หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาด NASDAQ 100 (US100) ในช่วงวันที่ 16-21 มิถุนายน 2025 ได้เผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายและซับซ้อน โดยความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้สร้างบรรยากาศการซื้อขายที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 21,719.08 จุดในวันที่ 16 มิถุนายน พร้อมกับการลดลง 1.00% ซึ่งสะท้อนแรงกดดันจากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ทวีความรุนแรงขึ้น การโจมตีของอิสราเอลต่อสถานที่นิวเคลียร์และทหารของอิหร่านได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดย Dow Jones ลดลง 769.83 จุด และ NASDAQ Composite ลดลง 255.66 จุด แสดงให้เห็นถึงการหลีกหนีสู่สินทรัพย์ปลอดภัยของนักลงทุน
ขณะเดียวกัน การประชุมของ Fed ในวันที่ 18 มิถุนายน ที่ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% ตามที่คาดการณ์ไว้ แต่การปรับเพิ่มการคาดการณ์เงินเฟ้อขึ้น 0.6% และการลดการคาดการณ์ GDP เหลือ 1.4% สำหรับปี 2025 ได้สร้างความกังวลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประธาน Fed Jerome Powell ยังส่งสัญญาณว่าจะไม่รีบร้อนในการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อหุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง
ปัจจัยเชิงบวกที่ช่วยหนุนตลาดบางส่วนมาจากความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการที่ประธานาธิบดี Trump ขยายกรอบเวลาการเก็บภาษีนำเข้า ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Nvidia, Meta Platforms, Microsoft, Apple และ Amazon ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นกว่า 7% ในวันเดียวยังคงสะท้อนความกังวลของตลาดเกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
จากมุมมองทางเทคนิค ตลาด NASDAQ 100 ยังคงอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นระยะยาว โดยได้รับการสนับสนุนจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและกลาง การที่ดัชนีอยู่ใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 22,241 จุด และมี Golden Cross ที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่าง MA 50 และ MA 200 ยังคงเป็นสัญญาณบวกสำหรับระยะยาว แต่ระดับแนวต้านสำคัญที่ 22,000 จุดและแนวรับที่ 21,700-21,730 จุดจะเป็นจุดสำคัญที่นักเทรดต้องติดตาม
วัตถุประสงค์ของบทวิเคราะห์นี้ คือการนำเสนอการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ (Intermarket Relationships) เพื่อให้ลูกค้าของ FXGT ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับการตัดสินใจลงทุน การวิเคราะห์จะครอบคลุมตั้งแต่การเทรดระยะสั้น (scalping) ไปจนถึงการลงทุนระยะยาว (position trading) พร้อมทั้งกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน
ผู้อ่านจะได้รับความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างๆ อาทิ Volume Profile, VWAP, RSI divergence และ MACD momentum รวมถึงการตีความข้อมูล Market Sentiment จาก VIX, Fear & Greed Index และ Commitment of Traders (COT) Report เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก เมื่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การโจมตีของอิสราเอลต่อสถานที่นิวเคลียร์และทหารของอิหร่านได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกเร่งหลีกหนีสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
ผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นอย่างรุนแรง โดย Dow Jones ปรับตัวลดลง 1.8% หรือ 769.83 จุด ขณะที่ NASDAQ Composite ลดลง 1.3% หรือ 255.66 จุด การลดลงนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของ risk appetite จากการรับความเสี่ยงสู่การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นเทคโนโลยีที่มักจะได้รับผลกระทบมากในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในวันที่ 13 มิถุนายน 2025 หลังการประกาศโจมตี โดย Brent crude เพิ่มขึ้น 7.63% ปิดที่ 74.65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ WTI crude เพิ่มขึ้น 7% ปิดที่ 73.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การเพิ่มขึ้นนี้ถือเป็นการปรับตัวสูงสุดในหนึ่งวันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานพลังงานในภูมิภาค
ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยก็แสดงความผันผวนสูง โดยราคาเคลื่อนไหวรอบระดับ 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงและการหาทางหลบภัยของนักลงทุน Tim Waterer จาก KCM Trade ระบุว่า “ความเปลี่ยนแปลงของนักลงทุนระหว่างการเลี่ยงความเสี่ยงและการรับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ตะวันออกกลางส่งผลต่อราคาทองคำรอบระดับ 3,400 ดอลลาร์”
การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 18 มิถุนายน 2025 ได้ส่งสัญญาณที่ผสมผสานต่อตลาด แม้ว่าการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% จะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่การปรับการคาดการณ์ในเชิงลบได้สร้างความกังวลเพิ่มเติม
ประธาน Fed Jerome Powell ได้ประกาศการปรับเพิ่มการคาดการณ์เงินเฟ้อขึ้น 0.6% จากครั้งที่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการควบคุมเงินเฟ้อที่ยังคงเหนียวแน่น การปรับการคาดการณ์นี้มีผลกระทบโดยตรงต่อการประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยี เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มักมีการเติบโตในอนาคตเป็นส่วนใหญ่ของมูลค่า และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะลดมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคต
การลดการคาดการณ์ GDP เหลือ 1.4% สำหรับปี 2025 ยังสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทเทคโนโลยี การที่ Fed ส่งสัญญาณว่าจะไม่รีบร้อนในการลดอัตราดอกเบี้ยยังคงสร้างแรงกดดันต่อหุ้น growth stocks โดยเฉพาะในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
การเคลื่อนไหวของ US Dollar Index (DXY)
US Dollar Index ได้แสดงพฤติกรรมที่น่าสนใจในช่วงนี้ โดยดัชนีเคลื่อนไหวจากระดับ 98.394 ในวันที่ 16 มิถุนายน มาอยู่ที่ 98.468 ในวันที่ 17 มิถุนายน และปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 98.70 ในช่วงเช้าของวันที่ 18 มิถุนายน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างปัจจัยที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า (การไม่แน่นอนในนโยบายการค้า) และปัจจัยที่ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า (ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย)
ในปี 2025 DXY ได้แสดงแนวโน้มการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงมากกว่า 9% ตั้งแต่ต้นปี และอยู่ในระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 การอ่อนค่าของดอลลาร์โดยทั่วไปจะส่งผลบวกต่อหุ้นเทคโนโลยี เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่มีรายได้จากต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูง อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นชั่วคราวจากอุปสงค์เพื่อการหลบภัย
ผลกระทบของ Bond Yield ต่อหุ้นเทคโนโลยี
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีได้แสดงการเคลื่อนไหวที่สำคัญ โดยลดลงจาก 4.46% ในวันที่ 16 มิถุนายน เป็น 4.39% ในวันที่ 17 มิถุนายน การลดลง 1.57% นี้สะท้อนการไหลเข้าของเงินลงทุนสู่สินทรัพย์เพื่อการหลบภัย ความสัมพันธ์ผกผันระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและมูลค่าหุ้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับหุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงอย่าง Amazon และ NVIDIA
การวิเคราะห์พบว่าการลดลงของอัตราผลตอบแทน 25 basis points มีศักยภาพในการเพิ่มค่า S&P 500 ประมาณ 2.5% อย่างไรก็ตาม หุ้นเทคโนโลยีมีความผันผวนสูงต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์กับตลาดเอเชีย
ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแสดงผลการดำเนินงานที่หลากหลาย โดย Nikkei 225 เพิ่มขึ้น 1.26% ปิดที่ 38,311.33 จุด, TOPIX เพิ่มขึ้น 0.75%, Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 0.35%, และ Hang Seng เพิ่มขึ้น 0.70% ตลาดเอเชียได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่หลากหลาย โดยยอดขายปลีกในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเอเชียและ NASDAQ มีลักษณะเชิงบวกในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของตลาดเอเชียก็แสดงความผสมผสานขณะที่นักลงทุนประเมินสถานการณ์ความขัดแย้ง
ความผันผวนจาก VIX และ VXN
ดัชนีความผันผวน VIX แสดงการเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากระดับ 19.78-20.22 ในวันที่ 16 มิถุนายน เป็น 20.53-21.79 ในวันที่ 17 มิถุนายน และคงอยู่ในระดับสูงที่ 20.90-21.58 ในวันที่ 18 มิถุนายน การเพิ่มขึ้นของ VIX สะท้อนความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนเกี่ยวกับความผันผวนในอนาคต
CBOE NASDAQ 100 Volatility (VXN) แสดงระดับที่สูงกว่า VIX โดยทั่วไป โดยเคลื่อนไหวในช่วง 19-26 จุด การที่ VXN สูงกว่าระดับ 20 บ่งชี้ว่านักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของหุ้นเทคโนโลยีเป็นพิเศษ
Fear & Greed Index
ดัชนี Fear & Greed Index ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2025 อยู่ที่ระดับ 54 ซึ่งจัดอยู่ในสถานะ “Neutral” แต่สถิติของปี 2025 แสดงให้เห็นถึงการครอบงำของความหวาดกลัว โดยมีค่าเฉลี่ยของปีที่ 37.51 ซึ่งต่ำกว่าระดับ neutral มีวันที่เป็น Extreme Fear 30% ของวันทั้งหมด และ Fear 36% ของวันทั้งหมด ขณะที่ไม่มีวันใดที่เป็น Extreme Greed เลย
การวิเคราะห์ Options Flow
ค่า Equity Put/Call Ratio แสดงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจาก 0.51 ในวันที่ 16 มิถุนายน เป็น 0.61 ในวันที่ 17 มิถุนายน การเพิ่มขึ้นนี้บ่งชี้ว่านักลงทุนเริ่มซื้อ Put Options มากขึ้น เป็นสัญญาณของการเพิ่มความระวังหรือการป้องกันความเสี่ยง
Total Put/Call Ratio ที่รวมทั้ง equity และ index options อยู่ใกล้ 0.90 ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดมีการซื้อ Put Options เป็นสัดส่วนที่สูงขึ้น สะท้อนความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดในระยะสั้น
การรวมปัจจัยทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ท้าทายสำหรับ NASDAQ 100 โดยความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของ market sentiment ล้วนสร้างแรงกดดันต่อหุ้นเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกัน การอ่อนค่าของดอลลาร์และการลดลงของ bond yield อาจสร้างโอกาสสำหรับการฟื้นตัวในระยะข้างหน้า
เทรนด์ระยะยาวและ Moving Average Dynamics
การวิเคราะห์ในกรอบเวลารายวันแสดงให้เห็นถึงภาพรวมที่ยังคงเป็นบวกสำหรับ NASDAQ 100 แม้จะเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น ดัชนียังคงอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นระยะยาว โดยได้รับการสนับสนุนจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลักทั้ง SMA 20, SMA 50, SMA 100 และ SMA 200
สัญญาณที่น่าสนใจที่สุดในกรอบเวลานี้คือ Golden Cross ที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่าง MA 50 และ MA 200 ซึ่งถือเป็นสัญญาณทางเทคนิคที่แข็งแกร่งสำหรับการต่อเนื่องของเทรนด์ขาขึ้นในระยะยาว การที่ราคาปัจจุบันอยู่เหนือเส้น SMA 50 และ SMA 100 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้น
การวิเคราะห์ RSI และ MACD ในกรอบรายวัน
RSI ในกรอบเวลารายวันอยู่ในระดับ 45-55 ซึ่งเป็นโซนกลางที่แสดงถึงสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย การที่ RSI ไม่อยู่ในสภาวะ oversold หรือ overbought บ่งชี้ว่ายังมีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวในทั้งสองทิศทาง อย่างไรก็ตาม การขาดแคลน momentum ขาขึ้นที่ชัดเจนในช่วงนี้สะท้อนความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก
MACD Histogram แสดงสัญญาณที่น่าสนใจ โดยเริ่มมีการปรับตัวเข้าสู่โซนบวกหลังจากอยู่ในโซนลบมาระยะหนึ่ง Signal Line และ MACD Line กำลังมีแนวโน้มจะทำ bullish crossover ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกลับมาของ momentum ขาขึ้นในระยะข้างหน้า
ระดับราคาสำคัญในกรอบรายวัน
จากการวิเคราะห์ Fractal patterns พบว่าระดับ Up Fractal สำคัญอยู่ที่ระดับ 22,000-22,100 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 22,241 จุด ขณะที่ Down Fractal สำคัญอยู่ที่ระดับ 21,600-21,650 จุด การที่ราคาปัจจุบันอยู่ระหว่างเส้น Fractal เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการแกว่งตัวในช่วงที่กำหนดชัดเจน
Momentum Analysis และแนวโน้มระยะกลาง
กรอบเวลา 4 ชั่วโมงให้ภาพรวมที่ละเอียดขึ้นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวระยะกลาง การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าราคายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก โดยเฉพาะเมื่อได้รับการสนับสนุนจาก MA 20 และ MA 50 ที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับแบบไดนามิก
การจัดเรียงของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ยังคงอยู่ในลักษณะ bullish alignment โดย SMA 20 > SMA 50 > SMA 100 > SMA 200 แม้ว่าจะมีการปรับตัวลงในช่วงสั้นๆ แต่โครงสร้างโดยรวมยังคงสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น
MACD และ Stochastic ในกรอบ H4
MACD ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงแสดงสัญญาณที่น่าสนใจ โดย MACD Line เริ่มแสดงแนวโน้มการขึ้นจากระดับต่ำ และ Histogram เริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของ momentum จากลบเป็นบวก การที่ Signal Line เริ่มมีแนวโน้มเรียบขึ้นยังสนับสนุนสมมติฐานนี้
Stochastic Oscillator (%K และ %D) อยู่ในระดับ 35-45 ซึ่งเป็นโซนกลางที่มีแนวโน้มขาขึ้น การที่ %K Line อยู่เหนือ %D Line และทั้งคู่มีความชันขาขึ้นเป็นสัญญาณบวกสำหรับ momentum ระยะสั้น
การวิเคราะห์ Price Action
ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง สามารถสังเกตเห็น pattern ของ Higher Lows ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาจะไม่สามารถทำ Higher Highs ได้อย่างชัดเจน แต่การที่แต่ละครั้งที่ราคาปรับตัวลงจะหาจุดต่ำที่สูงขึ้นเป็นสัญญาณของความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง
ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง Price Action กับ VWAP
ในกรอบเวลารายชั่วโมง VWAP ทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการกำหนดทิศทางระยะสั้น VWAP ในช่วงวันที่ 11-17 มิถุนายน 2025 เคลื่อนไหวในระดับ 21,780-21,890 จุด โดยทำหน้าที่เป็นเส้นค่าเฉลี่ยแบบไดนามิกที่ปรับตัวตามปริมาณการซื้อขาย
การที่ราคาสามารถกลับมาซื้อขายเหนือระดับ VWAP หลังจากการปรับตัวลงในช่วงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นสัญญาณบวก แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่ยังคงแข็งแกร่งในระดับราคาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การที่ราคายังไม่สามารถหลุดพ้นจากระดับ VWAP อย่างชัดเจนบ่งชี้ถึงการขาดแคลน conviction ในการขับเคลื่อนราคาขึ้นสู่ระดับใหม่
Volume Profile และการระบุ Point of Control
การวิเคราะห์ Volume Profile ในกรอบเวลารายชั่วโมงเผยให้เห็นข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักลงทุน Point of Control (POC) อยู่ที่ระดับ 21,826.35 จุด ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีการซื้อขายมากที่สุดในช่วงที่วิเคราะห์
Value Area ที่ครอบคลุม 70% ของปริมาณการซื้อขายอยู่ระหว่าง Value Area High (VAH) ที่ 21,887.72 จุด และ Value Area Low (VAL) ที่ 21,703.62 จุด การที่ราคาปัจจุบันซื้อขายภายใน Value Area บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในสภาวะ “fair value” และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงของ sentiment ที่รุนแรง
RSI Divergence และสัญญาณ Reversal
ในกรอบเวลารายชั่วโมง RSI แสดงพฤติกรรมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาปรับตัวลงในวันที่ 16-17 มิถุนายน RSI ไม่ได้ทำจุดต่ำใหม่แม้ว่าราคาจะปรับตัวลง ซึ่งเป็น Bullish Divergence ที่สำคัญ การขาดแคลนของแรงขายในระดับ RSI แม้ว่าราคาจะอ่อนแอลงเป็นสัญญาณบวกสำหรับการฟื้นตัวในระยะข้างหน้า
Entry Timing และ Scalping Opportunities
ในกรอบเวลา 15 นาที RSI แสดงสัญญาณ oversold ที่ชัดเจน โดย CCI indicator อยู่ต่ำกว่า -100 ซึ่งเป็นระดับที่มักจะเกิด bounce ขึ้นในระยะสั้น การที่ตัวชี้วัดทั้งสองอยู่ในสภาวะ oversold พร้อมกันเป็นโอกาสสำหรับการเทรดระยะสั้นในทิศทางขาขึ้น
Stochastic Oscillator ในกรอบเวลา 15 นาทีแสดงสัญญาณ bullish crossover โดย %K Line ได้ตัดขึ้นมาเหนือ %D Line ในโซน oversold การเคลื่อนไหวนี้มักจะนำไปสู่การ bounce ของราคาในระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นพร้อมกับการสนับสนุนจากระดับ technical support
MACD Histogram และ Momentum Shift
ในกรอบเวลา 30 นาที MACD Histogram เริ่มแสดงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง momentum โดยเริ่มลดความลึกของแท่งสีแดง และเริ่มมีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว การเปลี่ยนแปลงนี้มักจะเกิดขึ้นก่อนที่ราคาจะเปลี่ยนทิศทาง ทำให้เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าสำหรับการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มระยะสั้น
Fractal Analysis สำหรับ Swing Points
การวิเคราะห์ Fractal ในกรอบเวลาระยะสั้นช่วยในการระบุจุด swing high และ swing low ที่สำคัญ Up Fractal ล่าสุดเกิดขึ้นที่ระดับใกล้ 21,900 จุด ขณะที่ Down Fractal อยู่ที่ระดับ 21,680 จุด การเคลื่อนไหวระหว่างจุด Fractal เหล่านี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายภายในช่วงที่กำหนด
การที่ราคาสามารถกลับมาทดสอบระดับ Up Fractal และทำการ breakout ได้สำเร็จจะเป็นสัญญาณบวกสำหรับการต่อเนื่องของ momentum ขาขึ้น ในทางกลับกัน การที่ราคาทะลุลงมาต่ำกว่า Down Fractal อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดในระยะสั้น
การประสานสัญญาณจากทุก Timeframe
การวิเคราะห์แบบ multiple timeframe แสดงให้เห็นภาพรวมที่น่าสนใจ ในกรอบเวลาระยะยาว (D1) เทรนด์ยังคงเป็นบวกด้วยการสนับสนุนจาก Golden Cross ที่กำลังจะเกิดขึ้น ขณะที่กรอบเวลาระยะกลาง (H4-H1) แสดงสัญญาณของการฟื้นตัวของ momentum หลังจากการปรับตัวลงในช่วงสั้น
ในกรอบเวลาระยะสั้น (M15-M30) สัญญาณ oversold และ divergence patterns ให้โอกาสสำหรับการเทรดระยะสั้นในทิศทางขาขึ้น อย่างไรก็ตาม การขาดแคลน volume และ conviction ในการขับเคลื่อนราคาขึ้นสู่ระดับใหม่ยังคงเป็นความท้าทาย
ความสอดคล้องและความขัดแย้งของสัญญาณ
สัญญาณที่สอดคล้องกันคือ:
สัญญาณที่ขัดแย้งคือ:
การวิเคราะห์ทางเทคนิคโดยรวมแสดงให้เห็นถึงตลาดที่อยู่ในภาวะรอคอย (consolidation) โดยมีแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้นจากปัจจัยภายนอก นักเทรดควรใช้กลยุทธ์ที่ระมัดระวังและมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวสารที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด
ระดับจิตวิทยาและ Previous Resistance
ระดับ 21,900-22,000 จุดถือเป็นแนวต้านระยะใกล้ที่มีความสำคัญสูง โดยเฉพาะระดับ 22,000 จุดที่เป็นตัวเลขกลม (Round Number) ซึ่งมักจะทำหน้าที่เป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญ ในอดีตระดับนี้เคยทำหน้าที่เป็นแนวต้านหลายครั้ง และการที่ราคาไม่สามารถทะลุผ่านไปได้อย่างชัดเจนแสดงให้เห็นถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง
จากการวิเคราะห์ Volume Profile พบว่าในระดับ 21,950-22,000 จุดมีการสะสมของ volume ที่สูง ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นระดับที่นักลงทุนให้ความสำคัญ การที่มี volume concentration ในบริเวณนี้ทำให้เกิด supply zone ที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจต้องใช้ momentum ที่สูงกว่าปกติในการทะลุผ่าน
การวิเคราะห์ Fibonacci Resistance
จากการวิเคราะห์ Fibonacci Retracement ที่ลากจากจุดต่ำสุดของการปรับตัวลงล่าสุดไปยังจุดสูงสุด พบว่าระดับ 61.8% Fibonacci Retracement อยู่ที่ประมาณ 21,940 จุด ระดับนี้มักจะทำหน้าที่เป็นแนวต้านที่สำคัญ เนื่องจากเป็นระดับที่นักลงทุนมักจะเก็บกำไรหรือเข้าใหม่ในทิศทางตรงข้าม
ระดับ 78.6% Fibonacci อยู่ที่ประมาณ 21,985 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับระดับจิตวิทยา 22,000 จุด การที่ทั้ง Fibonacci level และ Round Number มาบรรจบกันในบริเวณเดียวกันทำให้ระดับนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์การเทรดที่ระดับนี้
สำหรับนักเทรดที่ต้องการเล่นใน short-term reversal สามารถพิจารณา short position เมื่อราคาเข้าใกล้ระดับ 21,950-22,000 จุด โดยใช้ stop loss ที่ระดับ 22,030 จุด และ take profit ที่ระดับ 21,800-21,850 จุด อัตราส่วน risk-reward ประมาณ 1:2 ซึ่งถือว่าเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม หากราคาสามารถทะลุผ่านระดับ 22,000 จุดได้ด้วย volume ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นสัญญาณบวกสำหรับการเคลื่อนไหวต่อไปยังระดับแนวต้านถัดไป
ระดับใกล้จุดสูงสุดตลอดกาลและ Historical Significance
ช่วงระดับ 22,000-22,100 จุดมีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากใกล้เคียงกับจุดสูงสุดตลอดกาลของ NASDAQ 100 ที่ 22,241 จุดซึ่งเกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2025 ระดับนี้ถือเป็น major resistance ที่มีนัยสำคัญทางจิตวิทยาและเทคนิค
การที่ดัชนีเคยทำจุดสูงสุดในระดับนี้แล้วปรับตัวลงมาแสดงให้เห็นถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจมาจากการเก็บกำไรของนักลงทุนระยะยาว หรือการเข้าสู่ตลาดของ short sellers ที่มองว่าระดับนี้เป็น overbought
Previous High กับ Supply Zone
จากการวิเคราะห์ price action ในอดีต พบว่าทุกครั้งที่ราคาเข้าใกล้ระดับ 22,100 จุดจะมีแรงขายเข้ามา ทำให้เกิด supply zone ที่แข็งแกร่ง การที่นักลงทุนจำได้ว่าระดับนี้เคยเป็นจุดสูงสุดทำให้มีการวางคำสั่งขายรอไว้ในบริเวณนี้
Volume analysis แสดงให้เห็นว่าในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวในระดับ 22,000-22,100 จุดมักจะมี volume เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ถึงการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขายที่รุนแรง
Measured Move Analysis
จากการวิเคราะห์ Measured Move โดยใช้การเคลื่อนไหวจากจุดต่ำสุดล่าสุดที่ประมาณ 21,400 จุดไปยังระดับแนวต้านแรกที่ 21,900 จุด ได้ระยะทางประมาณ 500 จุด การฉายระยะทางนี้จากระดับ 21,900 จุดจะได้เป้าหมายที่ประมาณ 22,400 จุด
อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางมีแนวต้านสำคัญที่ 22,100 จุดซึ่งอาจทำให้การเคลื่อนไหวชะลอตัวลงหรือเกิด consolidation ก่อนที่จะมี breakout ต่อไป
Elliott Wave Perspective
จากมุมมอง Elliott Wave Theory ระดับ 22,000-22,100 จุดอาจเป็นจุดสิ้นสุดของ Wave 3 ในรูปแบบ impulse wave ขาขึ้น หากเป็นเช่นนั้น อาจจะเกิด Wave 4 correction ที่นำราคากลับลงมาทดสอบระดับแนวรับก่อนที่จะมี Wave 5 ขึ้นไปทำจุดสูงใหม่
การวิเคราะห์นี้สอดคล้องกับการที่ตลาดมักจะมี healthy correction หลังจากการขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้ตลาดมีความแข็งแกร่งมากขึ้นสำหรับการเคลื่อนไหวในอนาคต
การทำ New All-Time High และ Psychological Barriers
ระดับ 22,200 จุดขึ้นไปถือเป็น uncharted territory ที่ไม่มี historical resistance มาก่อน การที่ราคาสามารถเคลื่อนไหวเข้าสู่บริเวณนี้ได้จะหมายถึงการทำ new all-time high ซึ่งมักจะดึงดูดความสนใจจากสื่อและนักลงทุนทั่วไป
จุดสูงสุดตลอดกาลปัจจุบันที่ 22,241 จุดจะทำหน้าที่เป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญ การทะลุผ่านระดับนี้ได้จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งมากสำหรับ bull market ที่ต่อเนื่อง
Measured Move Targets และ Extension Levels
การใช้ Fibonacci Extension จากการเคลื่อนไหวขาขึ้นล่าสุดจะได้เป้าหมายที่ระดับต่างๆ ดังนี้:
ระดับเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านทางเทคนิคในกรณีที่ราคาสามารถทะลุผ่าน all-time high ได้
Volume Requirements สำหรับ Breakout
การที่ราคาจะสามารถเคลื่อนไหวในระดับ 22,200+ จุดได้อย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมี volume ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วไปแล้วการทำ new all-time high ต้องมี volume มากกว่าค่าเฉลี่ย 20 วันอย่างน้อย 50-100%
การขาดแคลน volume ในการทะลุ all-time high มักจะนำไปสู่ false breakout และการกลับลงมาทดสอบระดับแนวรับภายหลัง ดังนั้นนักเทรดต้องใส่ใจกับ volume confirmation เป็นพิเศษ
Sector Rotation และ Market Leadership
ในกรณีที่ NASDAQ 100 สามารถทำ new all-time high ได้ จะต้องมีการนำโดยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ โดยเฉพาะ Magnificent 7 (Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet, Meta, Tesla, NVIDIA) ซึ่งมีน้ำหนักสูงในดัชนี
หากมีเพียงบางหุ้นที่ขับเคลื่อนดัชนีขึ้นไปทำจุดสูงใหม่ ขณะที่หุ้นส่วนใหญ่ยังล้าหลัง (lack of market breadth) อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า rally นี้ไม่ยั่งยืน
ลำดับความสำคัญของแต่ละระดับ
กลยุทธ์การเทรดเมื่อทดสอบแนวต้าน
สำหรับ Resistance Trading:
สำหรับ Breakout Trading:
การบริหารความเสี่ยง:
การวิเคราะห์แนวต้านแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่ NASDAQ 100 เผชิญในการเคลื่อนไหวขึ้นสู่ระดับใหม่ อย่างไรก็ตาม หากสามารถทะลุระดับสำคัญเหล่านี้ได้ด้วย volume และ breadth ที่เพียงพอ จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งสำหรับการต่อเนื่องของ bull market ในระยะต่อไป
บริเวณเส้น Moving Average Convergence
ระดับ 21,700-21,730 จุดถือเป็นแนวรับระยะใกล้ที่มีความสำคัญสูงสุดสำหรับ NASDAQ 100 ในปัจจุบัน บริเวณนี้เป็นจุดบรรจบของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลายเส้น ได้แก่ SMA 20, SMA 50 และในบางช่วงเวลา SMA 100 ก็เข้ามาให้การสนับสนุนในระดับใกล้เคียงกัน
การที่เส้น Moving Average หลายเส้นมาบรรจบกันในบริเวณเดียวกันทำให้เกิด “Moving Average Support Cluster” ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการหยุดการปรับตัวลงของราคา ในอดีตที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ราคาปรับตัวลงมาทดสอบบริเวณนี้ มักจะเกิด bounce ขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของระดับนี้
VWAP Support และความสำคัญ
VWAP ในช่วงการวิเคราะห์เคลื่อนไหวในระดับ 21,780-21,890 จุด โดยในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง VWAP มักจะลดลงมาใกล้ระดับ 21,750-21,780 จุด ซึ่งอยู่ในช่วงแนวรับที่กำหนด การที่ราคาสามารถซื้อขายเหนือ VWAP แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนสถาบัน
ในมุมมองของ institutional traders, VWAP เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการประเมินว่าพวกเขาซื้อขายในราคาที่ดีกว่าหรือแย่กว่าค่าเฉลี่ยของตลาด การที่ราคาไม่สามารถลงต่ำกว่า VWAP ได้นานๆ บ่งชี้ว่ามี buying interest ที่แข็งแกร่งในระดับนั้น
Value Area Low (VAL) Analysis
จากการวิเคราะห์ Volume Profile, Value Area Low (VAL) อยู่ที่ระดับ 21,703.62 จุด ซึ่งอยู่ในช่วงแนวรับที่กำหนด VAL แสดงถึงระดับราคาต่ำสุดที่ยังอยู่ในช่วงที่มีการซื้อขาย 70% ของปริมาณรวม การที่ราคาลงไปต่ำกว่า VAL จะถือว่าเข้าสู่โซนที่ “undervalued” ซึ่งมักจะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อ
ประวัติศาสตร์การซื้อขายแสดงให้เห็นว่าเมื่อราคาลงไปทดสอบ VAL มักจะมี buying pressure เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนมองว่าได้ราคาที่ attractive มากขึ้น
กลยุทธ์การซื้อที่แนวรับนี้
สำหรับนักเทรดที่ต้องการซื้อที่แนวรับ สามารถพิจารณา long position เมื่อราคาเข้าใกล้ระดับ 21,700-21,720 จุด โดยใช้ stop loss ที่ระดับ 21,670 จุด และ take profit ที่ระดับ 21,820-21,850 จุด ซึ่งจะได้อัตราส่วน risk-reward ประมาณ 1:3
สัญญาณ confirmation ที่ควรรอ ได้แก่:
Previous Support Turned Resistance Analysis
ระดับ 21,600-21,650 จุดเป็นบริเวณที่เคยทำหน้าที่เป็นแนวต้านในอดีต ตาม concept ของ “Support and Resistance Role Reversal” เมื่อราคาทะลุผ่านระดับแนวต้านเดิมได้แล้ว ระดับนั้นมักจะกลายมาเป็นแนวรับใหม่ การทดสอบระดับนี้จึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ
จากการวิเคราะห์ price action ในอดีต พบว่าระดับ 21,620-21,640 จุดเคยเป็นจุดที่มีการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขายอย่างรุนแรง ซึ่งสะท้อนในปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อราคาเคลื่อนไหวในบริเวณนี้
Fibonacci Support Levels
การใช้ Fibonacci Retracement จากจุดต่ำสุดล่าสุดไปยังจุดสูงสุดจะได้ระดับ 38.2% Fibonacci ที่ประมาณ 21,630 จุด ระดับนี้มักจะทำหน้าที่เป็นแนวรับที่สำคัญใน healthy uptrend เนื่องจาก correction ที่ไม่ลึกเกิน 38.2% ถือว่าเป็นสัญญาณของ trend ที่แข็งแกร่ง
ระดับ 50% Fibonacci อยู่ที่ประมาณ 21,590 จุด ซึ่งหากราคาปรับตัวลงมาทดสอบระดับนี้จะถือว่าเป็นการ correction ที่ปกติและยังไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์
SMA 100 และ SMA 200 Support
ในกรอบเวลารายวัน SMA 100 เคลื่อนไหวอยู่ในระดับประมาณ 21,580-21,620 จุด ขณะที่ SMA 200 อยู่ในระดับ 21,520-21,560 จุด เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาวเหล่านี้มักจะทำหน้าที่เป็นแนวรับที่สำคัญสำหรับการรักษาเทรนด์ขาขึ้นระยะยาว
การที่ราคาสามารถอยู่เหนือ SMA 100 และ SMA 200 ได้อย่างต่อเนื่องเป็นสัญญาณบวกของ bull market ในทางกลับกัน การที่ราคาทะลุลงมาต่ำกว่าเส้นเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด
Volume Profile Analysis ในระดับนี้
จากการวิเคราะห์ Volume Profile พบว่าในระดับ 21,600-21,650 จุดมี volume node ที่สำคัญ แม้ว่าจะไม่ได้เป็น Point of Control แต่การมี volume concentration ในบริเวณนี้แสดงให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนที่จะซื้อขายในระดับราคานี้
ประวัติศาสตร์การซื้อขายแสดงให้เห็นว่าเมื่อราคาเข้ามาในบริเวณนี้มักจะมีการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการตัดสินใจของนักลงทุนที่จะเข้าหรือออกจากตลาดในระดับราคาที่พวกเขาเห็นว่า fair value
Major Trend Line Support
ระดับ 21,400-21,500 จุดเป็นบริเวณที่มี major trend line support ที่ลากได้จากจุดต่ำสุดสำคัญในอดีต การที่ราคาปรับตัวลงมาทดสอบระดับนี้จะถือเป็น major test ของ bull trend ที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้นปี 2025
Trend line นี้มี slope ที่เป็นบวก แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ยั่งยืน การที่เส้น trend line ถูกทดสอบหลายครั้งแล้วและยังคงอยู่ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว
Critical Level สำหรับ Bullish Trend
หากราคา NASDAQ 100 ปรับตัวลงมาทดสอบระดับ 21,400-21,500 จุด จะถือเป็นการทดสอบ critical support ที่จะกำหนดทิศทางของตลาดในระยะกลางถึงระยะยาว การที่ราคาสามารถ hold ได้ที่ระดับนี้จะยืนยันความแข็งแกร่งของ bull market
ในทางกลับกัน การที่ราคาทะลุลงมาต่ำกว่าระดับนี้ด้วย volume ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดจากขาขึ้นเป็นขาลง หรืออย่างน้อยก็เข้าสู่ระยะ consolidation ที่ยาวนานขึ้น
200-Period Moving Average Confluence
ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า (เช่น H4 หรือ H1) SMA 200 มักจะมาบรรจบกับระดับ 21,450-21,480 จุด การมาบรรจบกันของ trend line support และ long-term moving average ทำให้ระดับนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้น
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า SMA 200 มักจะทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในระหว่าง bull market และการที่ราคาสามารถ bounce จากระดับนี้ได้จะเป็นสัญญาณบวกสำหรับการต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น
Measured Move Support Calculation
จากการคำนวณ Measured Move โดยใช้การเคลื่อนไหวขาลงจากจุดสูงสุดล่าสุดไปยังระดับแนวรับแรก ได้ระยะทางประมาณ 300-400 จุด การฉายระยะทางนี้จากระดับแนวรับแรกจะได้เป้าหมายที่ระดับประมาณ 21,300-21,450 จุด
การคำนวณนี้ช่วยให้นักเทรดมีจุดอ้างอิงสำหรับการ worst-case scenario ในกรณีที่ตลาดปรับตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
Elliott Wave Perspective
จากมุมมอง Elliott Wave Theory ระดับ 21,400-21,500 จุดอาจเป็นจุดสิ้นสุดของ Wave 4 correction ในรูปแบบ impulse wave ขาขึ้น หาก correction หยุดในระดับนี้และ bounce ขึ้นได้ จะเป็นการเตรียมตัวสำหรับ Wave 5 ที่จะนำราคาขึ้นไปทำจุดสูงใหม่
ตาม Elliott Wave guideline, Wave 4 มักจะไม่ลึกเกิน 61.8% ของ Wave 3 และมักจะหยุดที่ระดับของ Wave 1 high ซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์ระดับแนวรับในบริเวณนี้
ระดับ Stop Loss ที่เหมาะสม
จากการวิเคราะห์แนวรับทั้ง 3 ระดับ นักเทรดสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการกำหนด stop loss ที่เหมาะสม:
การกำหนด stop loss ไว้ต่ำกว่าระดับแนวรับเล็กน้อยช่วยป้องกัน false breakdown และให้ time frame พอสมควรสำหรับการทำงานของแนวรับ
Risk-Reward Scenarios ในการซื้อที่แนวรับ
Scenario 1: ซื้อที่แนวรับระยะใกล้ (21,700-21,720 จุด)
Scenario 2: ซื้อที่แนวรับระยะกลาง (21,600-21,630 จุด)
Scenario 3: ซื้อที่แนวรับระยะไกล (21,450-21,480 จุด)
การใช้ Multiple Entry Strategy
นักเทรดขั้นสูงสามารถใช้กลยุทธ์ multiple entry โดยการแบ่ง position เป็น 3 ส่วน:
กลยุทธ์นี้ช่วยให้นักเทรดสามารถ average down ได้อย่างมีระบบและลดความเสี่ยงจากการเข้าครั้งเดียวในจุดที่ไม่ถูกต้อง
Confirmation Signals ที่ควรรอ
ก่อนการตัดสินใจซื้อที่แนวรับใดๆ นักเทรดควรรอสัญญาณยืนยันดังนี้:
การวิเคราะห์แนวรับแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างการสนับสนุนที่แข็งแกร่งสำหรับ NASDAQ 100 โดยมีระดับแนวรับที่ชัดเจนในหลายระดับ ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างเป็นระบบและมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม การใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการเทรด NASDAQ 100 อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณสำหรับการแก้ไข ผมจะปรับปรุงเวลาใน Section 6 ให้เป็นเวลาประเทศไทย (GMT+7) ดังนี้:
วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2025: PMIs และข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์
การประกาศ S&P Global PMIs สำหรับเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) ในเวลา 21:45 น. (เวลาประเทศไทย) จะเป็นตัวชี้วัดแรกของสัปดาห์ที่แสดงให้เห็นถึงสภาวะของภาคธุรกิจ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อทั้งภาคการผลิตและบริการจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
สำหรับ NASDAQ 100 ข้อมูล PMI มีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทั้งภาคการผลิต (hardware) และบริการ (software, cloud services) หาก PMI แสดงการขยายตัวที่แข็งแกร่ง (เหนือ 50) จะเป็นสัญญาณบวกสำหรับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการเทคโนโลยี
ยอดขายบ้านมือสองในเวลา 22:00 น. (เวลาประเทศไทย) จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการใช้จ่าย การที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงแข็งแกร่งจะสนับสนุนการใช้จ่ายสำหรับสินค้าเทคโนโลยี เช่น home automation, smart appliances และ home office equipment
วันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2025: CPI และ Fed Testimony
วันอังคารจะเป็นวันที่สำคัญที่สุดของสัปดาห์สำหรับตลาดการเงิน ด้วยการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤษภาคมในเวลา 20:30 น. (เวลาประเทศไทย) CPI เป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ และมีผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายการเงินของ Fed
สำหรับหุ้นเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของ CPI มีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจาก:
บัญชีเดินสะพัด (ไตรมาส 1) ในเวลา 20:30 น. (เวลาประเทศไทย) จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศและการลงทุน
ดัชนีราคาบ้าน S&P CoreLogic Case-Shiller (เมษายน) และดัชนีราคาบ้าน FHFA (เมษายน) ในเวลา 21:00 น. (เวลาประเทศไทย) จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conference Board (มิถุนายน) และการรายงานนโยบายการเงินกึ่งปีของประธาน Fed ต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินสภาผู้แทนราษฎรในเวลา 22:00 น. (เวลาประเทศไทย) จะให้ความกระจ่างเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในระยะต่อไป คำพูดของ Jerome Powell จะถูกวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
วันพุธที่ 25 มิถุนายน 2025: ข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยและ Fed Testimony ต่อ
ยอดขายบ้านใหม่ในเวลา 22:00 น. (เวลาประเทศไทย) จะเป็นข้อมูลสำคัญอีกตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ร่วมกับการรายงานนโยบายการเงินกึ่งปีของประธาน Fed ต่อคณะกรรมาธิการการธนาคาร ที่อยู่อาศัย และกิจการเมืองของวุฒิสภา
การที่ประธาน Fed ต้องไปรายงานต่อทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในวันที่ติดต่อกันจะให้โอกาสสำหรับการชี้แจงและการตอบคำถามที่ครอบคลุมมากขึ้น นักลงทุนจะฟังอย่างใกล้ชิดเพื่อหาความสอดคล้องในข้อความและแนวทางการตอบคำถาม
วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2025: GDP และข้อมูลเศรษฐกิจครอบคลุม
วันพฤหัสบดีจะมีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญหลายตัว โดยเฉพาะ GDP ไตรมาส 1 (ประมาณการครั้งที่ 3), รายงานตัวชี้วัดเศรษฐกิจล่วงหน้า (พฤษภาคม), คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (พฤษภาคม), และ GDP ตามอุตสาหกรรม (ไตรมาส 1) ในเวลา 20:30 น. (เวลาประเทศไทย)
ข้อมูลล่าสุดแสดงการหดตัว 0.2% ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบสามปี สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าและการลดลงของการใช้จ่ายของรัฐบาล หาก GDP ฉบับสมบูรณ์แสดงการปรับปรุงจากประมาณการครั้งที่ 2 จะเป็นสัญญาณบวกสำหรับตลาด
ยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย (พฤษภาคม) ในเวลา 22:00 น. (เวลาประเทศไทย) และการสำรวจความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่สินเชื่ออาวุโส (กรกฎาคม) ในเวลา 02:00 น. (เวลาประเทศไทย วันศุกร์) จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพตลาดสินเชื่อและอสังหาริมทรัพย์
คำสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนพฤษภาคมจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของภาคธุรกิจ ซึ่งมีผลต่อความต้องการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ IT สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพ
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2025: PCE และความเชื่อมั่นผู้บริโภค
การประกาศรายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนพฤษภาคม รวมถึงดัชนีราคา PCE ในเวลา 20:30 น. (เวลาประเทศไทย) จะเป็นข้อมูลสำคัญที่สุดของสัปดาห์สำหรับ Fed PCE เป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญมากที่สุด
ข้อมูลล่าสุดแสดงว่า PCE เดือนเมษายน 2025 อยู่ที่ +2.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และ Core PCE อยู่ที่ +2.5% Fed คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อ PCE จะอยู่ที่ประมาณ 3.0% ในปี 2025 การเปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์นี้จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาด
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (มิถุนายน ฉบับสมบูรณ์) ในเวลา 22:00 น. (เวลาประเทศไทย) จะเป็นข้อมูลปิดท้ายของสัปดาห์
Sensitivity Analysis ของหุ้นเทคโนโลยีต่อ Interest Rate Changes
หุ้นเทคโนโลยีใน NASDAQ 100 มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นในภาคอื่นๆ เนื่องจากลักษณะเฉพาะดังนี้:
การวิเคราะห์ผลกระทบจาก Fed Policy
การที่ Fed คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 3.9% ในปี 2025 และลดลงเหลือประมาณ 3.6% ในปีถัดไปสร้างสภาพแวดล้อมที่ท้าทายสำหรับหุ้นเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม การที่มีความชัดเจนในแนวทางนโยบายจะช่วยลดความไม่แน่นอน
หากข้อมูล PCE ในวันที่ 27 มิถุนายนแสดงการลดลงของเงินเฟ้อมากกว่าที่คาดการณ์ อาจเปิดโอกาสให้ Fed พิจารณาลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณบวกอย่างมากสำหรับหุ้นเทคโนโลยี
สถานะปัจจุบันของ Magnificent 7
แม้ว่าจะไม่มีการประกาศผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ในสัปดาห์หน้า แต่การวิเคราะห์สถานะปัจจุบันของบริษัทชั้นนำใน NASDAQ 100 แสดงให้เห็นภาพรวมที่หลากหลาย:
Apple (AAPL): ยังคงเผชิญความท้าทายจากผลกระทบของภาษีนำเข้าและความไม่แน่นอนในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับทั้งการผลิตและการขาย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของ ecosystem และ services business ยังคงเป็นจุดแข็ง
Microsoft (MSFT): การเติบโตของบริการคลาวด์ Azure และการลงทุนด้าน AI ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก การที่บริษัทสามารถรักษาการเติบโตของ cloud business ได้อย่างต่อเนื่องทำให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงที่มีความไม่แน่นอน
Amazon (AMZN): นักวิเคราะห์จับตาผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อต้นทุนและราคาสินค้า อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ AWS และการขยายตัวของ advertising business ยังคงเป็นจุดแข็งที่สำคัญ
Alphabet (GOOGL): หุ้นซื้อขายที่ระดับต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงประมาณ 28% ตามการประเมินของนักวิเคราะห์บางราย ทำให้เป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะจากความแข็งแกร่งของธุรกิจค้นหาและ YouTube
NVIDIA (NVDA): ยังคงเป็นผู้นำในตลาดชิปประมวลผล AI แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI การที่ความต้องการ AI ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งทำให้ NVIDIA ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
Meta Platforms (META): การเติบโตของรายได้โฆษณาและการลงทุนในเทคโนโลยี AI รวมถึงความคืบหน้าใน metaverse จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม
Tesla (TSLA): ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% ในเดือนพฤษภาคม 2025 และยังคงมีอิทธิพลสูงต่อภาคผู้บริโภค การพัฒนา autonomous driving และการขยายตัวในตลาดจีนจะเป็นปัจจัยสำคัญ
การวิเคราะห์ Sector Rotation
ในปัจจุบันมีสัญญาณของ sector rotation จาก growth stocks ไปสู่ value stocks ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการ performance ของ NASDAQ 100 ที่มี growth bias สูง อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อลดลงและ Fed มีท่าทีที่ dove มากขึ้น อาจเกิด rotation กลับสู่ technology stocks
การวิเคราะห์ COT Report ล่าสุด
ข้อมูล Commitment of Traders ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2025 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของ positioning:
Non-Commercial Traders (นักเก็งกำไร):
Commercial Traders (ผู้ป้องกันความเสี่ยง):
การตีความ COT Data
ความแตกต่างระหว่าง positioning ของ Non-Commercial และ Commercial traders สะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกัน:
Institutional Money Flow Analysis
ข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันในเดือนเมษายน 2025 แสดงเงินไหลออก 46 พันล้านดอลลาร์จาก mutual funds และ ETFs ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023
การไหลออกของเงินลงทุนสถาบันอาจสะท้อน:
การวิเคราะห์ Market Valuation
ตามการประเมินของ Morningstar ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซื้อขายที่ระดับส่วนลด 3% จากมูลค่าที่แท้จริง โดยมีการแนะนำ:
การวิเคราะห์นี้บ่งชี้ว่า growth stocks รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีส่วนใหญ่ใน NASDAQ 100 อาจซื้อขายในระดับที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้น
Forward-Looking Indicators
หลายตัวชี้วัดชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในระยะข้างหน้า:
ความเสี่ยงในระยะสั้น:
โอกาสในระยะกลาง:
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแสดงให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมที่ท้าทายแต่มีโอกาสสำหรับ NASDAQ 100 ความสำคัญของข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะ CPI และ PCE จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดในระยะสั้น ขณะที่ปัจจัยโครงสร้างระยะยาว เช่น การเติบโตของ AI และการ digital transformation ยังคงสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาว
Entry/Exit Techniques ใช้ RSI Oversold Bounce
สำหรับนักเทรดที่ต้องการทำ scalping ใน NASDAQ 100 การใช้ RSI oversold bounce เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในกรอบเวลา 5-15 นาที ขณะนี้ RSI ใน 15 นาทีแสดงสัญญาณ oversold ที่ชัดเจน โดย CCI indicator อยู่ต่ำกว่า -100
Setup การเทรด:
การใช้ VWAP เป็น Reference สำหรับ Directional Bias
VWAP ในช่วงการวิเคราะห์เคลื่อนไหวในระดับ 21,780-21,890 จุด ทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดทิศทางหลัก:
Trade Management สำหรับ Scalping:
Best Trading Hours:
Breakout Trading จาก Key Levels
กลยุทธ์ breakout trading ใน NASDAQ 100 มีประสิทธิภาพสูงเมื่อใช้ในกรอบเวลา 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะ consolidation รอบระดับสำคัญ
Bullish Breakout Strategy:
Bearish Breakdown Strategy:
Mean Reversion Plays ที่ Value Area Edges
Value Area ปัจจุบันอยู่ระหว่าง 21,703.62 จุด (VAL) ถึง 21,887.72 จุด (VAH):
Mean Reversion จาก VAH:
Mean Reversion จาก VAL:
Trend Following หลัง Moving Average Confirmation
การวิเคราะห์ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงและรายวันแสดงให้เห็นโอกาสสำหรับ swing trading ที่ยั่งยืน:
Long Position Setup:
Short Position Setup (หาก trend เปลี่ยน):
Position Sizing ตาม VIX Levels
การกำหนดขนาด position ให้สอดคล้องกับระดับความผันผวนของตลาด:
VIX 15-20 (Low Volatility):
VIX 20-25 (Medium Volatility):
VIX 25+ (High Volatility):
ปัจจุบัน VIX อยู่ในระดับ 20-21 ซึ่งอยู่ในโซน Medium Volatility
Long-term Accumulation Zones
สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองว่า NASDAQ 100 ยังคงอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น การสะสมใน accumulation zones จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว:
Primary Accumulation Zone: 21,400-21,600 จุด
Secondary Accumulation Zone: 21,650-21,750 จุด
Long-term Price Targets:
Hedging Strategies ใช้ Intermarket Relationships
การใช้ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเพื่อป้องกันความเสี่ยง:
Currency Hedge (DXY):
Interest Rate Hedge (TLT):
Commodity Hedge (Gold/Oil):
Diversification Strategy:
Position Sizing ตาม Market Volatility
Kelly Criterion Application: ใช้สูตร Kelly สำหรับการคำนวณ optimal position size:
Risk per Trade Guidelines:
Maximum Portfolio Risk:
Stop Loss Placement และ Trailing Techniques
Static Stop Loss:
Dynamic Trailing Stop:
Time-based Stops:
Portfolio Diversification Considerations
Sector Diversification:
Geographic Diversification:
Market Cap Diversification:
Timeframe Diversification:
Risk Monitoring และ Review Process
Daily Risk Checks:
Weekly Portfolio Review:
Monthly Strategy Review:
Emergency Exit Protocols:
Market Crash Protocol (VIX > 30):
Black Swan Event Protocol:
Performance Metrics ที่ต้องติดตาม:
Return Metrics:
Risk Metrics:
Behavioral Guidelines:
Emotional Control:
Discipline Framework:
การปฏิบัติตาม risk management guidelines เหล่านี้จะช่วยให้นักเทรดสามารถรักษาทุนและสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาด NASDAQ 100 มีความผันผวนสูงจากปัจจัยภายนอกต่างๆ การมี discipline ในการบริหารความเสี่ยงจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในการเทรดและการลงทุน
การวิเคราะห์ครอบคลุมของ NASDAQ 100 ในช่วงวันที่ 16-21 มิถุนายน 2025 เผยให้เห็นภาพรวมของตลาดที่อยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งมีทั้งโอกาสและความท้าทายที่นักเทรดและนักลงทุนต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้
ประเด็นสำคัญจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค:
ประเด็นสำคัญจากปัจจัยพื้นฐาน:
Intermarket Relationships ที่สำคัญ:
แนวโน้มระยะสั้น (1-4 สัปดาห์):
ตลาด NASDAQ 100 น่าจะอยู่ในภาวะ consolidation รอบระดับ 21,700-22,000 จุด โดยรอปัจจัยกระตุ้นจากข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ การที่ราคาอยู่ในช่วง Value Area และใกล้เคียงกับ Point of Control บ่งชี้ว่าตลาดกำลังหาจุดสมดุลใหม่
ปัจจัยบวกระยะสั้น:
ปัจจัยลบระยะสั้น:
แนวโน้มระยะกลาง (1-3 เดือน):
หากสามารถทะลุระดับ 22,000 จุดได้อย่างมั่นคง ตลาดมีโอกาสเคลื่อนไหวไปยังระดับ 22,350-22,500 จุดตาม Fibonacci extension targets ในทางกลับกัน หากไม่สามารถ hold ระดับแนวรับสำคัญได้ อาจเกิดการปรับตัวลงไปยัง 21,400-21,500 จุด
แนวโน้มระยะยาว (6-12 เดือน):
เทรนด์ขาขึ้นระยะยาวยังคงครอบงำด้วยการสนับสนุนจาก:
Price Targets ระยะยาว:
ความเสี่ยงระดับสูง (High Impact, High Probability):
ความเสี่ยงระดับกลาง (Medium Impact, Medium Probability):
ความเสี่ยงระดับต่ำ (Low Impact หรือ Low Probability):
สำหรับ Short-term Traders (Scalping และ Day Trading):
สำหรับ Swing Traders:
วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน:
วันอังคารที่ 24 มิถุนายน:
วันพุธที่ 25 มิถุนายน:
วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน:
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน:
ข้อแนะนำสำหรับการเตรียมตัว:
NASDAQ 100 กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องการความระมัดระวังและการเตรียมตัวที่ดี แม้ว่าเทรนด์ระยะยาวยังคงเป็นบวก แต่ความท้าทายในระยะสั้นจากปัจจัยภายนอกต้องการการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด
นักเทรดและนักลงทุนที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดปัจจุบัน ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานอย่างผสมผสาน และมี discipline ในการบริหารความเสี่ยงจะมีโอกาสสูงในการประสบความสำเร็จและสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนใน NASDAQ 100 ในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้
ความสำเร็จในการเทรดไม่ได้มาจากการทำนายตลาดได้อย่างแม่นยำ แต่มาจากการเตรียมตัวที่ดี มีแผนการที่ชัดเจน และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้อย่างเข้มงวด ในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นปัจจุบัน การรักษาทุนถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญไม่แพ้การทำกำไร