสอบเส้นแนวโน้มเหล่านี้เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้มปัจจุบัน
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับระดับแนวต้านเหล่านี้ในการวางแผนกลยุทธ์การเทรด โดยอาจพิจารณาทำกำไรบางส่วนเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านสำคัญ โดยเฉพาะหากมีสัญญาณของการอ่อนตัวลงจากตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น RSI, MACD หรือรูปแบบแท่งเทียน
แนวรับแรกที่ควรให้ความสำคัญอยู่ที่ $3,100-3,110 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาสำคัญที่เคยทำหน้าที่เป็นแนวต้านมาก่อนหน้านี้ ก่อนที่ราคาจะทะลุขึ้นไป ตามหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค แนวต้านที่ถูกทะลุผ่านมักจะกลายเป็นแนวรับในอนาคต ระดับนี้ยังสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ระยะสั้นในกรอบเวลารายวัน ซึ่งเพิ่มความสำคัญของแนวรับนี้
ถัดลงมาเป็นแนวรับที่ $3,080-3,090 ซึ่งเป็นระดับที่มีความสำคัญทางเทคนิคเนื่องจากเป็นบริเวณที่มีการซื้อขายหนาแน่นในช่วงที่ผ่านมา และเป็นจุดที่ราคาเคยปรับตัวลงมาทดสอบก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ระดับนี้ยังใกล้เคียงกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน ซึ่งมักทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในแนวโน้มขาขึ้น
แนวรับสำคัญถัดไปอยู่ที่ $3,050-3,060 ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการซื้อขายหนาแน่นและเป็นจุดที่ราคาเคยปรับตัวลงมาก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของแนวโน้มในระยะกลาง หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางยังคงได้รับการยืนยัน
แนวรับสำคัญในระยะยาวอยู่ที่ $3,000 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาที่มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นระดับที่กลมและเป็นเลขหลักพัน การทดสอบระดับนี้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก และมักมีการซื้อขายที่หนาแน่นเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับนี้ หากราคาทะลุลงต่ำกว่าระดับนี้ อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะกลางถึงระยะยาว
นอกจากระดับราคาแล้ว ยังมีแนวรับที่เกิดจากเส้นแนวโน้ม (Trendline) ที่ลากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรับเคลื่อนที่ (Dynamic Support) โดยเฉพาะในกรอบเวลา H4 และ D1 การทะลุเส้นแนวโน้มเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะสั้น
สำหรับนักลงทุนที่กำลังรอจังหวะเข้าซื้อ การสังเกตพฤติกรรมของราคาเมื่อทดสอบแนวรับเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง การปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับและฟื้นตัวขึ้นด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมักเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้าซื้อ โดยเฉพาะหากมีการยืนยันจากตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เช่น RSI ที่ฟื้นตัวจากโซน Oversold หรือการตัดกันของ MACD กับเส้น Signal ในทิศทางขาขึ้น
การวางระดับ Stop Loss ต่ำกว่าแนวรับสำคัญเล็กน้อยเป็นกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยหากราคาทะลุแนวรับสำคัญลงมา อาจเป็นสัญญาณว่าสมมติฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวโน้มไม่ถูกต้อง และควรปิดสถานะเพื่อจำกัดความเสียหาย
ประการแรก นโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา การประกาศเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% จากทุกประเทศ พร้อมกับภาษีที่สูงขึ้นสำหรับประเทศคู่ค้าหลัก เช่น จีน (34%) และสหภาพยุโรป (20%) ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจทวีความรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงินทั่วโลก ในสถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนมักหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ประการที่สอง การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเยนและยูโร เนื่องจากทองคำมีการกำหนดราคาในสกุลเงินดอลลาร์ การอ่อนค่าของดอลลาร์จึงทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น ซึ่งกระตุ้นอุปสงค์และผลักดันให้ราคาปรับตัวขึ้น
ประการที่สาม ความผันผวนในตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ หลังการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีหุ้นสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq ลดลงอย่างมาก ความผันผวนในตลาดหุ้นนี้ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับทองคำในฐานะทางเลือกในการลงทุนที่ปลอดภัยมากขึ้น
ประการที่สี่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้นแม้จะเป็นปัจจัยที่มักกดดันราคาทองคำ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ผลกระทบนี้ถูกลดทอนโดยปัจจัยอื่นๆ ที่หนุนราคาทองคำ โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและการอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งมีอิทธิพลมากกว่าในการกำหนดทิศทางของราคา
ประการที่ห้า ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าคาด เช่น การจ้างงานภาคเอกชน (ADP) ที่เพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่งในเดือนมีนาคม และคำสั่งซื้อโรงงานที่เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนกุมภาพันธ์ แม้จะเป็นสัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ในบริบทของความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ข้อมูลเหล่านี้อาจถูกตีความว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับผลกระทบของการขึ้นภาษีในระยะสั้น ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปัจจัยนี้อาจเป็นตัวชะลอการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในระยะสั้น
ประการที่หก การคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ในปัจจุบัน ตลาดยังคงคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แม้ว่าจำนวนครั้งและขนาดของการปรับลดอาจน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ การคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนี้เป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำในระยะยาว เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งมักได้รับความนิยมมากขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง
ประการสุดท้าย ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์สหรัฐ ในสภาวะที่ความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางของหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนและรัสเซีย อาจเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำในระยะยาว
โดยสรุป ปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้า การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ และความผันผวนในตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำในอนาคต
ราคาทองคำอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุดได้ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $3,148.88 แนวโน้มนี้ได้รับการยืนยันจากตัวชี้วัดทางเทคนิคในหลายกรอบเวลา โดยเฉพาะกรอบเวลารายวันและ 4 ชั่วโมง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาเคลื่อนตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำคัญและมีรูปแบบของการสร้างจุดสูงสุดใหม่และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม (Higher Highs and Higher Lows)
ปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ผลักดันราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นคือนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งได้สร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงินทั่วโลกและกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและความผันผวนในตลาดหุ้นยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ
ระดับแนวต้านสำคัญที่นักลงทุนควรจับตามองคือ $3,150, $3,175-3,180, $3,200, $3,250 และ $3,300 โดยการทะลุแนวต้านที่ $3,150 และ $3,200 จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งของการดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้น ในขณะที่ระดับแนวรับสำคัญอยู่ที่ $3,100-3,110, $3,080-3,090, $3,050-3,060 และ $3,000 ซึ่งการทดสอบแนวรับเหล่านี้และฟื้นตัวขึ้นมักเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการเข้าซื้อ
กลยุทธ์การเทรดที่แนะนำคือการพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง $3,080-3,100 พร้อมกับการยืนยันจากตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น การฟื้นตัวของ RSI จากโซน Oversold หรือการตัดขึ้นของ MACD เหนือเส้น Signal โดยควรกำหนด Stop Loss ไว้ต่ำกว่าแนวรับสำคัญ ประมาณ $3,050 เพื่อจำกัดความเสี่ยง และตั้งเป้าหมายกำไรที่ $3,150-3,175 สำหรับเป้าหมายระยะสั้น และ $3,200-3,250 สำหรับเป้าหมายระยะกลาง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักว่าราคาทองคำในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และมีความเสี่ยงของการปรับฐานในระยะสั้น โดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยพื้นฐาน เช่น การผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า หรือการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น การติดตามพัฒนาการของปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิดและการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
โดยสรุป ทองคำยังคงมีแนวโน้มเป็นบวกในระยะกลางถึงระยะยาว โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน แต่นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นและปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป