หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาด CFD ในช่วงสัปดาห์ที่ 23-29 มิถุนายน 2025 ได้แสดงการฟื้นตัวอย่างชัดเจนและกว้างขวาง โดยนักลงทุนทั่วโลกแสดงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเคลื่อนไหวในทิศทางบวกนี้เกิดขึ้นจากการประสานกันของปัจจัยสำคัญหลายประการ ซึ่งได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาทำลายสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่ตลาดสกุลเงินและสินค้าโภคภัณฑ์แสดงการปรับตัวที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
การบรรเทาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการฟื้นตัวของตลาดในสัปดาห์นี้ การประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่านโดยประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงปลายสัปดาห์ได้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงที่ 81.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลลงมาที่ 67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
การปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญเป็นอีกปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาด ธนาคารกลางยุโรปได้ดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยหลัก 25 basis points ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกายังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ในช่วง 4.25-4.50 เปอร์เซ็นต์ หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อ Core PCE เดือนพฤษภาคมที่สูงกว่าคาดการณ์ที่ 2.7 เปอร์เซ็นต์
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเป็นจุดเด่นของการฟื้นตัวในสัปดาห์นี้ โดย S&P 500 ปิดที่ 6,141.02 จุด เพิ่มขึ้น 0.80 เปอร์เซ็นต์ และทำลายสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่ NASDAQ Composite ปิดที่ 20,167.91 จุด เพิ่มขึ้น 0.97 เปอร์เซ็นต์ การเคลื่อนไหวนี้ได้รับการสนับสนุนจากการลดลงของดัชนี VIX มาอยู่ที่ระดับ 16.32 จุด ซึ่งบ่งชี้ความผันผวนที่ลดลงและความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน
ตลาดสกุลเงินแสดงการเคลื่อนไหวที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ความเสี่ยง EUR/USD แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 1.91 เปอร์เซ็นต์ในสัปดาห์นี้ มาปิดที่ระดับ 1.1720 หลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB และความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของยุโรปโซน ในขณะเดียวกัน สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่แสดงการฟื้นตัวอย่างกว้างขวางเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากการปรับตัวลงในสัปดาห์ก่อนหน้า Bitcoin ปิดที่ 107,321.96 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.21 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ Solana แสดงผลงานที่โดดเด่นด้วยการเพิ่มขึ้นกว่า 6.07 เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 29 มิถุนายน การฟื้นตัวนี้สะท้อนการกลับมาของความเชื่อมั่นในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงและการปรับปรุงของสภาพคล่องในตลาดโลก
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสามารถของตลาดในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานและสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ การฟื้นตัวนี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในตลาดใดตลาดหนึ่ง แต่เป็นการฟื้นตัวที่กระจายไปทั่วทุกกลุ่มสินทรัพย์และทุกภูมิภาค ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการปรับปรุงของความรู้สึกเสี่ยงในตลาดโลก
ตลาดสกุลเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงการเคลื่อนไหวที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นและการรับรู้ความเสี่ยงของนักลงทุน ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาแสดงพลวัตที่น่าสนใจโดยเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยความแข็งแกร่งจากข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด แต่จากนั้นได้อ่อนค่าลงในช่วงปลายสัปดาห์เมื่อความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์บรรเทาลง การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ตลาดสกุลเงินตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานและความรู้สึกเสี่ยงของนักลงทุน
EUR/USD เป็นคู่สกุลเงินที่แสดงผลงานโดดเด่นที่สุดในสัปดาห์นี้ด้วยการเพิ่มขึ้น 1.91 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ระดับ 1.1720 การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากธนาคารกลางยุโรปประกาศลดอัตราดอกเบี้ยหลัก 25 basis points ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงมาอยู่ที่ 2 เปอร์เซ็นต์ การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของ ECB ในการควบคุมเงินเฟ้อที่อยู่ประมาณเป้าหมาย 2 เปอร์เซ็นต์
จากมุมมองทางเทคนิค EUR/USD ได้ทำการ breakout จาก flag formation แบบ bullish continuation pattern และกำลังทดสอบจุดต้านทานสำคัญที่ระดับ 1.1615 ตัวชี้วัด RSI อยู่ประมาณ 65 ซึ่งยังสนับสนุนการเคลื่อนที่ขึ้นก่อนเข้าสู่เขต overbought ขณะที่ MACD แสดงสัญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นโดยเส้น MACD ยังคงเคลื่อนที่ขึ้น ระดับต้านทานถัดไปที่ต้องเฝ้าระวังคือ 1.1680 ถึง 1.1730 และ 1.1800 ขณะที่ระดับรองสำคัญอยู่ที่ 1.1542 ถึง 1.1470 และ 1.1390
USD/JPY ปรับตัวลดลง 1.05 เปอร์เซ็นต์ในสัปดาห์นี้ มาปิดที่ 144.65 การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความซับซ้อนของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ Fed รักษาอัตราในช่วง 4.25 ถึง 4.50 เปอร์เซ็นต์ แม้จะมีการแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยที่สูง แต่ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจญี่ปุ่นและการอ่อนค่าของดอลลาร์ในช่วงปลายสัปดาห์ได้ช่วยสนับสนุนเยน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า USD/JPY จะเทรดในช่วง 144.00 ถึง 146.50 ในระยะข้างหน้า โดยระดับต้านทานสำคัญอยู่ที่ 146.00 เป็นเป้าหมายในระยะสั้น ขณะที่ระดับรองอยู่ที่ 143.80 การเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินนี้จะขึ้นอยู่กับการพัฒนาของนโยบายการเงินของทั้งสองธนาคารกลางและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
GBP/USD เพิ่มขึ้น 0.51 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 1.3728 ความแข็งแกร่งของปอนด์เกิดขึ้นแม้ว่าธนาคารกลางอังกฤษจะรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25 เปอร์เซ็นต์ด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน การที่กรรมการ 3 คนเสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ยแสดงถึงความแตกแยกในความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค RSI อยู่ที่ 69.59 ซึ่งใกล้เข้าสู่เขต overbought ที่ระดับ 70 ส่วน MACD แสดงว่าเส้น MACD ยังคงอยู่เหนือ signal line ซึ่งบ่งชี้แนวโน้มบวกที่ยังคงอยู่ Parabolic SAR มีจุดอยู่ใต้ราคาแสดงเทรนด์บวก ระดับต้านทานสำคัญอยู่ที่ 1.34999 ซึ่งเป็น upper bound ของ Donchian channel ขณะที่ระดับ stop loss อยู่ที่ 1.33887
สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่แสดงการฟื้นตัวอย่างกว้างขวางเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนการปรับปรุงความเชื่อมั่นเสี่ยงและการลดลงของความกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์ Philippine Peso เป็นสกุลเงินที่แสดงผลงานดีที่สุดในภูมิภาคด้วยการแข็งค่าขึ้น 0.8 เปอร์เซ็นต์เป็นวันที่สองติดต่อกัน ทำให้ USD/PHP อยู่ที่ 56.54
Taiwan Dollar แสดงความแข็งแกร่งอย่างมีนัยสำคัญด้วยการแข็งค่าขึ้น 2.70 เปอร์เซ็นต์ในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ USD/TWD อยู่ที่ 29.11 Singapore Dollar ยังคงเป็นสกุลเงินที่มีเสถียรภาพสูงในภูมิภาคด้วยการแข็งค่าขึ้น 1.18 เปอร์เซ็นต์ในเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ Chinese Yuan ยังคงมีเสถียรภาพที่ระดับ 7.173 ต่อดอลลาร์
USD/CAD อ่อนค่าลดลง 0.55 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 1.3645 การเคลื่อนไหวนี้ได้รับอิทธิพลจากการลดลงของราคาน้ำมันดิบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจแคนาดาในฐานะประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ ปัจจุบันคู่สกุลเงินนี้เทรดในช่วง 1.4350 ถึง 1.4400 โดยการ break เหนือระดับ 1.4400 อาจกระตุ้น bull run ถัดไป
จากมุมมองทางเทคนิค MACD อ่อนตัวลงต่ำกว่า signal line และ RSI ถอยออกจากเขต overbought ซึ่งบ่งชี้การชะลอตัวของแรงซื้อ ระดับรองสำคัญอยู่ที่ 1.4350 ซึ่งเป็นพื้นของช่วงการเทรดปัจจุบัน ตามด้วย 1.4300 ที่เป็นระดับ 20-day EMA และ 1.4260 ที่เป็น support trendline
ตลาดสกุลเงินในสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนการปรับตัวของนักลงทุนต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานและสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ดีขึ้น การฟื้นตัวของสกุลเงินเสี่ยงและการอ่อนค่าของดอลลาร์ในช่วงปลายสัปดาห์แสดงถึงการกลับมาของความเชื่อมั่นและการลดลงของการหลบภัยในสินทรัพย์ปลอดภัย
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาประสบกับการปรับตัวอย่างรุนแรงที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างชัดเจน การบรรเทาความตึงเครียดในตะวันออกกลางได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งตลาดน้ำมันและทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์สองประเภทที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกเสี่ยงและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของนักลงทุน การเคลื่อนไหวครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ในการกำหนดทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะสั้น
ราคาน้ำมันดิบประสบกับการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์นี้ โดย WTI Crude ปิดที่ 65.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ Brent Crude ปิดที่ 67.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การลดลงนี้คิดเป็นประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสัปดาห์ หลังจากที่ราคาเคยพุ่งสูงถึง 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน เมื่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของราคาน้ำมันสะท้อนความวิตกกังวลของตลาดเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานในช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลก อิสราเอลได้ดำเนินการโจมตีสิ่งอำนวยความสะดวกนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Brent พุ่งสูงขึ้นถึง 15 เปอร์เซ็นต์ จากระดับต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไปอยู่ที่ 81.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันที่ 23 มิถุนายน
อย่างไรก็ตาม การประกาศข้อตกลงหยุดยิงโดยประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงปลายสัปดาห์ได้ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ราคาน้ำมันกลับลงสู่ระดับที่ต่ำกว่าก่อนเหตุการณ์ความขัดแย้งเกิดขึ้น การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ในการกำหนดราคาน้ำมันและความไวของตลาดต่อข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของอุปทาน
จากมุมมองทางเทคนิค การวิเคราะห์แสดงแนวโน้มลดลงหลังจากการ reverse จากเขตต้านทาน ระดับต้านทานสำคัญอยู่ที่ 65.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากราคากลับขึ้นเหนือระดับนี้จะเป็นสัญญาณการกลับตัวของเทรนด์บวก ขณะที่ระดับรองอยู่ที่ 65.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นเป้าหมายสำหรับการลดลงต่อไป เป้าหมายเทคนิคระยะกลางอยู่ที่ 63.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับ 62 เปอร์เซ็นต์ retracement
ราคาทองคำปรับตัวลดลงกว่า 1.65 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 3,274.29 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ วันที่ 29 มิถุนายน การลดลงที่โดดเด่นที่สุดเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน โดยราคาลดลงกว่า 1.5 เปอร์เซ็นต์ในวันเดียว หลังจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์บรรเทาลงและการปรับปรุงแนวโน้มการค้าโลกทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลงอย่างเห็นได้ชัด
การเคลื่อนไหวของทองคำในสัปดาห์นี้สะท้อนบทบาทของโลหะมีค่านี้ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนมักหันไปใช้ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ เมื่อความเชื่อมั่นในตลาดฟื้นตัวและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ลดลง นักลงทุนมักจะลดการถือครองทองคำและหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น หุ้นและพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ทองคำกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากระดับต้านทานสำคัญหลายระดับ ได้แก่ 3,360 ถึง 3,365 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ Moving Average ทั้ง MA50 และ MA200 ทำหน้าที่เป็นจุดต้านทานในปัจจุบัน ขณะที่ระดับรองสำคัญอยู่ที่ 3,320 ถึง 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 3,255 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 3,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ตัวชี้วัดทางเทคนิคแสดงสัญญาณผสม RSI กำลังฟื้นตัวจากเขต oversold และเคลื่อนที่สู่ระดับ neutral ซึ่งอาจบ่งชี้การหยุดพักของแรงขาย MACD histogram แสดงค่าลบที่หดตัวและเส้น MACD กำลังเข้าใกล้ bullish crossover ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการฟื้นตัวในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม Moving Average ยังแสดงภาพรวมที่ bearish โดย MA50 อยู่ต่ำกว่า MA200 ระดับรองสำคัญสำหรับการปรับตัวในระยะสั้นอยู่ที่ 3,350 และ 3,345 ดอลลาร์ต่อออนซ์
การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกอย่างชัดเจน ดอลลาร์แคนาดาเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการลดลงของราคาน้ำมัน โดย USD/CAD อ่อนค่าลดลง 0.55 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนการที่ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจแคนาดาในฐานะประเทศผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่
สกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกทองคำ เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลียและแรนด์แอฟริกาใต้ ก็ได้รับแรงกดดันจากการลดลงของราคาทองคำเช่นกัน การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงินของประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกสินค้าเหล่านี้
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์หน้าจะต้องเฝ้าติดตามการพัฒนาของสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิง แต่ความเสถียรของข้อตกลงดังกล่าวยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางราคาน้ำมันในระยะสั้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญและข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมาในสัปดาห์หน้าก็จะส่งผลต่อความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยและราคาทองคำ
การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นและการลดลงของความผันผวนอาจส่งผลให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลดลงต่อไปในระยะสั้น ขณะที่ราคาน้ำมันจะขึ้นอยู่กับการพัฒนาของสถานการณ์ทางการเมืองในตะวันออกกลางและข้อมูลสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐอเมริกาที่จะเป็นตัวบ่งชี้ความต้องการและอุปทานในตลาด
ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนี VIX และตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงกลไกการทำงานของตลาดอย่างชัดเจน เมื่อ VIX ลดลงจาก 19.83 จุดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนมาอยู่ที่ 16.32 จุดในวันที่ 27 มิถุนายน ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาได้แสดงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดย S&P 500 และ NASDAQ ทำลายสถิติสูงสุดใหม่ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนหลักการพื้นฐานที่ว่าเมื่อความผันผวนที่คาดหวังลดลง นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นและพร้อมที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ระดับ VIX ปัจจุบันที่ต่ำกว่า 20 จุดบ่งชี้สภาวะตลาดที่สงบและความมั่นใจของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม การที่ VIX อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานอาจเป็นสัญญาณเตือนของการที่นักลงทุนมีความมั่นใจมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับตัวลงอย่างรุนแรงหากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ดัชนี Fear and Greed Index ที่อยู่ในระดับ 65 ซึ่งเป็นเขต “Greed” สนับสนุนการวิเคราะห์นี้ และแสดงให้เห็นว่าตลาดกำลังอยู่ในสภาวะที่นักลงทุนมีความกระตือรือร้นในการลงทุน
การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ได้สร้างผลกระทบแบบลูกโซ่ที่ส่งผลต่อตลาดสกุลเงินอย่างกว้างขวาง การลดลงของราคาน้ำมันประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์ในสัปดาห์นี้ได้ส่งผลโดยตรงต่อสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกพลังงาน โดยเฉพาะดอลลาร์แคนาดาที่อ่อนค่าลดลง 0.55 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเศรษฐกิจแคนาดามีการพึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นอย่างมาก
ในทางตรงกันข้าม สกุลเงินของประเทศผู้นำเข้าน้ำมันได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง เยนญี่ปุ่นแสดงความแข็งแกร่งเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งมาจากการที่ต้นทุนการนำเข้าพลังงานของญี่ปุ่นลดลง ซึ่งช่วยปรับปรุงดุลการค้าและลดแรงกดดันเงินเฟ้อจากปัจจัยภายนอก การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการวิเคราะห์โครงสร้างเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในการทำความเข้าใจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าโภคภัณฑ์
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา 10 ปีที่อยู่ในระดับ 4.275 เปอร์เซ็นต์ ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางการไหลของเงินทุนระหว่างตลาดต่างๆ ระดับอัตราผลตอบแทนที่สูงนี้สร้างแรงดึงดูดสำหรับนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนที่มั่นคงและปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหุ้นยังคงสามารถฟื้นตัวและทำสถิติใหม่ได้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมองว่าโอกาสในการทำกำไรจากหุ้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ข้อมูลจาก State Street Risk Appetite Index ที่เพิ่มขึ้นเป็น 0.36 ในปลายเดือนพฤษภาคมสนับสนุนการวิเคราะห์นี้ โดยแสดงให้เห็นว่าการไหลของเงินเข้าสู่หุ้นเพิ่มขึ้น 0.9 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่พันธบัตรลดลง 0.8 เปอร์เซ็นต์ การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มการลงทุนนี้สะท้อนการปรับเปลี่ยนของความรู้สึกเสี่ยงและการคาดหวังผลตอบแทนของนักลงทุนสถาบัน
การวิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนประเภทต่างๆ ในสัปดาห์นี้เผยให้เห็นความแตกต่างที่น่าสนใจ นักลงทุนสถาบันยังคงขายหุ้นสุทธิ 50.78 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นจาก 30.93 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน แม้ว่าตลาด S&P 500 จะปรับตัวขึ้น 6.2 เปอร์เซ็นต์ในเดือนพฤษภาคม การกระทำนี้อาจสะท้อนการที่นักลงทุนสถาบันมองว่าตลาดมีการประเมินค่าสูงเกินไปและต้องการลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนรายย่อยกลับมาซื้อหุ้นสุทธิ 9.20 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม หลังจากขายสุทธิในเดือนก่อนหน้า การแตกต่างของพฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่ต่างกันเกี่ยวกับการประเมินค่าตลาดและแนวโน้มในอนาคต นักลงทุนรายย่อยมักมีแนวโน้มที่จะตามเทรนด์และมีปฏิกิริยาต่อการเคลื่อนไหวราคาในระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนสถาบันมักจะมีมุมมองระยะยาวและใช้การวิเคราะห์ที่ซับซ้อนมากขึ้น
การที่ธนาคารกลางสำคัญมีทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่างกันได้สร้างโอกาสในการเทรดแบบ carry trade และส่งผลต่อการไหลของเงินทุนระหว่างภูมิภาค การที่ ECB ลดอัตราดอกเบี้ยขณะที่ Fed รักษาอัตราไว้ในระดับสูงได้สร้างความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลต่อความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ของสกุลเงิน EUR/USD ที่แข็งค่าขึ้น 1.91 เปอร์เซ็นต์แสดงให้เห็นว่าตลาดให้น้ำหนักกับปัจจัยอื่นมากกว่าความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว
ในตลาดเอเชีย การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคงอัตราไว้ที่ 1.75 เปอร์เซ็นต์ ได้สร้างพลวัตที่น่าสนใจในตลาดสกุลเงินภูมิภาค การฟื้นตัวอย่างกว้างขวางของสกุลเงินเอเชียเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกาสะท้อนการปรับปรุงของความเชื่อมั่นเสี่ยงและการคาดหวังว่าภูมิภาคเอเชียจะได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงของสภาพแวดล้อมการค้าโลก
อัตราส่วน Advance/Decline ที่อยู่ในระดับ 1.62 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่กระจายตัวของตลาดหุ้น การที่หุ้นจำนวนมากมีส่วนร่วมในการขึ้นราคาเป็นสัญญาณที่ดีของสุขภาพตลาดและความยั่งยืนของการฟื้นตัว การวิเคราะห์ market breadth นี้มีความสำคัญเพราะการขึ้นราคาที่ขับเคลื่อนโดยหุ้นจำนวนน้อยมักจะไม่ยั่งยืนและอาจเป็นสัญญาณของความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่
Put/Call Ratio ที่ลดลงจาก 1.38 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนมาอยู่ที่ 1.13 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนแสดงการลดลงของกิจกรรม hedging และความกังวลของนักลงทุน การที่อัตราส่วนเข้าใกล้ระดับ neutral ที่ 1.0 บ่งชี้ว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและลดการซื้อ put options เพื่อป้องกันความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม การติดตามตัวชี้วัดนี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ตลาดได้อย่างทันท่วงที
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและการเชื่อมโยงกันของระบบการเงินโลก การเข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน CFD ในการวางกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาได้แสดงความแข็งแกร่งอย่างน่าประทับใจในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีหลักทั้งสามตัวทำลายสถิติสูงสุดใหม่และแสดงการเติบโตที่กระจายตัวอย่างดี S&P 500 ปิดที่ระดับ 6,141.02 จุด เพิ่มขึ้น 0.80 เปอร์เซ็นต์ในวันสุดท้ายของสัปดาห์ และเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ในช่วงทั้งสัปดาห์ การฟื้นตัวนี้ได้รับการสนับสนุนจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนหลังจากการบรรเทาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการปรับปรุงของข้อมูลเศรษฐกิจ
NASDAQ Composite แสดงผลงานที่โดดเด่นยิ่งกว่าด้วยการปิดที่ 20,167.91 จุด เพิ่มขึ้น 0.97 เปอร์เซ็นต์ การเคลื่อนไหวของดัชนีที่มีน้ำหนักหนักในหุ้นเทคโนโลยีนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภาคเทคโนโลยีและการคาดหวังเกี่ยวกับการเติบโตในอนาคต Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้น 0.94 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 43,386.84 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในหลากหลายภาคส่วนที่แสดงการฟื้นตัวอย่างสม่ำเสมอ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของ S&P 500 แสดงสัญญาณที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง Moving Averages ทุกระยะเวลาแสดงแนวโน้มบวก โดย 5-day MA อยู่ที่ 6,104.95 จุด 20-day MA อยู่ที่ 6,015.35 จุด 50-day MA อยู่ที่ 5,809.47 จุด และ 200-day MA อยู่ที่ 5,831.72 จุด การที่ราคาปัจจุบันอยู่เหนือ moving averages ทุกระยะเวลาเป็นสัญญาณแนวโน้มบวกที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดโมเมนตัมเริ่มแสดงสัญญาณการซื้อมากเกินไป โดย RSI อยู่ที่ระดับ 70.28 และ Stochastic อยู่ที่ 95.28 ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดเข้าสู่เขต overbought
ตลาดหุ้นยุโรปแสดงความแข็งแกร่งที่น่าประทับใจในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย DAX ของเยอรมนีเป็นตัวนำการฟื้นตัวด้วยการเพิ่มขึ้น 2.92 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 24,033.22 จุด การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจเยอรมนีและยุโรปโซนหลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
EURO STOXX 50 เพิ่มขึ้น 1.76 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 5,325.64 จุด แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเยอรมนีเท่านั้น แต่กระจายไปทั่วทั้งภูมิภาค CAC 40 ของฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 1.34 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 7,691.55 จุด ขณะที่ STOXX Europe 600 ซึ่งเป็นดัชนีที่ครอบคลุมตลาดหุ้นยุโรปอย่างกว้างขวางเพิ่มขึ้น 1.32 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 543.63 จุด การเคลื่อนไหวเชิงบวกอย่างกว้างขวางนี้บ่งชี้ว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป
FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรแสดงการเคลื่อนไหวที่ระมัดระวังมากกว่าด้วยการเพิ่มขึ้นเพียง 0.28 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 8,798.91 จุด การเคลื่อนไหวที่จำกัดนี้อาจสะท้อนความไม่แน่นอนต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษที่ยังคงมีความแตกแยกในความคิดเห็นของกรรมการ ดัชนีความผันผวน VSTOXX ของยุโรปปิดที่ 18.50 จุด ลดลง 1.57 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ตลาดหุ้นเอเชียแสดงการฟื้นตัวที่หลากหลายและสะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ Nikkei 225 ของญี่ปุ่นเป็นตัวนำการฟื้นตัวอย่างชัดเจนด้วยการเพิ่มขึ้น 1.43 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 40,150.79 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม การฟื้นตัวนี้ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเยนที่ช่วยสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของบริษัทญี่ปุ่นในตลาดส่งออก และการคาดหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลดีต่อการส่งออกของญี่ปุ่น
Hang Seng Index ของฮ่องกงแสดงการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเสถียรด้วยการลดลงเพียง 0.17 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 24,284.15 จุด แม้จะมีการเคลื่อนไหวที่จำกัดในวันสุดท้าย แต่ดัชนีนี้ยังคงแสดงผลงานที่ดีในมุมมองระยะยาวด้วยการเพิ่มขึ้น 21.06 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปีและ 37.07 เปอร์เซ็นต์ในรอบปีที่ผ่านมา การปรับปรุงนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน
Shanghai Composite มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.70 เปอร์เซ็นต์ในวันสุดท้ายของสัปดาห์ มาปิดที่ 3,424.23 จุด แต่ยังคงแสดงการเพิ่มขึ้น 1.91 เปอร์เซ็นต์ในช่วงทั้งสัปดาห์ ดัชนีอยู่ห่างจากจุดสูงสุดของปี 2025 ที่ 3,455.97 จุดไม่มากนัก และสูงขึ้น 26.63 เปอร์เซ็นต์จากจุดต่ำสุดของปี การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของตลาดหุ้นจีนแม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ ก็แสดงผลงานที่หลากหลาย KOSPI ของเกาหลีใต้ลดลง 0.77 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงเพิ่มขึ้น 1.13 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสัปดาห์และ 27.29 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี S&P/ASX 200 ของออสเตรเลียลดลงเล็กน้อย 0.1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ Nifty 50 ของอินเดียเพิ่มขึ้น 0.34 เปอร์เซ็นต์
SET Index ของไทยเป็นข้อยกเว้นในภาพการฟื้นตัวของภูมิภาคเอเชียด้วยการลดลง 2.20 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 1,082.42 จุด การเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1,100 จุดนี้สะท้อนความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและความกังวลของนักลงทุนต่อเสถียรภาพของนโยบายเศรษฐกิจ ปริมาณการซื้อขายที่ 38,598.23 ล้านบาทแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของนักลงทุนในการเทรด แต่ทิศทางโดยรวมยังคงเป็นลบ ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่แย่ที่สุดในโลกในปี 2025 ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
การวิเคราะห์ความกว้างของตลาดแสดงสัญญาณที่เชิงบวก อัตราส่วน Advance/Decline ที่ระดับ 1.62 บ่งชี้ว่าหุ้นที่ขึ้นราคามีจำนวนมากกว่าหุ้นที่ลงราคาอย่างมีนัยสำคัญ การกระจายตัวของการขึ้นราคานี้เป็นสัญญาณที่ดีของสุขภาพตลาดและความยั่งยืนของแนวโน้มบวก การที่การฟื้นตัวไม่ได้ขับเคลื่อนโดยหุ้นจำนวนน้อยเท่านั้น แต่มีการมีส่วนร่วมจากหุ้นในหลากหลายภาคส่วนและขนาดบริษัท
ตัวชี้วัดความรู้สึกของตลาดแสดงระดับความเชื่อมั่นที่สูง Put/Call Ratio ลดลงจาก 1.38 มาอยู่ที่ 1.13 แสดงการลดลงของกิจกรรมการป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่น CBOE Equity Put/Call Ratio ที่ระดับ 0.52 ซึ่งลดลง 31.58 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนสนับสนุนการวิเคราะห์นี้ ค่าที่ต่ำกว่า 1.0 บ่งชี้ว่านักลงทุนซื้อ call options มากกว่า put options ซึ่งแสดงความคาดหวังราคาขึ้น
การสำรวจความเชื่อมั่นของ AAII แสดงให้เห็นถึงภาพที่น่าสนใจ แม้ว่า Bullish Sentiment จะลดลง 9.6 percentage points มา 43.2 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงอยู่เหนือค่าเฉลี่ยประวัติศาสตร์ที่ 37.5 เปอร์เซ็นต์เป็นสัปดาห์ที่ 37 ใน 38 สัปดาห์ ระดับความเชื่อมั่นที่สูงต่อเนื่องเป็นเวลานานนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของการที่ตลาดมีความมั่นใจมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับตัวลงหากมีข่าวลบเกิดขึ้น
ตลาดดัชนีหุ้นหลักในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงความแข็งแกร่งที่กระจายตัวอย่างกว้างขวางทั่วโลก แม้ว่าจะมีสัญญาณการซื้อมากเกินไปในระยะสั้น แต่ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนการฟื้นตัวยังคงแข็งแกร่ง การติดตามอย่างใกล้ชิดของตัวชี้วัดทางเทคนิคและความรู้สึกของตลาดจะเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความยั่งยืนของแนวโน้มบวกนี้
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ได้แสดงการฟื้นตัวอย่างน่าประทับใจในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากประสบกับแรงกดดันในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ การฟื้นตัวนี้เกิดขึ้นควบคู่กับการปรับปรุงของความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลกและการลดลงของความผันผวนจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ Bitcoin ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลหลักปิดที่ระดับ 107,321.96 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.21 เปอร์เซ็นต์ในวันที่ 29 มิถุนายน แม้ว่าการเพิ่มขึ้นจะไม่มากนัก แต่การที่สามารถรักษาระดับราคาเหนือ 107,000 ดอลลาร์ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อในระดับราคาดังกล่าว
Ethereum แสดงความแข็งแกร่งที่มากกว่าด้วยการเพิ่มขึ้น 0.54 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 2,437.11 ดอลลาร์ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อระบบนิเวศ Ethereum และการพัฒนาที่ต่อเนื่องในด้าน decentralized finance และ smart contracts ที่ยังคงขับเคลื่อนการใช้งานของเครือข่าย การที่ Ethereum สามารถรักษาระดับราคาเหนือ 2,400 ดอลลาร์ได้เป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับระยะกลาง
ตลาด altcoins แสดงความหลากหลายในการเคลื่อนไหว โดย Solana เป็นตัวนำการฟื้นตัวด้วยการเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจ 6.07 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 150.82 ดอลลาร์ในวันที่ 29 มิถุนายน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อประสิทธิภาพและความสามารถในการขยายตัวของเครือข่าย Solana ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ
XRP แสดงการฟื้นตัวที่มั่นคงด้วยการเพิ่มขึ้น 2.03 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 2.18 ดอลลาร์ ในขณะที่ Binance Coin มีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเสถียรด้วยการเพิ่มขึ้น 0.40 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 648.75 ดอลลาร์ การฟื้นตัวที่กระจายตัวนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนกำลังกลับมามีความเชื่อมั่นในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างกว้างขวาง ไม่ได้จำกัดอยู่เพียง Bitcoin เท่านั้น
Bitcoin Dominance ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นสัญญาณที่สำคัญในการวิเคราะห์พลวัตของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ ระดับความครอบงำที่สูงนี้บ่งชี้ว่า Bitcoin ยังคงเป็นตัวนำการเคลื่อนไหวของตลาดและนักลงทุนยังให้ความสำคัญกับ Bitcoin เป็นหลัก ตามทฤษฎีของ altcoin season การที่ Bitcoin Dominance ยังคงอยู่เหนือ 50 เปอร์เซ็นต์แสดงว่าตลาดยังไม่เข้าสู่ช่วง altcoin season อย่างเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม การแสดงผลงานที่แข็งแกร่งของ Solana และ altcoins อื่นๆ ในสัปดาห์นี้อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น นักลงทุนควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของ Bitcoin Dominance อย่างใกล้ชิด เพราะการลดลงต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเริ่มต้น altcoin season ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่ altcoins แสดงผลงานเหนือกว่า Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญ
Crypto Fear and Greed Index อยู่ในระดับ 70 ซึ่งจัดอยู่ในเขต “Greed” และสะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ระดับดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความกระตือรือร้นในการลงทุนและมองโลกในแง่ดีต่อแนวโน้มราคาในอนาคต อย่างไรก็ตาม ระดับความโลภที่สูงนี้ก็ต้องติดตามอย่างระมัดระวัง เพราะเมื่อตลาดเข้าสู่เขต extreme greed มักจะตามมาด้วยการปรับตัวลงในระยะสั้น
การเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดความรู้สึกของตลาดหุ้นแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องของแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกว้างขวาง Fear and Greed Index ของตลาดหุ้นที่ระดับ 65 และ Crypto Fear and Greed Index ที่ระดับ 70 แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในทั้งสองตลาด ซึ่งสะท้อนการปรับปรุงของสภาพแวดล้อมการลงทุนโดยรวม
จากมุมมองทางเทคนิค Bitcoin กำลังเทรดในช่วงราคา 101,000 ถึง 103,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แสดงการรวมตัวหลังจากการปรับตัวลงในช่วงก่อนหน้า Moving Averages แสดงภาพที่ผสมผสาน โดย 20-day EMA อยู่ที่ประมาณ 105,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต้านทานในระยะสั้น ขณะที่ 50-day EMA อยู่ที่ประมาณ 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรองสำคัญ
RSI ปัจจุบันอยู่ประมาณระดับ 55 ซึ่งอยู่ในเขต neutral หลังจากเคยลดลงสู่เขต oversold ที่ระดับ 25.5 ในช่วงก่อนหน้า การฟื้นตัวของ RSI แสดงให้เห็นถึงการลดลงของแรงขายและโอกาสการฟื้นตัวในระยะสั้น MACD แสดงสัญญาณ bearish crossover ในช่วงก่อนหน้า แต่มีโอกาสที่จะเกิด bullish crossover หากราคาสามารถกลับขึ้นเหนือระดับ 104,000 ดอลลาร์ได้
Bollinger Bands แสดงว่าราคากำลังเคลื่อนที่สู่ upper band ที่ระดับ 110,415 ดอลลาร์ ซึ่งอาจเป็นเป้าหมายในระยะกลางหากแรงซื้อยังคงแข็งแกร่ง การที่ราคาเคลื่อนที่ออกจากช่วงล่างของ Bollinger Bands เป็นสัญญาณเชิงบวกที่แสดงการลดลงของแรงกดดัน
Ethereum แสดงโครงสร้างทางเทคนิคที่น่าสนใจกว่า Bitcoin ในปัจจุบัน ระดับต้านทานสำคัญอยู่ในช่วง 2,568.91 ถึง 2,718.90 ดอลลาร์ และ 2,803.73 ดอลลาร์ ขณะที่ระดับรองที่สำคัญอยู่ที่ 2,334.08 ถึง 2,249.25 ดอลลาร์ และ 2,099.26 ดอลลาร์ การที่ราคาปัจจุบันอยู่ใกล้กลางของช่วงนี้แสดงการสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย
ตัวชี้วัดทางเทคนิคของ Ethereum แสดงสัญญาณที่ผสมผสาน RSI อยู่ที่ระดับ 61.35 ซึ่งเป็นสัญญาณ neutral และแสดงพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวในทั้งสองทิศทาง MACD แสดงสัญญาณ sell ที่ 195.46 ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะที่ Williams %R ที่ระดับ -35.37 แสดงสัญญาณ buy ที่ขัดแย้งกับ MACD การขัดแย้งของสัญญาณนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในระยะสั้นและความสำคัญของการติดตามระดับราคาสำคัญ
ตลาด Bitcoin options แสดงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของพฤติกรรมนักลงทุน Bitcoin Put/Call Ratio เพิ่มขึ้นเป็น 0.72 จาก 0.5 ในปี 2024 การเพิ่มขึ้นนี้มาจาก cash-secured puts strategy ที่นักลงทุนใช้เพื่อหาโอกาสในการซื้อ Bitcoin ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ปริมาณ options ที่จะหมดอายุในช่วงปลายมิถุนายนมีมูลค่าถึง 14 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจสร้างความผันผวนในระยะสั้น
การเพิ่มขึ้นของกิจกรรม hedging ในตลาด options สะท้อนความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนสถาบันและการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในด้านความซับซ้อนของเครื่องมือทางการเงิน การพัฒนานี้เป็นสัญญาณของการเติบโตและการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ในปัจจุบันแสดงความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นกับปัจจัยมหภาคและตลาดการเงินแบบดั้งเดิม การบรรเทาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการลดลงของ VIX ได้ส่งผลเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของสินทรัพย์ดิจิทัล การที่นักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยงได้ช่วยสนับสนุนการไหลเข้าของเงินทุนสู่ตลาดคริปโท
นโยบายการเงินของธนาคารกลางยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล การรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงของ Fed ยังคงสร้างความท้าทายสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย เช่น Bitcoin แต่การที่ตลาดสามารถรักษาระดับราคาได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อระยะยาว การพัฒนาของนโยบายการเงินในอนาคตจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงความยืดหยุ่นและการฟื้นตัวที่น่าประทับใจ แม้ว่าจะยังคงมีความผันผวนและความไม่แน่นอนในระยะสั้น แต่ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนการเติบโตในระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง การติดตามตัวชี้วัดทางเทคนิคและปัจจัยมหภาคจะเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินทิศทางของตลาดในสัปดาห์ถัดไป
สัปดาห์ที่ 30 มิถุนายน ถึง 4 กรกฎาคม 2025 จะเป็นช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาด CFD ทั่วโลก การเตรียมความพร้อมและการวางแผนกลยุทธ์ล่วงหน้าจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนในการใช้ประโยชน์จากโอกาสและบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายนจะเริ่มต้นด้วยการเผยแพร่ดัชนีราคาผู้บริโภคเยอรมนีในเวลา 14:00 น. ตามเวลา CET ข้อมูลนี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของแนวโน้มเงินเฟ้อในยุโรปและอาจส่งผลต่อทิศทางของสกุลเงินยูโรในระยะสั้น หากข้อมูลออกมาสูงกว่าคาดการณ์ อาจเป็นสัญญาณที่สนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของ ECB ในอนาคต
วันอังคารที่ 1 กรกฎาคมจะเป็นวันที่มีความสำคัญสูงสุดของสัปดาห์ด้วยการเผยแพร่ดัชนีราคาผู้บริโภคเขตยูโรโซนในเวลา 11:00 น. CET ข้อมูลนี้จะเป็นจุดสำคัญสำหรับการกำหนดแนวทางนโยบายของ ECB ในการประชุมครั้งถัดไป นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่ PMI ภาคการผลิต Flash ของสหรัฐอเมริกาในเวลา 15:45 น. ET ซึ่งจะให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสภาพภาคอุตสาหกรรมและมุมมองธุรกิจ การกล่าวสุนทรพจน์ของประธาน Fed Jerome Powell ในเวลา 15:30 น. ET จะเป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนให้ความสนใจสูงสุด เนื่องจากจะให้สัญญาณสำคัญเกี่ยวกับท่าทีต่อเส้นทางนโยบายการเงินในอนาคต
ตลาดสกุลเงินในสัปดาห์หน้าจะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากข้อมูลเงินเฟ้อยุโรปและคำกล่าวของประธาน Fed EUR/USD ที่ปัจจุบันอยู่ในแนวโน้มบวกและกำลังทดสอบระดับต้านทานสำคัญที่ 1.1615 อาจมีโอกาสสำหรับการ breakout หากข้อมูล CPI ยุโรปออกมาในทิศทางที่สนับสนุนเศรษฐกิจ เป้าหมายถัดไปอยู่ที่ระดับ 1.1680 ถึง 1.1730 ขณะที่ระดับ stop loss ควรวางไว้ต่ำกว่า 1.1542
สำหรับ USD/JPY แนวโน้มจะขึ้นอยู่กับการพัฒนาของนโยบายการเงินและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ การเทรดในช่วง 144.00 ถึง 146.50 ยังคงเป็นกรอบที่เหมาะสมสำหรับการวางกลยุทธ์ นักลงทุนควรเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของ tone การกล่าวสุนทรพจน์ของ Fed ที่อาจส่งผลต่อความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ของดอลลาร์
สกุลเงินเอเชียที่แสดงการฟื้นตัวอย่างกว้างขวางอาจยังคงได้รับแรงหนุนจากการปรับปรุงของความเชื่อมั่นเสี่ยงโลก Philippine Peso และ Taiwan Dollar ที่แสดงความแข็งแกร่งโดดเด่นอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามการพัฒนาของสถานการณ์ทางการเมืองในแต่ละประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของสกุลเงิน
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ทำสถิติสูงสุดใหม่และแสดงสัญญาณการซื้อมากเกินไปในระยะสั้นต้องการการติดตามอย่างระมัดระวัง นักลงทุนควรพิจารณากลยุทธ์ profit taking บางส่วนในระดับราคาปัจจุบัน โดยเฉพาะในหุ้นเทคโนโลยีที่มีการประเมินค่าสูง การใช้ trailing stop loss จะช่วยป้องกันการสูญเสียจากการปรับตัวลงที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ตลาดหุ้นยุโรปที่แสดงความแข็งแกร่งและยังไม่เข้าสู่เขต overbought อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนเพิ่มเติม DAX ของเยอรมนีที่เพิ่มขึ้น 2.92 เปอร์เซ็นต์ในสัปดาห์ที่ผ่านมายังมีพื้นที่สำหรับการเติบโตต่อไป โดยเฉพาะหากข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปออกมาในทิศทางบวก
Nikkei 225 ที่แสดงความแข็งแกร่งสูงสุดในภูมิภาคเอเชียและทำระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะกลาง การอ่อนค่าของเยนและการคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรหลีกเลี่ยง SET Index ของไทยในระยะสั้นเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังการบรรเทาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อาจเป็นโอกาสสำหรับการซื้อในระดับราคาปัจจุบัน หากสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงมีเสถียรภาพ ระดับ 65.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสำหรับ WTI Crude อาจเป็นจุดรองที่แข็งแกร่ง เป้าหมายการฟื้นตัวอยู่ที่ 67.00 ถึง 70.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทองคำที่ปรับตัวลดลงจากการลดลงของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอาจเผชิญกับแรงกดดันต่อเนื่องในระยะสั้น หากความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ระดับรองที่ 3,320 ถึง 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์อาจเป็นโอกาสสำหรับการ accumulate ระยะยาว โดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
Bitcoin ที่กำลังเทรดในช่วงการรวมตัวระหว่าง 101,000 ถึง 103,000 ดอลลาร์ต้องการการติดตามการ breakout จากช่วงนี้ การเคลื่อนที่เหนือ 104,000 ดอลลาร์จะเป็นสัญญาณเชิงบวกที่อาจนำไปสู่การทดสอบระดับ 110,000 ดอลลาร์ ขณะที่การหักเหต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์อาจส่งสัญญาณการปรับตัวลงต่อไป
Solana ที่แสดงผลงานโดดเด่นด้วยการเพิ่มขึ้น 6.07 เปอร์เซ็นต์อาจยังคงมีโมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่อง การที่ altcoins เริ่มแสดงความแข็งแกร่งอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ altcoin season นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงอาจพิจารณาการกระจายการลงทุนไปยัง altcoins คุณภาพดีที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง
การติดตาม Bitcoin Dominance อย่างใกล้ชิดจะเป็นสิ่งสำคัญ หากลดลงต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นสัญญาณชัดเจนของการเริ่มต้น altcoin season ที่แท้จริง ในกรณีดังกล่าว การปรับพอร์ตการลงทุนให้มีสัดส่วน altcoins ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม
แม้ว่าตลาดจะแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง แต่นักลงทุนควรระมัดระวังสัญญาณการซื้อมากเกินไปที่ปรากฏในหลายตลาด VIX ที่อยู่ในระดับต่ำ 16.32 จุดและ Fear and Greed Index ที่อยู่ในเขต Greed อาจบ่งชี้ความมั่นใจมากเกินไปของนักลงทุน การใช้ position sizing ที่เหมาะสมและการวาง stop loss อย่างมีวินัยจะเป็นสิ่งสำคัญ
การที่นักลงทุนสถาบันยังคงขายหุ้นสุทธิแม้ว่าตลาดจะปรับตัวขึ้นเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องให้ความสำคัญ ความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมของนักลงทุนสถาบันและรายย่อยอาจเป็นสัญญาณของการประเมินค่าที่แตกต่างกันและอาจนำไปสู่การปรับตัวในอนาคต
การติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางยังคงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิง แต่ความเสถียรของข้อตกลงและความเป็นไปได้ของการกลับมาตึงเครียดยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของสถานการณ์อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อราคาน้ำมันและความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวม
สัปดาห์หน้าจะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายและเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับนักลงทุน CFD การเตรียมความพร้อมอย่างดีและการปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่มีวินัยจะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุความสำเร็จในสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สัปดาห์ที่ 23-29 มิถุนายน 2025 จัดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของตลาดการเงินโลกอย่างชัดเจน การฟื้นตัวที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่ในตลาดใดตลาดหนึ่ง แต่เป็นการฟื้นตัวที่กระจายตัวไปทั่วทุกกลุ่มสินทรัพย์และทุกภูมิภาค ตั้งแต่การทำสถิติสูงสุดใหม่ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาไปจนถึงการฟื้นตัวอย่างกว้างขวางของสกุลเงินเอเชียและการกลับมาของความเชื่อมั่นในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวครั้งนี้คือการบรรเทาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ซึ่งได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างมีนัยสำคัญและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง ประกอบกับการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง การลดลงของดัชนี VIX มาอยู่ที่ระดับ 16.32 จุดและ Fear and Greed Index ที่อยู่ในเขต Greed สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ตลาดจากความระแวงสู่ความเชื่อมั่น
สำหรับการลงทุนในตลาดสกุลเงิน นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับ EUR/USD ที่แสดงแนวโน้มบวกที่แข็งแกร่งและกำลังทดสอบระดับต้านทานสำคัญ การ breakout เหนือระดับ 1.1615 อาจเปิดโอกาสสำหรับการเคลื่อนที่ขึ้นสู่เป้าหมายที่ 1.1680 ถึง 1.1730 สกุลเงินเอเชียที่แสดงการฟื้นตัวอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ Philippine Peso และ Taiwan Dollar มีแนวโน้มที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะสั้นถึงกลาง อย่างไรก็ตาม การเฝ้าระวังการพัฒนาของสถานการณ์ทางการเมืองในแต่ละประเทศยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
ในตลาดหุ้น แม้ว่าการทำสถิติสูงสุดใหม่ของตลาดสหรัฐอเมริกาจะเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่สัญญาณการซื้อมากเกินไปที่ปรากฏในตัวชี้วัดทางเทคนิคต้องการความระมัดระวัง นักลงทุนควรพิจารณากลยุทธ์ profit taking บางส่วนและการใช้ trailing stop loss เพื่อป้องกันการสูญเสียจากการปรับตัวลงที่อาจเกิดขึ้น ตลาดหุ้นยุโรปโดยเฉพาะ DAX ของเยอรมนียังมีพื้นที่สำหรับการเติบโตต่อไปและอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในระยะสั้น
สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างรุนแรงอาจเป็นโอกาสสำหรับการซื้อในระดับราคาปัจจุบัน หากสถานการณ์ทางการเมืองในตะวันออกกลางยังคงมีเสถียรภาพ ทองคำที่อ่อนตัวลงจากการลดลงของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอาจเผชิญกับแรงกดดันต่อเนื่องในระยะสั้น แต่ระดับรองที่ 3,320 ถึง 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์อาจเป็นจุดสำหรับการ accumulate ระยะยาว
ในสภาพแวดล้อมการลงทุนปัจจุบันที่มีความเชื่อมั่นสูงแต่แฝงไปด้วยความเสี่ยงจากการประเมินค่าสูงในบางตลาด การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นักลงทุนควรพิจารณาการปรับสมดุลพอร์ตโดยลดน้ำหนักในสินทรัพย์ที่มีการประเมินค่าสูงและเพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ที่ยังมีมูลค่าที่สมเหตุสมผล
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ที่แสดงการฟื้นตัวหลังการปรับตัวลงในสัปดาห์ก่อนหน้าเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง การติดตาม Bitcoin Dominance และสัญญาณการเปลี่ยนผ่านสู่ altcoin season จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางกลยุทธ์ การที่ Solana แสดงผลงานโดดเด่นอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของการเปลี่ยนแปลงในพลวัตของตลาด
การใช้เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน การกำหนด position size ที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การวาง stop loss อย่างเคร่งครัด และการทบทวนกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยปกป้องเงินทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรระยะยาว
แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะเป็นไปในทิศทางเชิงบวก แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญ ความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมของนักลงทุนสถาบันที่ยังคงขายสุทธิและนักลงทุนรายย่อยที่กลับมาซื้อสุทธิเป็นสัญญาณที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด การที่ผู้เชี่ยวชาญมีมุมมองที่ระมัดระวังกว่านักลงทุนทั่วไปอาจบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่
ระดับความเชื่อมั่นที่สูงอย่างต่อเนื่องของตลาดตามที่แสดงใน AAII Sentiment Survey ที่อยู่เหนือค่าเฉลี่ยประวัติศาสตร์เป็นเวลา 37 สัปดาห์ในรอบ 38 สัปดาห์เป็นสัญญาณเตือนของการที่ตลาดอาจมีความมั่นใจมากเกินไป สถานการณ์เช่นนี้มักจะมีความเปราะบางต่อข่าวลบและอาจนำไปสู่การปรับตัวลงอย่างรุนแรงหากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
เสถียรภาพของข้อตกลงหยุดยิงในตะวันออกกลางยังเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง การที่ราคาน้ำมันมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางการเมืองในภูมิภาคนี้หมายความว่าการกลับมาตึงเครียดอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดพลังงานและความเชื่อมั่นโดยรวม
สัปดาห์ที่ 30 มิถุนายน ถึง 4 กรกฎาคม 2025 จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญสูงด้วยการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการ การเตรียมความพร้อมและการวางแผนล่วงหน้าจะเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น ข้อมูล CPI ของเยอรมนีและยูโรโซน คำกล่าวของประธาน Fed Powell และรายงาน Non-Farm Payrolls จะเป็นเหตุการณ์ที่สามารถสร้างความผันผวนและโอกาสการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
นักลงทุนควรเตรียมแผนการซื้อขายที่ครอบคลุมสถานการณ์ต่างๆ และการตอบสนองต่อข้อมูลที่อาจออกมาทั้งในทิศทางที่คาดหวังและไม่คาดหวัง การมีแผนสำรองและการรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอจะช่วยให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
ตลาด CFD ในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพแวดล้อมการลงทุน ความสำเร็จในการลงทุนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว การบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย และการคงไว้ซึ่งมุมมองระยะยาวแม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน สำหรับลูกค้าของ FXGT การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ และการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนในระยะยาว