หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
เราได้ก้าวเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ท่ามกลางความท้าทายด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจจากทั่วโลก โดยเฉพาะประเด็นความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศนโยบาย “Country-Level Reciprocity” ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ในวันที่ 9 เมษายนนี้ ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนอย่างหนัก
สงครามการค้าที่ปะทุขึ้นใหม่นี้ได้สร้างความปั่นป่วนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีหลักหลายแห่งปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่นักลงทุนเริ่มโยกย้ายเงินเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งทะยานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,165 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า
ในสัปดาห์นี้ (7-11 เมษายน 2568) นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทั้งดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในอนาคต นอกจากนี้ เรายังต้องติดตามรายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ครั้งล่าสุด ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองของคณะกรรมการต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญคือการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ซึ่งมีกำหนดการในวันพุธที่ 9 เมษายน โดยตลาดคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 3.75% เป็น 3.50% การตัดสินใจนี้จะส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์และอาจกระทบต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้วย
ในภาพรวม สัปดาห์นี้ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับนักลงทุน เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้าและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาด การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม การปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความผันผวนของตลาดในสัปดาห์นี้
ในสัปดาห์นี้มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลกระทบสูงต่อตลาดการเงิน โดยเรียงตามวันและเวลา (GMT+7) ดังนี้
06:30 น. – ดัชนีรายได้เฉลี่ยรายปีของญี่ปุ่น (Average Cash Earnings y/y)
08:30 น. – ประกาศงบประมาณโฆษณาตำแหน่งงานของออสเตรเลีย (ANZ Job Advertisements m/m)
13:00 น. – ดุลการค้าเยอรมนี (German Trade Balance)
22:30 น. – เจ้าหน้าที่เฟด Kugler กล่าวสุนทรพจน์
02:00 น. – ข้อมูลสินเชื่อผู้บริโภคสหรัฐฯ (Consumer Credit m/m)
09:00 น. – ข้อมูลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่น (Current Account)
17:00 น. – ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจขนาดย่อมสหรัฐฯ (NFIB Small Business Index)
09:00 น. – ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RBNZ Official Cash Rate)
21:00 น. – ข้อมูลสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งสหรัฐฯ (Final Wholesale Inventories m/m)
21:30 น. – สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์จาก EIA (Crude Oil Inventories)
01:00 น. (10 เม.ย.) – รายงานการประชุม FOMC (FOMC Meeting Minutes)
19:30 น. – จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ (Unemployment Claims)
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ (CPI m/m)
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานสหรัฐฯ (Core CPI m/m)
13:00 น. – ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สหราชอาณาจักร รายเดือน
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐฯ (PPI m/m)
19:30 น. – ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐานสหรัฐฯ (Core PPI m/m)
21:00 น. – ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (Prelim UoM Consumer Sentiment)
21:00 น. – คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อขั้นต้นจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (Prelim UoM Inflation Expectations)
นักลงทุนควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการประกาศข้อมูล CPI, รายงานการประชุม FOMC, การประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ และข้อมูล PPI เนื่องจากเหตุการณ์เหล่านี้มีศักยภาพในการสร้างความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในตลาดการเงินทั่วโลก
สัปดาห์นี้มีเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินทั่วโลก การเข้าใจถึงความสำคัญและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์เชิงลึกของเหตุการณ์สำคัญที่ควรติดตาม:
รายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เมื่อวันที่ 18-19 มีนาคม 2568 จะถูกเปิดเผยในช่วงเช้าวันที่ 10 เมษายน (01:00 น. ตามเวลาไทย) ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจมุมมองและเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50%
ประเด็นที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญในรายงานนี้ ได้แก่:
ผลกระทบต่อตลาด: หากรายงานสะท้อนถึงความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและให้น้ำหนักกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้า อาจทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นและสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ อาจปรับตัวขึ้น
ในทางกลับกัน หากรายงานยังคงเน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและยืนยันว่าจะไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงและราคาทองคำปรับตัวลง
การเปิดเผยข้อมูล CPI เดือนมีนาคม 2568 ในวันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน เวลา 19:30 น. (ตามเวลาไทย) จะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของแรงกดดันด้านราคาในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลาดคาดการณ์ว่า CPI จะเพิ่มขึ้น 0.2% ในรายเดือน (เทียบกับ 0.1% ในเดือนก่อน) และ 2.6% ในรายปี ขณะที่ Core CPI ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ในรายเดือนและ 2.8% ในรายปี
ข้อมูลนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเนื่องจาก:
ผลกระทบต่อตลาด: หากข้อมูล CPI สูงกว่าคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ (เช่น CPI รายเดือนที่ 0.4% หรือมากกว่า) อาจส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น และตลาดหุ้นร่วงลง เนื่องจากตลาดจะคาดการณ์ว่าเฟดจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงนานกว่าที่คาด
ในทางกลับกัน หากข้อมูล CPI ต่ำกว่าคาดการณ์ (เช่น CPI รายเดือนที่ 0.1% หรือต่ำกว่า) อาจส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง และตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น เนื่องจากเพิ่มความเป็นไปได้ที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
การประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ในวันพุธที่ 9 เมษายน มีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่า RBNZ อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.75% เป็น 3.50% ซึ่งจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบหลายปี
ประเด็นสำคัญที่ควรติดตามในการประชุมนี้ ได้แก่:
ผลกระทบต่อตลาด: หาก RBNZ ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดเพิ่มเติมในอนาคต ค่าเงิน NZD จะอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ และอาจส่งผลกระทบต่อสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น AUD และสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ด้วย
นอกจากนี้ การตัดสินใจของ RBNZ อาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอื่นๆ ในภูมิภาค หากมีการลดอัตราดอกเบี้ย ตลาดอาจเริ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอื่นๆ เช่น ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจเริ่มพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้เช่นกัน
การเปิดเผยข้อมูล PPI เดือนมีนาคม 2568 ในวันศุกร์ที่ 11 เมษายน เวลา 19:30 น. (ตามเวลาไทย) จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของแรงกดดันด้านราคาในระดับผู้ผลิต ซึ่งมักจะส่งผ่านไปยังราคาผู้บริโภคในท้ายที่สุด ตลาดคาดการณ์ว่า PPI จะไม่เปลี่ยนแปลง (0.0%) ในรายเดือน เทียบกับการเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก่อนหน้า
ข้อมูล PPI มีความสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ:
ผลกระทบต่อตลาด: หากข้อมูล PPI สูงกว่าคาดการณ์ (เช่น เพิ่มขึ้น 0.3-0.4% ในรายเดือน) อาจส่งผลให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น และการลดลงของราคาสินทรัพย์เสี่ยง
ในทางกลับกัน หากข้อมูล PPI ต่ำกว่าคาดการณ์ (เช่น ลดลง 0.2-0.3% ในรายเดือน) อาจสร้างความเชื่อมั่นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อกำลังลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และการปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์เสี่ยง
การเปิดเผยข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นและการคาดการณ์เงินเฟ้อจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในวันศุกร์ที่ 11 เมษายน เวลา 21:00 น. (ตามเวลาไทย) จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความเชื่อมั่นและมุมมองของผู้บริโภคสหรัฐฯ ตลาดคาดการณ์ว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะลดลงเป็น 54.0 จาก 57.0 ในเดือนก่อนหน้า
ข้อมูลนี้มีความสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ:
ผลกระทบต่อตลาด: หากความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (เช่น ต่ำกว่า 52.0) และการคาดการณ์เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น (เช่น สูงกว่า 5.3%) อาจส่งผลให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจพร้อมกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูง (ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันพร้อมเงินเฟ้อสูง หรือ Stagflation) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากต่อการแก้ไขสำหรับธนาคารกลาง
ในทางกลับกัน หากความเชื่อมั่นสูงกว่าคาดการณ์และการคาดการณ์เงินเฟ้อปรับตัวลดลง อาจสร้างความเชื่อมั่นในตลาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้า ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงและดอลลาร์
การวิเคราะห์เชิงลึกนี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงความสำคัญและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธ์การเทรดและการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นนี้
สัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2568 นี้ เป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศจากนโยบาย “Country-Level Reciprocity” ของสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายนนี้ ประกอบกับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการที่อาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักทั่วโลก
เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์สำคัญทั้งหมดในสัปดาห์นี้ เราสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่คาดการณ์ได้ดังนี้:
ด้านนโยบายการเงิน: รายงานการประชุม FOMC และการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์จะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินในช่วงถัดไป โดยหาก RBNZ ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรการลดดอกเบี้ยในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ขณะที่รายงานการประชุม FOMC จะช่วยให้ตลาดเข้าใจว่าเฟดจะยังคงให้น้ำหนักกับการควบคุมเงินเฟ้อหรือเริ่มกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ด้านเงินเฟ้อ: ข้อมูล CPI และ PPI ของสหรัฐฯ จะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่ามาตรการภาษีนำเข้าเริ่มส่งผลต่อราคาสินค้าหรือไม่ และเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของเฟดในการประชุมครั้งต่อไป
ด้านเศรษฐกิจโลก: สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงอาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ
ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นนี้ การวางกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ต่อไปนี้คือแนวทางการเทรดสำหรับสินทรัพย์หลักในสัปดาห์นี้:
ทองคำ (XAU/USD): ทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสงครามการค้า แต่หลังจากปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา อาจมีการพักฐานในระยะสั้น นักลงทุนควรพิจารณาเปิดสถานะซื้อที่บริเวณแนวรับสำคัญ 3,054 ดอลลาร์ โดยตั้งเป้าทำกำไรที่ระดับ 3,165 และ 3,200 ดอลลาร์ตามลำดับ ส่วนการเปิดสถานะขายควรพิจารณาเมื่อมีสัญญาณทางเทคนิคยืนยันการกลับตัวเท่านั้น
ดัชนีดอลลาร์ (DXY): ดัชนีดอลลาร์มีแนวโน้มผันผวนสูงตามข้อมูลเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญตลอดสัปดาห์ โดยอาจอ่อนค่าลงหลังการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC หากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น แต่อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นหากข้อมูล CPI สูงกว่าคาดการณ์ นักลงทุนควรเน้นการเทรดระยะสั้นและตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับความผันผวน
ยูโร/ดอลลาร์ (EUR/USD): คู่เงินนี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 1.0750-1.0950 โดยจะได้รับอิทธิพลจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจยุโรป นักลงทุนควรระมัดระวังในการเทรดช่วงการประกาศข้อมูลสำคัญ และอาจพิจารณาใช้กลยุทธ์ Range Trading โดยซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้าน
ดอลลาร์นิวซีแลนด์/ดอลลาร์สหรัฐ (NZD/USD): คู่เงินนี้จะมีความผันผวนสูงในวันพุธที่ 9 เมษายน จากการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ โดยหาก RBNZ ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดเพิ่มเติมในอนาคต NZD อาจอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนควรเลี่ยงการเปิดสถานะใหญ่ก่อนการประกาศผลการประชุม และพิจารณาใช้กลยุทธ์ Breakout Trading หลังการประกาศ
ดัชนีหุ้น (S&P 500, Nasdaq): ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มผันผวนสูงตลอดสัปดาห์ โดยอาจปรับตัวลงในช่วงต้นสัปดาห์จากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้า แต่อาจฟื้นตัวในช่วงปลายสัปดาห์หากข้อมูลเงินเฟ้อและรายงานการประชุม FOMC เป็นไปในทิศทางที่เอื้อต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนควรพิจารณาใช้กลยุทธ์ Swing Trading และลดขนาดการเทรดลงในช่วงที่มีความผันผวนสูง
การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรพิจารณาแนวทางต่อไปนี้:
นอกเหนือจากเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรติดตามปัจจัยต่อไปนี้ในระยะถัดไป:
โดยสรุป สัปดาห์นี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับตลาดการเงินทั่วโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น โดยการวางแผนกลยุทธ์การเทรดอย่างรอบคอบ บริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และติดตามพัฒนาการต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างทันท่วงที