หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ 10-14 กุมภาพันธ์ 2025 แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ท่าทีของธนาคารกลางสำคัญ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังตลาดการเงินทุกประเภท
ดัชนีเงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2025 ปรับตัวขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ดัชนีค่าจ้างรายชั่วโมงที่เพิ่มขึ้น 4.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่ในตลาดแรงงาน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ Jerome Powell ได้เน้นย้ำในการแถลงต่อรัฐสภาว่าความคืบหน้าในการควบคุมเงินเฟ้อยังไม่เพียงพอที่จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้
ในขณะเดียวกัน ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยน โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points เหลือ 3.5% ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำไว้ที่ 0.25% แต่ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อจีนประกาศตอบโต้มาตรการภาษี 10% ของสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) 15% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้น 3.2% แตะระดับ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
การเคลื่อนไหวของตลาด Forex ในสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนโดยเหตุการณ์สำคัญในแต่ละวัน ดังนี้
วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 ตลาดเริ่มสัปดาห์ด้วยความผันผวนหลังจีนประกาศมาตรการตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยเพิ่มภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและ LNG 15% ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับตะกร้าเงินหลัก สะท้อนการไหลเข้าของเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่สกุลเงินของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปจีน เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย ปรับตัวลง 0.9%
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 ธนาคารกลางยุโรปประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points เหลือ 3.5% สวนทางกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังคงส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยในระดับสูง ส่งผลให้คู่เงิน EUR/USD ร่วงลงแตะระดับ 1.0650 หรือลดลง 1.2% เป็นการปรับตัวลงรายวันที่มากที่สุดในรอบ 3 เดือน
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2025 การประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น 0.3% สอดคล้องกับการคาดการณ์ แต่ดัชนีค่าจ้างรายชั่วโมงที่สูงกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงครึ่งแรกของปี ดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง โดย USD Index แตะระดับ 104.5
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 ธนาคารกลางญี่ปุ่นคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% พร้อมส่งสัญญาณความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยช่วงครึ่งหลังของปี ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยคู่เงิน USD/JPY พุ่งแตะ 152.50 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2025 ตลาดปิดสัปดาห์ด้วยความระมัดระวังก่อนการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ-จีนในสัปดาห์ถัดไป โดย USD Index ทรงตัวที่ระดับ 104.5 ขณะที่คู่เงินหลักเคลื่อนไหวในกรอบแคบ สะท้อนการรอดูทิศทางนโยบายการค้าและการเงินที่ชัดเจนมากขึ้น
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและโลหะมีค่า
ในตลาดทองคำ ราคาได้ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 2,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้น ท่าทีของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ Jerome Powell ที่ยังคงยืนยันจุดยืนการรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ส่งผลให้ US 10-Year Treasury Yield เพิ่มขึ้น 12 basis points แตะระดับ 4.25% กดดันความน่าสนใจในการลงทุนทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
ทางด้านตลาดน้ำมัน ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้น 3.2% แตะระดับ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลวจากสหรัฐฯ 15% ความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานน้ำมันดิบโลกเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากจีนอาจต้องหันไปนำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศผู้ผลิตรายอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะจากภูมิภาคตะวันออกกลางและรัสเซีย
สินค้าโภคภัณฑ์อุตสาหกรรมปรับตัวลงตามความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์จากจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าอาจกระทบต่อการเติบโตของภาคการผลิตและการก่อสร้างของจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคโลหะอุตสาหกรรมรายใหญ่ของโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของนโยบายการเงินและความตึงเครียดทางการค้าที่ส่งผลกระทบเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ที่แข็งค่าขึ้น 0.8% แตะระดับ 104.5 สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และท่าทีที่เข้มแข็งของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการรักษาอัตราดอกเบี้ยระดับสูง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ดอลลาร์สหรัฐ การแข็งค่าของดอลลาร์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดอัตราแลกเปลี่ยน การที่ธนาคารกลางยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯยังคงยืนกรานจุดยืนการรักษาอัตราดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยคู่เงิน EUR/USD ร่วงลงแตะระดับ 1.0450
ในขณะเดียวกัน มาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯ-จีนได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังตลาดพลังงานและสกุลเงินของประเทศที่พึ่งพาการค้ากับจีน การที่จีนขึ้นภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลวจากสหรัฐฯ นอกจากจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ Brent พุ่งขึ้นแล้ว ยังกดดันค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ไปจีน โดยเฉพาะดอลลาร์ออสเตรเลียที่ปรับตัวลง 0.9% เนื่องจากออสเตรเลียมีมูลค่าการค้ากับจีนคิดเป็น 34% ของ GDP
ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับตลาดหุ้นเทคโนโลยีปรากฏชัดเจนขึ้น โดยค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง BTC/USD กับดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้นเป็น +0.76 สะท้อนว่า Bitcoin มีแนวโน้มเคลื่อนไหวสอดคล้องกับสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินและการค้าระหว่างประเทศ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯในสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนความไม่แน่นอนจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการประกาศดัชนีเงินเฟ้อ นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ และผลประกอบการบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 1.5% สะท้อนความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง แม้จะมีแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่อาจคงอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ การเติบโตของกำไรบริษัทใน S&P 500 มีการคาดการณ์ที่ 13% สำหรับปี 2025 โดยบริษัทนอกกลุ่ม MAG7 (Meta, Apple, Amazon, Alphabet, Microsoft, Nvidia, Tesla) มีการปรับเพิ่มประมาณการจากเดิม 4.2% ในปี 2024
ดัชนี Nasdaq Composite พุ่งขึ้น 2.6% โดยได้แรงหนุนจากกระแสเทคโนโลยี AI และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ Nvidia (NVDA) ปรับตัวขึ้น 9% หลังประกาศการส่งมอบชิป Blackwell ให้ Foxconn อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีความผันผวนสูงในช่วงกลางสัปดาห์ เมื่อ Nvidia ร่วงลง 17% หลังบริษัท DeepSeek ของจีนเปิดตัว AI Chip ที่มีราคาถูกกว่า
ในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น การประกาศมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯ-จีนส่งผลกระทบต่อหุ้นในหลายภาคส่วน หุ้น Deere & Company (DE) ปรับตัวลง 4.5% จากความกังวลเกี่ยวกับภาษีตอบโต้ข้าวสาลีสหรัฐฯ ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค Procter & Gamble (PG) ร่วง 2.1% จากแรงกดดันด้านต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีบางบริษัทที่สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่น McDonald’s (MCD) ปรับตัวขึ้น 4.8% หลังประสบความสำเร็จในการเปิดตัวเมนู Plant-Based Burger สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทที่สามารถปรับตัวตามเทรนด์ผู้บริโภคยังคงมีโอกาสเติบโตแม้ในภาวะตลาดที่ท้าทาย
ตลาดคริปโตเคอเรนซีในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับตลาดหุ้นเทคโนโลยีและสภาวะความเสี่ยงในตลาดการเงินโลก โดย Bitcoin ปรับตัวลงสู่ระดับ 42,000 ดอลลาร์ หรือลดลง 5.8% ท่ามกลางแรงกดดันจากหลายปัจจัย
การปรับตัวลงของ Bitcoin มีสาเหตุหลักจากการไหลออกของเงินทุนจาก Bitcoin ETF ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติ ประกอบกับสภาวะ Risk-Off ในตลาดการเงินโลกจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่สำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับดัชนี NASDAQ แสดงค่าสหสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นเป็น +0.76 สะท้อนให้เห็นว่า Bitcoin กำลังถูกมองเป็นสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพรวม เนื่องจากต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยกดดันราคาสินทรัพย์ดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแรงกดดันในระยะสั้น แต่กิจกรรมบนเครือข่าย Bitcoin ยังคงแสดงสัญญาณที่แข็งแกร่ง โดยจำนวนที่อยู่ที่มีการทำธุรกรรม (Active Addresses) และปริมาณการทำธุรกรรมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าการใช้งานในระบบนิเวศของ Bitcoin ยังคงขยายตัว แม้ราคาจะเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น
ตลาดการเงินในสัปดาห์ที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2025 มีปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC และตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญจากหลายภูมิภาค
ในสหรัฐอเมริกา การเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์จะเป็นจุดสนใจหลักของตลาด โดยนักลงทุนจะจับตาประเด็นความเสี่ยงสำคัญ 4 ด้านที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความสำคัญ ได้แก่ ภาษีศุลกากร การอพยพ นโยบายการคลัง และกฎระเบียบ นอกจากนี้ ดัชนี PMI รวมที่จะประกาศในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 52.7 เป็น 53.3 สะท้อนการขยายตัวต่อเนื่องของภาคธุรกิจ
ในภูมิภาคเอเชีย ธนาคารกลางจีนมีกำหนดประชุมในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ แม้คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานที่ 3.10% แต่อาจมีการพิจารณาลดอัตราส่วนเงินสำรองขั้นต่ำ (RRR) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางแรงกดดันค่าเงินหยวน ขณะที่ญี่ปุ่นจะเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 4 โดยคาดว่าจะเติบโต 1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ตลาดหุ้นจะมีการรายงานผลประกอบการของบริษัทสำคัญหลายแห่ง โดยเฉพาะ Alibaba ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 47% ในเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีการรายงานผลประกอบการของ Walmart, Dropbox, Rivian และ Booking Holdings ซึ่งจะสะท้อนภาพรวมของภาคธุรกิจค้าปลีกและเทคโนโลยี
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะผลกระทบจากการแข็งค่าของดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ที่อาจส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ ขณะที่กระแส Risk-Off อาจทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างค่าเงินเยนและพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น
ในด้านความเสี่ยง การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดมาตรการตอบโต้เพิ่มเติม นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สถานการณ์ในยูเครนและความตึงเครียดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงินโลก
ตลาดการเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯยังคงยืนยันจุดยืนในการรักษาอัตราดอกเบี้ยระดับสูง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน ส่งผลให้เกิดความแตกต่างของทิศทางนโยบายที่ชัดเจนและกระทบต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินหลัก
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดแสดงให้เห็นว่าการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ประเภทอื่น โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ ขณะที่มาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯ-จีนได้สร้างความผันผวนในตลาดพลังงานและส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ
สำหรับนักลงทุน การบริหารความเสี่ยงในช่วงนี้มีความสำคัญมากขึ้น โดยควรพิจารณากระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กับดอลลาร์สหรัฐในระดับต่ำ และอาจเพิ่มสัดส่วนการถือครองเงินสดเพื่อรอโอกาสในการเข้าลงทุน นอกจากนี้ ควรติดตามรายงานการประชุม FOMC และตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์หน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินและผลกระทบต่อตลาด
สำหรับผู้ที่สนใจการเทรดระยะสั้น การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอย่าง Options หรือ Stop Loss มีความจำเป็นมากขึ้น โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างหุ้นเทคโนโลยีและคริปโตเคอเรนซี ขณะที่นักลงทุนระยะยาวควรทบทวนพอร์ตการลงทุนและพิจารณาปรับสัดส่วนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ท้ายที่สุด ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าระหว่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบฉับพลันต่อตลาดการเงินโลก การรักษาวินัยในการลงทุนและการมีแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินจึงมีความสำคัญมากขึ้นในสภาวะตลาดปัจจุบัน