หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสัปดาห์การซื้อขายสิ้นสุดลงในวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2025 ดัชนีหลักของสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงอย่างกว้างขวาง โดย S&P 500 ปิดที่ระดับ 5,802.82 จุด ลดลงร้อยละ 0.67 ขณะที่ Nasdaq 100 และ Dow Jones Industrial Average ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.83 และร้อยละ 0.6 ตามลำดับ
ความผันผวนดังกล่าวสะท้อนออกมาผ่านตัวชี้วัดความกังวลของตลาดอย่างชัดเจน โดยดัชนี VIX ปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 20.28 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.91 จากวันก่อนหน้า ในขณะที่อัตราส่วน Put/Call Ratio สูงขึ้นมาอยู่ที่ 0.75 ซึ่งสูงกว่าระดับ 0.57 เมื่อหนึ่งปีก่อนถึงร้อยละ 31.58 การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความต้องการป้องกันความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน
ในตลาดสกุลเงิน การเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกิดขึ้นจากความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้สกุลเงินหลักอื่นๆ แข็งค่าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด GBP/USD ปรับตัวขึ้นร้อยละ 1.2 มาอยู่ที่ระดับ 1.3500 และ AUD/USD เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ไปที่ 0.6480 ในขณะเดียวกัน USD/JPY กลับอ่อนค่าลงร้อยละ 0.8 มาอยู่ที่ 143.59 สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของธนาคารกลางญี่ปุ่น
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทองคำยังคงรักษาบทบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยด้วยการปิดที่ระดับ 3,358 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้รับการสนับสนุนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายการคลัง ขณะที่ตลาดน้ำมันดิบแสดงสัญญาณการฟื้นตัวทางเทคนิคจากระดับแนวรับสำคัญ โดยมีแนวโน้มทดสอบระดับต้านทานที่ 60.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สัปดาห์ที่จะมาถึงนี้ คือช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลกในระยะข้างหน้า เหตุการณ์เศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดรวมถึงการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ในวันพฤหัสบดี ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ตามด้วยข้อมูล Core PCE Price Index ในวันศุกร์ที่จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของแรงกดดันเงินเฟ้อ
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในสัปดาห์นี้ประกอบด้วยความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ Federal Reserve ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ธนาคารกลางในภูมิภาคอื่นๆ เริ่มแสดงท่าทีที่อาจผ่อนคลายมากขึ้น การประกาศของ Reserve Bank of New Zealand ในวันพุธจะเป็นจุดสนใจสำคัญ เนื่องจากอาจส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อสกุลเงินในภูมิภาคโอเชียเนีย
ความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความผันผวนให้กับตลาด โดยเฉพาะการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่กำลังดำเนินการอยู่ที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งความคืบหน้าหรือความล้มเหลวของการเจรจาดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เสี่ยง
การไหลของเงินทุนข้ามสินทรัพย์แสดงให้เห็นถึงการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนที่สำคัญ โดยกองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาดูดเงินเข้าได้ 19.8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงได้รับเงินไหลเข้า 1.7 พันล้านดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 44 สัปดาห์ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการแสวงหาผลตอบแทนของนักลงทุนท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง
สัปดาห์นี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ความระมัดระวังและการวิเคราะห์อย่างละเอียดจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำทางผ่านความผันผวนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับข้อมูลใหม่ที่จะเปิดเผยในแต่ละวัน
เริ่มต้นสัปดาห์ด้วยเหตุการณ์สำคัญจากธนาคารกลางหลักที่จะกำหนดโทนของตลาดการเงินตลอดทั้งสัปดาห์
เหตุการณ์ระดับความสำคัญปานกลาง
เหตุการณ์อื่นๆ
วันนี้เต็มไปด้วยข้อมูลเศรษฐกิจที่หลากหลายจากหลายภูมิภาค โดยเฉพาะข้อมูลที่สำคัญจากสหรัฐอเมริกา
เหตุการณ์ระดับความสำคัญสูง
เหตุการณ์ระดับความสำคัญปานกลาง
เหตุการณ์สำคัญอื่นๆ
วันสำคัญที่สุดของสัปดาห์สำหรับตลาดเอเชีย-แปซิฟิก เนื่องจากการประกาศนโยบายการเงินที่สำคัญ
เหตุการณ์ระดับความสำคัญสูงสุด
เหตุการณ์ระดับความสำคัญปานกลาง
เหตุการณ์อื่นๆ ที่น่าสนใจ
วันแห่งการเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่สุดจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดโลก
เหตุการณ์ระดับความสำคัญสูงสุด
เหตุการณ์ระดับความสำคัญปานกลาง
เหตุการณ์อื่นๆ
วันปิดสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากหลายภูมิภาค โดยเฉพาะตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่สำคัญ
เหตุการณ์ระดับความสำคัญสูงสุด
เหตุการณ์ระดับความสำคัญปานกลาง
ปิดท้ายสัปดาห์ด้วยข้อมูลสำคัญจากจีนที่จะส่งผลต่อการเปิดตลาดในสัปดาห์ถัดไป
เหตุการณ์ระดับความสำคัญสูง
เหตุการณ์ระดับความสำคัญปานกลาง
สัปดาห์นี้จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยข้อมูลสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC และข้อมูลเงินเฟ้อหลักของสหรัฐอเมริกา ควบคู่กับการตัดสินใจนโยบายการเงินของ RBNZ ที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดโลก
การเปิดเผยรายงานการประชุม Federal Open Market Committee ในวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม เวลา 01:00 น. ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดของสัปดาห์ที่จะกำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลก รายงานดังกล่าวจะเผยให้เห็นความคิดเห็นโดยละเอียดของสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
จากบริบทปัจจุบันที่ Federal Reserve ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่อยู่ที่ระดับ 3.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายงานจะเผยให้เห็นถึงความขัดแย้งในความคิดเห็นของสมาชิกคณะกรรมการ โดยเฉพาะเรื่องระยะเวลาและขนาดของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต การปรับลดความน่าจะเป็นของการลดดอกเบี้ยในไตรมาสที่สามจากร้อยละ 68 เป็นร้อยละ 45 สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อตลาดสกุลเงินจะเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากรายงานแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจะรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดการณ์ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอาจแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อสินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงินของประเทศเกิดใหม่ ในทางตรงกันข้าม หากรายงานบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ของการผ่อนคลายนโยบายในอนาคตอันใกล้ ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ อาจได้รับแรงสนับสนุน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคชี้ให้เห็นว่าดัชนี S&P 500 ที่ปิดที่ระดับ 5,802.82 จุด กำลังอยู่ในจุดสำคัญที่ต้องการการยืนยันทิศทางจากปัจจัยพื้นฐาน หากรายงาน FOMC ส่งสัญญาณเชิงลบ ดัชนีอาจทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 5,700 จุด ขณะที่การรับรู้เชิงบวกอาจผลักดันให้ทดสอบแนวต้านที่ 5,900 จุด
ข้อมูลดัชนีราคา PCE หลักของสหรัฐอเมริกาสำหรับเดือนเมษายนที่จะเปิดเผยในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม เวลา 19:30 น. ถือเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ Federal Reserve ให้ความสำคัญสูงสุด การคาดการณ์ที่ดัชนีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในระดับรายเดือน เทียบกับการคงที่ในเดือนมีนาคม สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่
การปรับประมาณการของนักวิเคราะห์จากร้อยละ 0.2 เป็นร้อยละ 0.3 ในระดับรายเดือน เนื่องจากราคาพลังงานและค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของแรงกดดันเงินเฟ้อ สถานการณ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของ Federal Reserve ในการประชุมครั้งถัดไป
ผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้จะเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากข้อมูลออกมาสูงกว่าคาดการณ์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะยาวอาจปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะพันธบัตร 10 ปีที่นักวิเคราะห์ปรับเป้าหมายขึ้นจากร้อยละ 4.5 เป็นร้อยละ 4.7 แล้ว การเคลื่อนไหวนี้จะส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสูง
สำหรับตลาดทองคำที่ปิดที่ระดับ 3,358 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจสร้างแรงกดดันในระยะสั้นเนื่องจากความคาดหวังที่อัตราดอกเบี้ยจริงจะเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หากตลาดมองว่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะนำไปสู่ความไม่เสถียรทางเศรษฐกิจ ทองคำอาจได้รับการสนับสนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
การประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Reserve Bank of New Zealand ในวันพุธที่ 28 พฤษภาคม เวลา 09:00 น. คาดว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 3.50 เป็นร้อยละ 3.25 ซึ่งจะเป็นการลดครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มรอบการขึ้นดอกเบี้ย การตัดสินใจนี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสกุลเงินนิวซีแลนด์และสกุลเงินในภูมิภาคโอเชียเนีย
ปัจจัยสนับสนุนการลดดอกเบี้ยรวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดแสดงให้เห็นถึงการอ่อนตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน ซึ่งสร้างความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ผลกระทบต่อคู่สกุลเงิน NZD/USD จะเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด การลดดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์อาจส่งผลให้สกุลเงินนิวซีแลนด์อ่อนค่าลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม หากการประกาศมาพร้อมกับการแนะนำเกี่ยวกับการหยุดพักการลดดอกเบี้ยในอนาคต ผลกระทบเชิงลบต่อสกุลเงินอาจถูกจำกัด
สำหรับ AUD/USD ที่ปิดที่ระดับ 0.6480 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การตัดสินใจของ RBNZ อาจส่งผลกระทบทางอ้อมเนื่องจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ หากตลาดมองว่าการลดดอกเบี้ยของนิวซีแลนด์เป็นสัญญาณของความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ดอลลาร์ออสเตรเลียอาจได้รับแรงกดดันเช่นกัน
ข้อมูลเงินเฟ้อของออสเตรเลียที่คาดการณ์ว่าจะลดลงจากร้อยละ 2.4 เป็นร้อยละ 2.3 ในเดือนเมษายน จะมีผลกระทบสำคัญต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของ Reserve Bank of Australia การลดลงของเงินเฟ้อนี้อาจเปิดทางให้ธนาคารกลางออสเตรเลียพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของดอลลาร์ออสเตรเลีย
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีนที่คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลงจาก 49.0 เป็น 49.8 แสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวต่อเนื่องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก การอ่อนตัวของข้อมูลนี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และอาจส่งผลเสียต่อสกุลเงินและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย
ข้อมูลเงินเฟ้อเบื้องต้นของเยอรมนีสำหรับเดือนพฤษภาคมที่คาดการณ์ว่าจะลดลงจากร้อยละ 3.7 เป็นร้อยละ 2.9 จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับแนวโน้มนโยบายการเงินของ European Central Bank การลดลงของเงินเฟ้อนี้อาจสนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมของ ECB ซึ่งจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของเงินยูโรที่ปัจจุบันแสดงสัญญาณการฟื้นตัวทางเทคนิค
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ในสัปดาห์นี้จะมีความซับซ้อนเป็นพิเศษเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของการไหลเงินทุนข้ามสินทรัพย์ การที่กองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาดูดเงินเข้า 19.8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงได้รับเงินไหลเข้า 1.7 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงการแสวงหาผลตอบแทนของนักลงทุนท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยสูง
ความสัมพันธ์ผกผันระหว่างดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีค่าสหสัมพันธ์อยู่ที่ลบ 0.78 จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและน้ำมันดิบ หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาออกมาแข็งแกร่งและผลักดันให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น สินค้าโภคภัณฑ์อาจประสบแรงกดดัน ในทางตรงกันข้าม การอ่อนแอของดอลลาร์จะสนับสนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ตัวชี้วัด VIX ที่อยู่ที่ระดับ 20.28 และ Put/Call Ratio ที่สูงขึ้นเป็น 0.75 สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในตลาด การเคลื่อนไหวของตัวชี้วัดเหล่านี้จะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะการปรับสมดุลพอร์ตไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า
การเปลี่ยนแปลงของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่าง S&P 500 และ Bitcoin ที่ลดลงจาก 0.45 เป็น 0.15 แสดงให้เห็นถึงการแยกตัวของตลาดสกุลเงินดิจิทัลจากตลาดหุ้นดั้งเดิม การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างโอกาสในการกระจายความเสี่ยงและอาจเป็นสัญญาณของการเข้าสู่ระยะผู้นำตลาดใหม่สำหรับสกุลเงินดิจิทัล
สำหรับการเทรดรอบการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC กลยุทธ์ที่แนะนำคือการใช้ตำแหน่ง Straddle Options บน S&P 500 เพื่อรับมือกับความผันผวนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักเทรดควรเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวในช่วง 5,700-5,900 จุด โดยใช้ระดับปิดปัจจุบันที่ 5,802.82 จุดเป็นจุดอ้างอิง
การเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD ควรมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Federal Reserve และ European Central Bank การซื้อในช่วง 1.3500-1.3520 พร้อมเป้าหมายที่ 1.3650 และการหยุดขาดทุนที่ 1.3430 จะเป็นกลยุทธ์ที่สมเหตุสมผล
สำหรับการเทรดทองคำ นักลงทุนควรเฝ้าติดตามระดับสำคัญที่ 3,320-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์สำหรับโอกาสการซื้อ โดยตั้งเป้าหมายที่ 3,450 ดอลลาร์และการหยุดขาดทุนที่ 3,280 ดอลลาร์ ความผันผวนจากข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจะสร้างโอกาสการเทรดที่ดี
การเทรดในตลาดเอเชียควรมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากการตัดสินใจของ RBNZ โดยการขายคู่สกุลเงิน NZD/USD อาจเป็นโอกาสที่ดีหากการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม นักเทรดต้องระมัดระวังการปรับตัวกลับอย่างรวดเร็วหากการประกาศมาพร้อมกับสัญญาณที่เป็นบวกกว่าที่คาดการณ์
สัปดาห์นี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องการการวิเคราะห์อย่างละเอียดและการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและการตัดสินใจนโยบายการเงินจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อตลาดการเงินโลก
สัปดาห์ที่ 26-30 พฤษภาคม 2025 นำเสนอทั้งความท้าทายและโอกาสที่สำคัญสำหรับนักลงทุนในตลาดการเงินโลก ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากหลากหลายปัจจัยพื้นฐานสร้างสภาพแวดล้อมการเทรดที่ต้องการความระมัดระวังเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสสำหรับนักเทรดที่มีความชำนาญในการใช้ประโยชน์จากความผันผวนนี้
ความเสี่ยงหลักที่ต้องจับตาคือความไม่แน่นอนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ที่อาจเผยให้เห็นความขัดแย้งในความคิดเห็นของสมาชิกคณะกรรมการเกี่ยวกับทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ย การที่ความน่าจะเป็นของการลดดอกเบี้ยในไตรมาสที่สามถูกปรับลดจากร้อยละ 68 เป็นร้อยละ 45 สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังที่อาจสร้างความผันผวนรุนแรงในตลาด
ข้อมูลเงินเฟ้อที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคอื่นๆ สร้างความกดดันเพิ่มเติมต่อการตัดสินใจนโยบายการเงิน การปรับประมาณการดัชนีราคา PCE หลักของสหรัฐอเมริกาจากร้อยละ 0.2 เป็นร้อยละ 0.3 ในระดับรายเดือนชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและสร้างแรงกดดันต่อการประเมินมูลค่าของหุ้น
ในด้านโอกาส ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางต่างๆ สร้างโอกาสการเทรดที่น่าสนใจในตลาดสกุลเงิน โดยเฉพาะคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่แสดงสัญญาณทางเทคนิคเชิงบวกผ่านรูปแบบ bullish engulfing candle บนไทม์เฟรมรายสัปดาห์ การที่ยุโรปอาจเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วกว่าสหรัฐอเมริกาสร้างโอกาสในการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินทุนข้ามทวีป
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่น่าสนใจ โดยเฉพาะทองคำที่ได้รับการสนับสนุนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่น้ำมันดิบมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปัจจัยทางเทคนิคและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง
การบริหารความเสี่ยงในสัปดาห์นี้ต้องการแนวทางที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง การจัดสรรพอร์ตการลงทุนควรเน้นการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์หลายประเภทเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
สำหรับการจัดสรรที่แนะนำ นักลงทุนควรพิจารณาการแบ่งน้ำหนักการลงทุนเป็นร้อยละ 35 ในตลาดสกุลเงิน ร้อยละ 25 ในสินค้าโภคภัณฑ์ ร้อยละ 25 ในดัชนีหุ้น ร้อยละ 10 ในสกุลเงินดิจิทัล และร้อยละ 5 ในตำแหน่งป้องกันความเสี่ยงผ่านตัวเลือกหรือสัญญาล่วงหน้า การปรับเพิ่มน้ำหนักในตลาดสกุลเงินและสินค้าโภคภัณฑ์สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสที่เพิ่มขึ้นจากความผันผวนของนโยบายการเงินและสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
การใช้คำสั่งหยุดขาดทุนที่เข้มงวดเป็นสิ่งจำเป็นในสัปดาห์นี้ โดยแนะนำให้ตั้งระดับหยุดขาดทุนไม่เกินร้อยละ 2 ของเงินทุนการเทรดต่อตำแหน่งเดียว และไม่เกินร้อยละ 8 ของเงินทุนรวมในการเปิดตำแหน่งพร้อมกันหลายรายการ การปรับขนาดตำแหน่งการเทรดให้เล็กลงในช่วงที่มีการประกาศข้อมูลสำคัญจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนที่คาดการณ์ไม่ได้
การติดตามข้อมูลข่าวสารและการปรับตำแหน่งการเทรดตามข้อมูลใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นักเทรดควรเตรียมแผนการเทรดสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC และข้อมูลเงินเฟ้อหลักของสหรัฐอเมริกา
ระดับราคาสำคัญที่นักเทรดต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในสัปดาห์นี้มีความหลากหลายข้ามสินทรัพย์ต่างๆ โดยการทะลุหรือการยึดครองระดับเหล่านี้จะส่งสัญญาณสำคัญเกี่ยวกับทิศทางการเคลื่อนไหวในระยะสั้นและระยะกลาง
สำหรับดัชนี S&P 500 ที่ปิดที่ระดับ 5,802.82 จุด ระดับแนวรับสำคัญอยู่ที่ 5,750 และ 5,700 จุด ขณะที่แนวต้านที่สำคัญคือ 5,850 และ 5,900 จุด การทะลุระดับ 5,900 จุดจะเป็นสัญญาณเชิงบวกที่แข็งแกร่ง ในขณะที่การทะลุลงไปต่ำกว่า 5,700 จุดอาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไปที่ 5,650 จุด
คู่สกุลเงิน EUR/USD มีระดับสำคัญที่ 1.3500 เป็นแนวรับในปัจจุบัน ขณะที่แนวต้านที่สำคัญอยู่ที่ 1.3580 และ 1.3650 การทะลุเหนือ 1.3580 อย่างมั่นคงจะเปิดทางสู่การทดสอบ 1.3650 และอาจขยายไปถึง 1.3720 ในแนวต้านถัดไป ในทางกลับกัน การทะลุต่ำกว่า 1.3450 จะเป็นสัญญาณของการอ่อนแอที่อาจนำไปสู่การทดสอบ 1.3380
ทองคำที่ปิดที่ระดับ 3,358 ดอลลาร์ต่อออนซ์มีแนวรับสำคัญที่ 3,320 และ 3,280 ดอลลาร์ ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 3,390 และ 3,450 ดอลลาร์ การทะลุเหนือ 3,390 ดอลลาร์จะเป็นสัญญาณของการกลับสู่แนวโน้มขาขึ้น ในขณะที่การทะลุต่ำกว่า 3,280 ดอลลาร์อาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับถัดไปที่ 3,220 ดอลลาร์
น้ำมันดิบ WTI มีระดับแนวต้านสำคัญที่ 60.00 และ 62.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 55.20 และ 53.00 ดอลลาร์ การทะลุเหนือ 60.00 ดอลลาร์จะยืนยันการฟื้นตัวทางเทคนิคและอาจนำไปสู่การทดสอบ 65.00 ดอลลาร์ในระดับถัดไป
นักเทรดระยะสั้นหรือ Day Trader ควรมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นรอบการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ การเทรดในช่วงเวลาที่มีการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC และข้อมูลเงินเฟ้อหลักจะสร้างโอกาสการทำกำไรที่ดี อย่างไรก็ตาม ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและตั้งคำสั่งหยุดขาดทุนที่เข้มงวด การใช้กลยุทธ์ Scalping บนคู่สกุลเงินหลักและการเทรด Breakout บนดัชนีหุ้นจะเป็นแนวทางที่เหมาะสม
นักลงทุนระยะกลางหรือ Swing Trader ควรมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากแนวโน้มใหญ่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน การถือครองตำแหน่ง Long EUR/USD และ Short USD/JPY ตามแนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐอเมริกาจะเป็นกลยุทธ์หลัก ขณะเดียวกันการสะสมทองคำในช่วงปรับตัวลงและการเทรดน้ำมันดิบตามแนวโน้มการฟื้นตัวทางเทคนิคจะเสริมความหลากหลายของพอร์ต
นักลงทุนระยะยาวหรือ Position Trader ควรใช้ความผันผวนในสัปดาห์นี้เป็นโอกาสในการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนระยะยาว การเพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อเช่นทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับสภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยอาจยังคงสูงในระยะยาว การกระจายการลงทุนข้ามภูมิภาคและการเพิ่มน้ำหนักในตลาดเกิดใหม่ที่มีการประเมินมูลค่าต่ำจะสร้างโอกาสผลตอบแทนในระยะยาว
นักลงทุนที่มีประสบการณ์จำกัดควรมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้และการเทรดด้วยขนาดตำแหน่งที่เล็ก การใช้บัญชีเดโมหรือการเทรดด้วยเงินทุนจำนวนน้อยในช่วงที่มีความผันผวนสูงจะเป็นการเรียนรู้ที่มีค่า การติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดรอบการประกาศข้อมูลสำคัญและการศึกษาปฏิกิริยาของตลาดจะสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับพลวัตของตลาดการเงิน
แนวโน้มสำหรับสัปดาห์ที่ 2-6 มิถุนายน 2025 จะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้เป็นหลัก หากรายงานการประชุม FOMC และข้อมูลเงินเฟ้อหลักของสหรัฐอเมริกาออกมาในทิศทางที่สนับสนุนการรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอาจฟื้นคืนความแข็งแกร่งและสร้างแรงกดดันต่อสินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงินของประเทศเกิดใหม่
การตัดสินใจของ RBNZ และข้อมูลเศรษฐกิจจากเอเชียจะกำหนดทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค หากการลดอัตราดอกเบี้ยของนิวซีแลนด์มาพร้อมกับสัญญาณการหยุดพักการผ่อนคลายเพิ่มเติม ผลกระทบต่อสกุลเงินโอเชียเนียอาจถูกจำกัด แต่หากแสดงให้เห็นถึงการเปิดรอบการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ความอ่อนแอของ NZD และ AUD อาจขยายตัวไปสู่สัปดาห์ถัดไป
ตลาดหุ้นจะยังคงไวต่อการเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงิน การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจะสร้างความท้าทายต่อการประเมินมูลค่าของหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการประเมินมูลค่าสูง อย่างไรก็ตาม การไหลเข้าของเงินทุนในกองทุนหุ้นที่ยังคงต่อเนื่องอาจให้การสนับสนุนในระยะสั้น
สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะความก้าวหน้าของการเจรจาการค้าสหรัฐอเมริกา-จีนและความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การพัฒนาในด้านนี้จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองคำ สัปดาห์ที่ 26-30 พฤษภาคม 2025 จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลกในระยะข้างหน้า ความสำเร็จในการนำทางผ่านความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจะต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่ละเอียดรอบคอบ การบริหารความเสี่ยงที่มีระเบียบ และความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วตามข้อมูลใหม่ที่เกิดขึ้น นักเทรดและนักลงทุนที่เตรียมพร้อมและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมจะสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นและลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ