หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดการเงินโลกเผชิญความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางความกังวลที่ต่อเนื่องเกี่ยวกับระดับเงินเฟ้อที่ยังคงสูงและการปรับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักทั่วโลก นักลงทุนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ยังคงระมัดระวังในการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินไปก่อนหน้านี้
ตลาดทองคำยังคงเป็นจุดสนใจของนักลงทุน โดยรักษาระดับราคาเหนือ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับประวัติการณ์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ ด้านตลาด Forex แสดงความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับทิศทางของดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินยูโรและปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยน
ตลาดน้ำมันยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมัน ราคาน้ำมันดิบ Brent พยายามรักษาระดับเหนือ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ยังคงมีแนวโน้มปรับฐานลงในระยะสั้น ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังคงดำเนินอยู่อาจสร้างความผันผวนให้กับราคาน้ำมันได้ตลอดเวลา
ในด้านตลาดหุ้น ดัชนีหลักทั้งในสหรัฐฯ และยุโรปแสดงสัญญาณการปรับฐานหลังจากทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดเอเชียมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัว โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการล่าสุดปรับตัวดีขึ้นเกินคาด
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดในสัปดาห์นี้ ได้แก่:
1. การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เมื่อวันที่ 18-19 มีนาคม ที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25%-4.50% และส่งสัญญาณว่าจะไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคม
2. การเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดย Core PCE MoM มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 0.2% เป็น 0.3% สะท้อนถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่
3. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด สะท้อนความกังวลของผู้บริโภคต่อสภาวะเศรษฐกิจ
4. PMI ภาคการผลิตและบริการของจีนที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเชีย
5. อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีที่ปรับตัวลดลงเป็น 2.9% จากเดิม 3.3% ในเดือนก่อน เพิ่มโอกาสที่ ECB จะลดดอกเบี้ยต่อในเดือนเมษายน
สัปดาห์ที่ผ่านมายังมีการประกาศการปรับพิเศษสวอปดัชนี CFD ในช่วง 1-3 เมษายน 2568 ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการถือครองสถานะข้ามคืนและอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดในช่วงต้นสัปดาห์หน้า
โดยสรุป ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาเผชิญกับความผันผวนสูงจากปัจจัยทั้งในด้านนโยบายการเงิน ตัวเลขเศรษฐกิจ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนควรติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์ถัดไป โดยเฉพาะรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ของสหรัฐฯ ซึ่งจะเปิดเผยในวันที่ 4 เมษายน ที่อาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของ Fed และกระทบต่อตลาดการเงินโลกในระยะต่อไป
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 18-19 มีนาคม Fed ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25%-4.50% ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ประธาน Fed เจอโรม พาวเวล แสดงความเห็นว่าคณะกรรมการยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ Fed ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อขึ้น สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
Fed ยังได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening) โดยลดเพดานการไถ่ถอนพันธบัตรรัฐบาลรายเดือนจาก 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือเพียง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน และอาจทำให้การปรับลดงบดุลยาวนานถึงต้นปี 2569
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด ไม่ได้ระบุแผนการชัดเจนสำหรับการประชุมในเดือนเมษายน ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีได้ลดลงเป็น 2.9% จากเดิม 3.3% ในเดือนก่อน ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสที่ ECB จะลดดอกเบี้ยต่อในเดือนเมษายน
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงเป็นที่จับตามองหลังจากการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมกราคม 2568 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 17 ปี นักวิเคราะห์คาดว่า BOJ จะประเมินผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยล่าสุดอย่างน้อย 6 เดือนก่อนพิจารณาการปรับเพิ่มครั้งต่อไป
ดัชนีราคา PCE สหรัฐฯ (28 มีนาคม) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ แสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ปรับตัวขึ้น 0.4% MoM และ 2.8% YoY สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 0.1% ข้อมูลนี้สร้างแรงกดดันให้ Fed ต้องชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นทันทีหลังการประกาศตัวเลข
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ (28 มีนาคม) จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนอยู่ที่ 57.0 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 57.9 ขณะที่ดัชนีของ Conference Board อยู่ที่ 92.9 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของผู้บริโภคต่อสภาวะเศรษฐกิจและภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น
PMI ภาคการผลิตและบริการของจีน (31 มีนาคม) แสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดย PMI ภาคการผลิตปรับตัวขึ้นเป็น 50.2 จากเดิม 49.1 กลับเข้าสู่เขตขยายตัว (เหนือระดับ 50) เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ขณะที่ PMI ภาคบริการอยู่ที่ 53.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ตัวเลขนี้ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเชียและสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับการค้ากับจีน เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย
อัตราเงินเฟ้อเยอรมนี (31 มีนาคม) ตามมาตรฐาน HICP ลดลงเป็น 2.9% YoY จาก 3.3% ในเดือนก่อน และเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเป็น 2.7% จาก 3.1% แนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดลงนี้เพิ่มโอกาสที่ ECB จะลดดอกเบี้ยต่อในเดือนเมษายน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมัน 10 ปี ลดลง 5 เบสิสพอยต์สู่ 2.10%
EUR/USD อ่อนค่าลงมาถึงระดับ 1.0737 หลังจากตัวเลข Core PCE ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด เนื่องจากตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในไตรมาส 2/2568 อย่างไรก็ตาม คู่เงินนี้ได้รับแรงหนุนชั่วคราวจากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ ปรับตัวขึ้นสู่ 1.0780 ก่อนที่จะลดลงอีกครั้งเป็น 1.0720 หลังการประกาศอัตราเงินเฟ้อเยอรมนีที่ลดลง
USD/JPY แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 150.44 (+0.5%) หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เยนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
GBP/USD เคลื่อนไหวในลักษณะคล้ายกับ EUR/USD โดยลดลงสู่ระดับ 1.2864 หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ แต่ได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นที่มีต่อเศรษฐกิจอังกฤษที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 4/2567 (ประมาณการครั้งสุดท้าย) ของอังกฤษในวันที่ 28 มีนาคม เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของปอนด์
AUD/USD ปรับตัวขึ้นสู่ 0.6620 (+0.6%) หลังจากตัวเลข PMI ของจีนที่ดีขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจออสเตรเลียมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน
ในช่วงวันที่ 1-3 เมษายน 2568 จะมีการปรับพิเศษสวอปดัชนี CFD ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการถือครองสถานะข้ามคืน โดยเฉพาะดัชนี HK50 และ US500 มีการเปลี่ยนแปลงค่าสวอปอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เทรดเดอร์เร่งปิดสถานะ Long ดัชนีหุ้นก่อนวันที่ 1 เมษายน ทำให้ดัชนี EU50 CFD ปรับตัวลง 0.6% นักลงทุนควรระมัดระวังและวางแผนบริหารต้นทุนสวอปในช่วงเวลาดังกล่าว โดยอาจพิจารณาใช้บัญชี PRO ของ FXGT เพื่อลดต้นทุนสวอปผ่านเลเวอเรจที่เหมาะสม
1. รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ของสหรัฐฯ (4 เมษายน) คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 64.5K ตัวเลขนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของ Fed เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด อาจเพิ่มแรงกดดันให้ Fed ต้องเร่งลดดอกเบี้ย
2. ISM Manufacturing PMI ของสหรัฐฯ (1 เมษายน) คาดการณ์ไว้ที่ 49.6 ต่ำกว่าเกณฑ์ขยายตัว 50 ซึ่งหากเป็นไปตามคาด จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ
3. German Manufacturing PMI (1 เมษายน) คาดการณ์ปรับขึ้นเป็น 48.3 จาก 46.5 แม้ยังอยู่ในเขตหดตัว ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มค่าเงินยูโรและนโยบายของ ECB
4. ADP Nonfarm Employment Change ของสหรัฐฯ (2 เมษายน) คาดการณ์อยู่ที่ 118K เพิ่มขึ้นจาก 77K ในเดือนก่อน เป็นตัวชี้วัดสำคัญล่วงหน้าก่อนรายงาน NFP
5. Trade Balance ของสหรัฐฯ (3 เมษายน) คาดขาดดุลลดลงเหลือ -121.5B จาก -131.4B ซึ่งอาจหนุนค่าเงินดอลลาร์หากปรับปรุงดีกว่าคาด
นักลงทุนควรติดตามเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบสำคัญต่อทิศทางของตลาดการเงินในระยะสั้นและนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก
ราคาทองคำ (XAU/USD) ยังคงรักษาระดับเหนือจุดสำคัญที่ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง (Real Yield) ที่ปรับตัวลดลง โดยปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำมาจากการที่นักลงทุนคาดการณ์เงินเฟ้อในระดับสูงกว่าที่คาดไว้
ในช่วงปลายสัปดาห์ ราคาทองคำกลับมาเผชิญแรงขายหลังจากการเปิดเผยตัวเลข Core PCE ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาดที่ 2.8% เทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้ราคาร่วงลงชั่วคราวสู่ระดับ 3,005 ดอลลาร์ (-0.8%) ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาจากความกังวลที่เงินเฟ้อยังคงสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทองคำยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ตลาดยังคงคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2568 ที่ประมาณ 64.5 เบสิสพอยต์ ซึ่งสะท้อนความคาดหวังว่าธนาคารกลางอาจต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัจจัยนี้เป็นแรงสนับสนุนราคาทองคำในระยะยาว เนื่องจากการลดดอกเบี้ยมักส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
ในด้านความเคลื่อนไหวของราคา ทองคำมีการทดสอบแนวรับที่ 2,999 ดอลลาร์ในช่วงกลางสัปดาห์ และคาดว่าจะมีการปรับฐานขึ้นไปที่ 3,023 ดอลลาร์ ก่อนที่จะปรับตัวลงอีกครั้งไปที่ 2,990 ดอลลาร์ ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นมาปิดสัปดาห์ที่ระดับ 3,030 ดอลลาร์ (+0.5%) โดยได้รับแรงหนุนจากสถานะ Safe Haven ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดหุ้น
ข้อมูลเพิ่มเติมจากตลาด Gold Futures พบว่านักลงทุนสถาบันได้เพิ่มสถานะ Long ในทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยมีกระแสเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำเพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นในแนวโน้มราคาทองคำระยะยาว
น้ำมันดิบ Brent ยังคงเผชิญกับแรงกดดันในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคากำลังอยู่ในคลื่นปรับฐานลงไปสู่ 70.20 ดอลลาร์ และมีแนวโน้มลงต่อไปถึง 70.00 ดอลลาร์ ราคาน้ำมันเพิ่งแตะขอบบนของกรอบราคาที่ 71.98 ดอลลาร์เมื่อต้นสัปดาห์ ก่อนที่จะเริ่มปรับตัวลง
แรงกดดันหลักต่อราคาน้ำมันมาจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาดและอยู่ในระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการบริโภคพลังงาน
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบวกบางประการที่ช่วยพยุงราคาน้ำมัน ได้แก่ PMI ภาคการผลิตและบริการของจีนที่ปรับตัวดีขึ้นเกินคาด โดยเฉพาะ PMI ภาคการผลิตที่กลับเข้าสู่เขตขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ซึ่งอาจส่งผลดีต่อความต้องการใช้น้ำมันจากประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างจีน นอกจากนี้ รายงาน Crude Oil Inventories ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันที่ 3 เมษายน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความผันผวนของราคาน้ำมันในสัปดาห์หน้า
ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะไม่มีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตหรือขนส่งน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ความตึงเครียดที่ยังคงดำเนินอยู่อาจนำไปสู่ความผันผวนของราคาน้ำมันได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะหากมีการปะทะที่รุนแรงเกิดขึ้นในภูมิภาคที่สำคัญต่อการผลิตน้ำมัน
ในสัปดาห์หน้า นอกจากรายงาน Crude Oil Inventories แล้ว นักลงทุนควรติดตามการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ซึ่งอาจมีการพิจารณาปรับนโยบายการผลิตหากราคาน้ำมันยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ทองแดง: ราคาทองแดง CFD ปรับตัวขึ้น 2.1% ในวันศุกร์ หลังจากข้อมูล PMI ภาคการผลิตของจีนออกมาดีกว่าคาด เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก การฟื้นตัวของภาคการผลิตจีนจึงส่งผลบวกโดยตรงต่อความต้องการใช้ทองแดง นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาทองแดงอาจมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวตามคาด
เงิน (XAG/USD): ราคาเงินยังคงเคลื่อนไหวตามทิศทางของทองคำ แต่มีความผันผวนมากกว่า โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเงินปรับตัวลงมากกว่า 1.2% หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด ก่อนที่จะฟื้นตัวบางส่วนในช่วงปลายสัปดาห์ อัตราส่วนราคาทองคำต่อเงิน (Gold-to-Silver Ratio) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 82 สะท้อนว่าเงินมีราคาถูกกว่าทองคำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
แพลทินัม: ราคาแพลทินัมลดลงประมาณ 0.8% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความต้องการในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่อาจชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ปัญหาการผลิตในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตแพลทินัมรายใหญ่ที่สุดของโลก อาจช่วยพยุงราคาในระยะสั้น
น้ำตาล: ราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวลงกว่า 3% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากรายงานการผลิตน้ำตาลของบราซิลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2568 ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินเรียลบราซิล ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกบราซิลได้รับเงินเรียลมากขึ้นเมื่อขายในราคาดอลลาร์สหรัฐ จึงเร่งระบายสินค้าออกสู่ตลาดโลก
โดยสรุป ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้น โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ความไม่แน่นอนของนโยบายการเงิน และความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ราคาน้ำมันอาจยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยด้านอุปสงค์ในระยะสั้น
ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงความเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่เข้มงวดและตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณผสม ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ปรับตัวลงเล็กน้อย ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่ดีขึ้น ส่วนตลาดหุ้นยุโรปแกว่งตัวในกรอบแคบท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ตัวเลข Core PCE ของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาดที่ 2.8% กดดันตลาดหุ้นในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากเพิ่มความกังวลว่า Fed อาจต้องคงนโยบายการเงินที่เข้มงวดเป็นเวลานานกว่าที่คาด ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 CFD ปรับตัวลง 0.7% ภายหลังการประกาศตัวเลขดังกล่าว
ในทางกลับกัน ดัชนี NASDAQ CFD กลับเพิ่มขึ้น 1.2% หลังจากนักลงทุนหันมาสนใจหุ้นเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยสูงและสภาพคล่องในตลาด โดยเฉพาะบริษัทที่มีเงินสดจำนวนมากและสามารถทำกำไรจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงหนุนจากข้อมูล PMI ภาคการผลิตและบริการของจีนที่ดีขึ้น โดยดัชนี Hang Seng CFD ปรับตัวขึ้น 1.8% นำโดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมหนักและวัสดุก่อสร้าง ซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตจีน
ดัชนี DAX ของเยอรมนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อเยอรมนีที่ลดลงเหลือ 2.9% ซึ่งเพิ่มความหวังว่า ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปในเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปยังคงถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการเงินและตลาดหุ้นยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางตลาด โดยตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดทำให้ตลาดปรับลดความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งมักส่งผลลบต่อการประเมินมูลค่าหุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการเติบโตสูง (Growth Stocks)
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นหลังตัวเลข Core PCE ส่งผลกระทบต่อบริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูง ซึ่งอาจเห็นผลกำไรลดลงเมื่อแปลงกลับเป็นดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มพลังงานและทรัพยากรกลับได้ประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี สร้างความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและสินค้าฟุ่มเฟือย หุ้นกลุ่ม Consumer Discretionary ปรับตัวลง 1.5% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลดังกล่าว
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่เห็นได้จากตัวเลข PMI ที่ดีขึ้น นอกจากจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเชียแล้ว ยังส่งผลดีต่อบริษัทสหรัฐฯ และยุโรปที่มีรายได้จากตลาดจีนเป็นสัดส่วนสูง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยระดับสูง เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมหนัก
การประกาศปรับพิเศษสวอปดัชนี CFD ในช่วงวันที่ 1-3 เมษายน 2568 ส่งผลให้เทรดเดอร์ต้องปรับกลยุทธ์การเทรด โดยเฉพาะผู้ที่มีสถานะ Long ในดัชนี HK50 และ US500 ซึ่งจะมีต้นทุนสวอปที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้มีการเร่งปิดสถานะก่อนวันที่ 1 เมษายน
ปริมาณการซื้อขายในตลาด CFD เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ สะท้อนถึงการปรับพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนก่อนการปรับสวอป โดยดัชนี EU50 CFD ปรับตัวลง 0.6% ในวันศุกร์ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเทขายของเทรดเดอร์ที่ต้องการหลีกเลี่ยงต้นทุนสวอปที่สูงขึ้น
นักลงทุนสถาบันหลายรายเลือกใช้บัญชี PRO ของ FXGT เพื่อลดต้นทุนสวอปผ่านเลเวอเรจ 1:1000 ซึ่งช่วยให้สามารถถือครองสถานะได้นานขึ้นโดยมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ตัวเลือกนี้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการคงสถานะการลงทุนในระยะกลางถึงยาว
ในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นจะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ของสหรัฐฯ ที่จะเปิดเผยในวันที่ 4 เมษายน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 64.5K ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 เดือน หากตัวเลขจริงต่ำกว่าคาด อาจเพิ่มแรงกดดันให้ Fed เร่งลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Growth Stocks
นอกจากนี้ ISM Manufacturing PMI ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันที่ 1 เมษายน จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของภาคการผลิตสหรัฐฯ หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาดที่ 49.6 อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกดดันตลาดหุ้น
สำหรับตลาดหุ้นยุโรป German Factory Orders ที่จะประกาศในวันที่ 4 เมษายน และ U.K. Construction PMI ในวันเดียวกัน จะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของดัชนี DAX และ FTSE 100
นักลงทุนควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงการปรับพิเศษสวอปดัชนี CFD (1-3 เมษายน) และควรมีแผนบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยอาจพิจารณาลดขนาดสถานะหรือใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เช่น Stop Loss ที่เหมาะสม
โดยสรุป ตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงสูงและนโยบายการเงินที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนให้แรงสนับสนุนแก่ตลาดในเอเชียและบริษัทที่มีการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีน นักลงทุนควรติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์หน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางของนโยบายการเงินและผลกระทบต่อตลาดหุ้น
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (24-28 มีนาคม 2568) ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูง แต่ยังมีหุ้นจำนวนหนึ่งที่สามารถสร้างผลตอบแทนโดดเด่นท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด โดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง นวัตกรรมใหม่ และปัจจัยเฉพาะอุตสาหกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนหลักสำหรับหุ้นที่มีผลตอบแทนดีที่สุดเหล่านี้
NVIDIA ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.8% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลอีกครั้ง หลังจากบริษัทประกาศเปิดตัวชิปประมวลผล AI รุ่นใหม่ “Blackwell” ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 30 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของ GPU Enterprise ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) สูงถึง 40% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า นักวิเคราะห์หลายรายปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ NVIDIA หลังจากเห็นศักยภาพการเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะในตลาด AI และ High-Performance Computing
TSMC ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.9% ในสัปดาห์นี้ หลังจากบริษัทประกาศความร่วมมือกับ NVIDIA ในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิป 3 นาโนเมตรรุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานสำหรับชิป AI รุ่นต่อไป นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้นในภาคการผลิตของจีนที่ฟื้นตัว ตามข้อมูล PMI ล่าสุด นักลงทุนมองว่า TSMC จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากการเติบโตของตลาด AI และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก
หุ้นของบริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่ Rio Tinto ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.6% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลข PMI ภาคการผลิตของจีนที่ดีขึ้น ซึ่งส่งสัญญาณความต้องการวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแร่เหล็กและทองแดง นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาทองแดงที่ปรับตัวขึ้น 2.1% จากความคาดหวังเรื่องความต้องการในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า การลงทุนของ Rio Tinto ในโครงการถ่านหินโคกสะอาด (Green Coking Coal) ในออสเตรเลียยังได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่มองหาบริษัทเหมืองแร่ที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
Alibaba ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.4% ในสัปดาห์นี้ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่แข็งแกร่งกว่าคาด โดยเฉพาะ PMI ภาคบริการที่อยู่ที่ 53.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศแผนการลงทุนด้าน AI มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม Cloud AI รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Tencent และ Baidu นักวิเคราะห์มองว่า Alibaba กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวหลังจากเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และการปรับโครงสร้างธุรกิจล่าสุดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวให้กับบริษัท
Moderna ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.2% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากบริษัทประกาศผลการทดลองทางคลินิกในระยะที่ 3 ของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด mRNA ที่ประสบความสำเร็จ โดยพบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีนแบบดั้งเดิมถึง 45% นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ดำเนินการทดลองทางคลินิกสำหรับวัคซีนป้องกันมะเร็งปอด ซึ่งใช้เทคโนโลยี mRNA เช่นเดียวกัน นักลงทุนมองว่าความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนนอกเหนือจาก COVID-19 จะช่วยให้ Moderna สามารถกระจายแหล่งรายได้และลดการพึ่งพารายได้จากวัคซีน COVID-19 ที่ลดลงอย่างมากในปีที่ผ่านมา
Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากบริษัทประกาศยอดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนที่สูงกว่าคาดในเดือนมีนาคม โดยผลิตได้กว่า 80,000 คัน เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากราคาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น ข่าวการพัฒนา Full Self-Driving (FSD) รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 2 ปี 2568 ยังเป็นปัจจัยบวกที่กระตุ้นความสนใจของนักลงทุน โดยเฉพาะหลังจากที่ Elon Musk ประกาศว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทได้มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
หุ้นที่มีผลตอบแทนดีที่สุดในสัปดาห์นี้มีลักษณะร่วมกันหลายประการ ได้แก่:
1. การเชื่อมโยงกับ AI และเทคโนโลยีขั้นสูง – บริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการใช้งาน AI ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยี AI
2. การเติบโตในตลาดจีน – บริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศจีนหรือได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะหลังจากตัวเลข PMI ที่ดีขึ้นเกินคาด
3. นวัตกรรมและการวิจัยพัฒนา – บริษัทที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน
4. ความยืดหยุ่นต่อสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว – บริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่งและมีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงได้ดีมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดโดยรวม
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (24-28 มีนาคม 2568) ไม่เพียงแต่มีหุ้นที่สร้างผลตอบแทนดีเท่านั้น แต่ยังมีหุ้นหลายตัวที่มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาดและประสบปัญหาการปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์สาเหตุของการปรับตัวลงและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความเสี่ยงและโอกาสในตลาดปัจจุบัน
Walgreens Boots Alliance มีผลตอบแทนแย่ที่สุดในกลุ่มดัชนี S&P 500 สัปดาห์นี้ โดยปรับตัวลดลงถึง 12.3% หลังจากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ที่น่าผิดหวัง โดยรายได้รวมอยู่ที่ 37.1 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 38.2 พันล้านดอลลาร์ บริษัทยังปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้นสำหรับปี 2568 ลง 15% จากคาดการณ์เดิม โดยอ้างถึงสภาวะตลาดที่ท้าทายและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศลดเงินปันผลลง 48% เพื่อสงวนเงินสดสำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจและลดภาระหนี้สิน ข่าวดังกล่าวสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนที่ถือหุ้น Walgreens เพื่อรับเงินปันผล ส่งผลให้มีการขายหุ้นอย่างหนัก แม้ว่าบริษัทจะประกาศแผนลดต้นทุนเพิ่มเติมมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
หุ้นของบริษัทเรือสำราญ Carnival ปรับตัวลดลง 8.7% ในสัปดาห์นี้ หลังจากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ที่แสดงถึงการขาดทุนสุทธิ 214 ล้านดอลลาร์ แม้จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับการขาดทุน 693 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงน่าผิดหวังเมื่อเทียบกับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ปัจจัยลบเพิ่มเติมมาจากการคาดการณ์ของบริษัทที่ระบุว่าต้นทุนเชื้อเพลิงในไตรมาสที่ 2 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งจะกระทบอัตรากำไร นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจลดการใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวและบริการเรือสำราญซึ่งถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย
Boeing ปรับตัวลดลง 7.9% ในสัปดาห์นี้ หลังจากเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับปัญหาด้านคุณภาพและความปลอดภัย บริษัทประกาศว่าจะชะลอการผลิตเครื่องบิน 737 MAX ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบคุณภาพหลังจากพบปัญหาในระบบไฮดรอลิกของเครื่องบินบางลำ การตัดสินใจนี้จะส่งผลกระทบต่อแผนการส่งมอบเครื่องบินและรายได้ในไตรมาสที่ 2
นอกจากนี้ องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) ได้เพิ่มมาตรการตรวจสอบและกำกับดูแลกระบวนการผลิตของ Boeing หลังจากเหตุการณ์แผงประตูเครื่องบิน 737 MAX 9 หลุดออกระหว่างเที่ยวบินของสายการบิน Alaska Airlines เมื่อต้นปีนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลาที่บริษัทจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน
Micron Technology ปรับตัวลดลง 6.4% ในสัปดาห์นี้ แม้ว่าบริษัทจะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่ดีกว่าคาด โดยมีรายได้ 6.9 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับคาดการณ์ที่ 6.6 พันล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้นที่ 0.80 ดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 0.48 ดอลลาร์ แต่คำแนะนำสำหรับไตรมาสถัดไปกลับระบุถึงความท้าทายในการควบคุมต้นทุนและอุปสงค์ที่อาจชะลอตัวลงในบางส่วนของตลาด
นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับอุปทานชิปหน่วยความจำที่อาจเพิ่มขึ้นเกินความต้องการในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 หลังจากผู้ผลิตหลายรายเร่งขยายกำลังการผลิตในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจรุนแรงขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับบริษัทที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
McDonald’s ปรับตัวลดลง 5.7% ในสัปดาห์นี้ หลังจากนักวิเคราะห์หลายรายปรับลดคำแนะนำและราคาเป้าหมายของหุ้น โดยอ้างถึงยอดขายที่ชะลอตัวในตลาดหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงและภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แม้แต่กับร้านอาหารจานด่วนที่มีราคาไม่สูงนัก
นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญกับความท้าทายในตลาดตะวันออกกลาง เนื่องจากการคว่ำบาตรอย่างไม่เป็นทางการในหลายประเทศจากความขัดแย้งในภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขาย บริษัทยังมีการปรับขึ้นราคาเมนูในหลายประเทศเพื่อชดเชยต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดอาหารจานด่วน
Intel ปรับตัวลดลง 5.3% ในสัปดาห์นี้ หลังจากบริษัทประกาศแผนการลดพนักงานเพิ่มอีก 15% หรือประมาณ 15,000 ตำแหน่ง เพื่อลดต้นทุนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดชิปประมวลผล โดยเฉพาะจากคู่แข่งอย่าง AMD และ NVIDIA การปรับลดพนักงานครั้งใหญ่นี้สะท้อนถึงความท้าทายที่บริษัทกำลังเผชิญในการปรับกลยุทธ์และฟื้นฟูธุรกิจ
นอกจากนี้ Intel ยังคงเผชิญความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปรุ่นใหม่ ทำให้เสียความได้เปรียบในการแข่งขันกับ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปให้กับคู่แข่งหลายราย รวมถึง AMD และ NVIDIA ข่าวล่าสุดยังระบุว่า Apple กำลังวางแผนที่จะลดการพึ่งพาชิปจาก Intel โดยหันไปพัฒนาชิปเซ็ตของตัวเองสำหรับคอมพิวเตอร์ Mac ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Intel ในระยะยาว
หุ้นที่มีผลตอบแทนแย่ที่สุดในสัปดาห์นี้มีลักษณะร่วมกันหลายประการ ได้แก่:
1. ความอ่อนไหวต่อพฤติกรรมผู้บริโภค – บริษัทที่พึ่งพารายได้จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
2. ความท้าทายด้านต้นทุนและห่วงโซ่อุปทาน – หลายบริษัทเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ แรงงาน และเชื้อเพลิง ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร
3. ปัญหาเฉพาะบริษัทและอุตสาหกรรม – ปัญหาด้านคุณภาพ การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาหุ้น
4. การคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตที่น่าผิดหวัง – หลายบริษัทมีการปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการหรือให้มุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นสำหรับไตรมาสถัดไป ส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
การติดตามพัฒนาการของบริษัทเหล่านี้ในช่วงเวลาต่อไปมีความสำคัญ เนื่องจากอาจเป็นได้ทั้งโอกาสในการเข้าซื้อในราคาที่ถูกลง หรือเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง นักลงทุนควรวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่ราคาปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (24-28 มีนาคม 2568) มีบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ซึ่งให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพของภาคธุรกิจและแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม ผลประกอบการเหล่านี้มีทั้งที่เหนือความคาดหมายและต่ำกว่าคาด สะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจปัจจุบัน
Micron รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปีการเงิน 2568 ที่เหนือความคาดหมาย โดยมีรายได้ 6.9 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.6 พันล้านดอลลาร์ และมีกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 0.80 ดอลลาร์ เหนือกว่าคาดการณ์ที่ 0.48 ดอลลาร์ รายได้เพิ่มขึ้น 57% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sanjay Mehrotra ระบุว่าการฟื้นตัวของตลาดหน่วยความจำดำเนินไปอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในส่วนของ DRAM และ NAND สำหรับศูนย์ข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างไรก็ตาม บริษัทแสดงความระมัดระวังเกี่ยวกับคาดการณ์สำหรับไตรมาสที่ 3 โดยคาดการณ์รายได้ประมาณ 7.3-7.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 7.5 พันล้านดอลลาร์ ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่อาจเกินความต้องการในครึ่งหลังของปีทำให้นักลงทุนระมัดระวังแม้จะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
Walgreens รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่น่าผิดหวัง โดยมีรายได้ 37.1 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 38.2 พันล้านดอลลาร์ และมี EPS ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 1.20 ดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 1.32 ดอลลาร์ รายได้จากร้านค้าที่มีอยู่เดิมในสหรัฐฯ ลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tim Wentworth กล่าวว่าบริษัทกำลังเผชิญกับ “สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทาย” และการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจเภสัชกรรม บริษัทได้ปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้นทั้งปีลง 15% เป็น 3.20-3.35 ดอลลาร์ จากเดิมที่ 3.80-4.05 ดอลลาร์ และประกาศลดเงินปันผลลง 48% เป็นไตรมาสละ 0.25 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากเดิม 0.48 ดอลลาร์ เพื่อสงวนเงินสดสำหรับลดหนี้และปรับโครงสร้างธุรกิจ
Carnival รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ซึ่งแสดงถึงการฟื้นตัวต่อเนื่องแม้จะยังขาดทุน โดยมีรายได้ 5.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังขาดทุนสุทธิ 214 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ผลขาดทุนนี้ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับการขาดทุน 693 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Josh Weinstein ระบุว่าบริษัทมียอดจองเรือสำราญสำหรับฤดูร้อนในอัตราที่สูงกว่าปีก่อน ด้วยราคาที่สูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดการณ์ว่าต้นทุนเชื้อเพลิงในไตรมาสที่ 2 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งอาจกดดันอัตรากำไร นักวิเคราะห์ยังกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้สินที่สูงของบริษัท แม้ว่าจะมีการลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม
Lululemon รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของปีการเงิน 2567 (สิ้นสุดวันที่ 28 มกราคม 2568) ที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้ 3.21 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับปีก่อน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.17 พันล้านดอลลาร์ กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 5.29 ดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 5.00 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์สำหรับไตรมาสที่ 1 ของปีการเงิน 2568 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหวัง โดยบริษัทคาดว่าจะมีรายได้ระหว่าง 2.17-2.19 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.25 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลง 4.7% ในวันที่รายงานผลประกอบการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Calvin McDonald กล่าวว่าบริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจระหว่างประเทศและพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาดค้าปลีกก็ตาม
GameStop รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 (สิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2568) โดยมีรายได้ 1.79 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2.23 พันล้านดอลลาร์ และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.05 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิ 38.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเป็นไตรมาสที่มีกำไรไตรมาสแรกในรอบกว่าสองปี
บริษัทยังคงลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม การลดลงของรายได้สะท้อนถึงความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจจากร้านค้าปลีกเกมแบบดั้งเดิมไปสู่รูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล ราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 60% หลังการประกาศผลประกอบการ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปรากฏการณ์ “meme stock” มากกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
Nike รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปีการเงิน 2568 (สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2568) ที่เป็นไปตามคาดการณ์ โดยมีรายได้ 12.43 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 12.39 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 12.35 พันล้านดอลลาร์ กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.77 ดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 0.73 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม บริษัทปรับลดคาดการณ์รายได้สำหรับปีการเงิน 2568 โดยคาดว่าจะลดลงประมาณ 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากเดิมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร John Donahoe กล่าวว่าบริษัทกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะในตลาดจีนและยุโรป รายได้ในจีนลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดขายในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้นเพียง 3%
ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้เผยให้เห็นแนวโน้มสำคัญหลายประการ:
1. ความระมัดระวังของผู้บริโภค ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มค้าปลีกและสินค้าผู้บริโภค เช่น Walgreens และ Nike สะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง
2. ความท้าทายในการควบคุมต้นทุน หลายบริษัทรายงานถึงแรงกดดันด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนวัตถุดิบ เชื้อเพลิง หรือค่าแรงงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร นำไปสู่การปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการและการดำเนินมาตรการลดต้นทุน
3. การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ผลประกอบการของ Micron แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ AI และศูนย์ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่อาจเกินความต้องการในอนาคต
4. ความแตกต่างระหว่างภูมิภาค หลายบริษัทระบุถึงความแตกต่างของผลการดำเนินงานในแต่ละภูมิภาค โดยตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจีน มีความท้าทายมากกว่าตลาดอเมริกาเหนือในช่วงที่ผ่านมา แต่มีสัญญาณการฟื้นตัวหลังจากตัวเลข PMI ของจีนที่ดีขึ้น
5. การปรับกลยุทธ์ธุรกิจ หลายบริษัทกำลังดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดต้นทุน และปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความท้าทายในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจปัจจุบัน บางบริษัทถึงกับต้องลดเงินปันผลหรือลดพนักงานเพื่อรักษาสถานะทางการเงิน
ผลประกอบการเหล่านี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าสำหรับนักลงทุนในการประเมินสุขภาพของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม ในขณะที่บางอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI แสดงสัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่ง อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงเผชิญกับความท้าทายท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ยังคงสูง
สัปดาห์ที่ผ่านมา (24-28 มีนาคม 2568) ตลาดการเงินโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาด ทั้งในด้านนโยบายการเงิน ตัวเลขเศรษฐกิจ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน การวิเคราะห์ตลาดอย่างรอบด้านช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินสถานการณ์และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
1. นโยบายการเงินและเงินเฟ้อ
ตัวเลข Core PCE ของสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาดที่ 2.8% YoY แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ สร้างความกังวลว่า Fed อาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยออกไป ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีลดลงเป็น 2.9% จาก 3.3% ในเดือนก่อน เพิ่มโอกาสที่ ECB จะลดดอกเบี้ยต่อในเดือนเมษายน ความแตกต่างของทิศทางนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร
2. ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
ทองคำยังคงรักษาระดับเหนือ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้จะมีการปรับฐานในช่วงสั้นๆ หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในขณะที่น้ำมันดิบ Brent ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มปรับฐานลงสู่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ตัวเลข PMI ของจีนที่ดีขึ้นอาจช่วยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ในอนาคต
3. ตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นทั่วโลกแสดงความเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน โดยดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงเล็กน้อยหลังตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด ในขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่ดีขึ้น หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI เช่น NVIDIA และ TSMC ยังคงมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ในขณะที่หุ้นในกลุ่มค้าปลีกและสินค้าผู้บริโภค เช่น Walgreens และ McDonald’s เผชิญกับความท้าทายจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
4. ผลประกอบการบริษัท
ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างอุตสาหกรรม บริษัทในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์อย่าง Micron รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ในขณะที่บริษัทในกลุ่มค้าปลีกอย่าง Walgreens และสินค้าผู้บริโภคอย่าง Nike เผชิญกับความท้าทายในการรักษาอัตราการเติบโตและควบคุมต้นทุน หลายบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการและดำเนินมาตรการลดต้นทุนเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย
5. ปัจจัยพิเศษ
การประกาศปรับพิเศษสวอปดัชนี CFD ในช่วง 1-3 เมษายน 2568 เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องคำนึงถึง โดยเฉพาะผู้ที่มีสถานะ Long ในดัชนี HK50 และ US500 ซึ่งจะมีต้นทุนสวอปที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้มีการเร่งปิดสถานะก่อนวันที่ 1 เมษายน
ในสัปดาห์หน้า (1-5 เมษายน 2568) มีเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด:
1. รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ของสหรัฐฯ (4 เมษายน)
นี่เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์หน้า โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 64.5K ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 เดือน หากตัวเลขจริงต่ำกว่าคาด อาจเพิ่มแรงกดดันให้ Fed เร่งลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นและทองคำ แต่อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ในทางกลับกัน หากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด อาจทำให้ Fed ชะลอการลดดอกเบี้ยออกไป ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและกดดันตลาดหุ้น
2. ISM Manufacturing PMI ของสหรัฐฯ (1 เมษายน)
คาดการณ์ไว้ที่ 49.6 ต่ำกว่าเกณฑ์ขยายตัว 50 ซึ่งหากเป็นไปตามคาด จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ข้อมูลนี้จะให้ภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของ Fed เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
3. German Manufacturing PMI และ Factory Orders (1 และ 4 เมษายน)
ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจยุโรป และอาจมีผลต่อการตัดสินใจของ ECB เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนเมษายน หากข้อมูลออกมาแย่กว่าคาด อาจเพิ่มโอกาสที่ ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
4. ADP Nonfarm Employment Change ของสหรัฐฯ (2 เมษายน)
คาดการณ์อยู่ที่ 118K เพิ่มขึ้นจาก 77K ในเดือนก่อน ข้อมูลนี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญล่วงหน้าก่อนรายงาน NFP และจะให้ภาพรวมของแนวโน้มการจ้างงานในภาคเอกชนของสหรัฐฯ
5. Crude Oil Inventories ของสหรัฐฯ (3 เมษายน)
รายงานนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความผันผวนของราคาน้ำมันในระยะสั้น หากสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด อาจกดดันราคาน้ำมันลงต่อไป
จากการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ข้างต้น แนวโน้มและกลยุทธ์การลงทุนสำหรับสัปดาห์หน้ามีดังนี้:
1. ตลาด Forex
EUR/USD มีแนวโน้มทดสอบระดับ 1.0680 หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าคาด นักลงทุนอาจพิจารณาเปิดสถานะขายที่แนวต้าน 1.0750-1.0780 โดยตั้งเป้าหมายที่ 1.0680 และวาง Stop Loss ที่ 1.0800
USD/JPY มีแนวโน้มทดสอบระดับ 150.85 ท่ามกลางความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น นักลงทุนอาจพิจารณาเปิดสถานะซื้อที่แนวรับ 149.50-149.80 โดยตั้งเป้าหมายที่ 150.85
2. ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
ทองคำ (XAU/USD) ยังคงมีแนวโน้มเชิงบวกในระยะกลางถึงยาว โดยมีโอกาสทดสอบระดับ 3,100 ดอลลาร์หากตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด นักลงทุนอาจพิจารณาทยอยสะสมทองคำในช่วงราคา 2,990-3,010 ดอลลาร์
น้ำมันดิบ Brent มีแนวโน้มผันผวนรอบระดับ 70 ดอลลาร์ โดยมีแนวรับสำคัญที่ 70.00 ดอลลาร์ นักลงทุนควรระมัดระวังในการเปิดสถานะเนื่องจากความไม่แน่นอนของอุปสงค์และอุปทานในตลาดน้ำมัน
3. ตลาดหุ้น
ในช่วงการปรับพิเศษสวอปดัชนี CFD (1-3 เมษายน) นักลงทุนควรระมัดระวังในการถือสถานะ Long ข้ามคืน โดยเฉพาะในดัชนี HK50 และ US500 อาจพิจารณาลดขนาดสถานะหรือปิดสถานะชั่วคราวในช่วงเวลาดังกล่าว
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ นักลงทุนควรติดตามรายงาน NFP อย่างใกล้ชิด โดยหากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่ม Growth Stocks ที่ได้รับประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ย
4. การบริหารความเสี่ยง
ความผันผวนในสัปดาห์หน้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการ นักลงทุนควรจำกัดความเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง และใช้ Stop Loss ที่เหมาะสมเสมอ
สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้ใช้บัญชี FXGT ประเภท Optimus ที่เหมาะสำหรับการเทรดรายวัน และควรเริ่มด้วยขนาดการเทรดเล็กๆ เพื่อสร้างประสบการณ์และความมั่นใจก่อนเพิ่มขนาดการเทรด
ผู้มีประสบการณ์อาจพิจารณาใช้บัญชี PRO ของ FXGT ที่มีค่าสวอปและค่าสเปรดที่ต่ำกว่า เหมาะสำหรับการถือครองสถานะระยะเวลานานขึ้น รวมถึงพิจารณาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เช่น Guaranteed Stop Loss ในช่วงที่มีความผันผวนสูง
สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดการเงินโลกเผชิญกับความผันผวนสูงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ตัวเลข Core PCE ของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาดสร้างความกังวลว่า Fed อาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ตัวเลข PMI ของจีนที่ดีขึ้นให้ความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลก
ในสัปดาห์หน้า รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ของสหรัฐฯ จะเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดที่นักลงทุนควรติดตาม เนื่องจากอาจส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงินของ Fed และตลาดการเงินโลก นอกจากนี้ การปรับพิเศษสวอปดัชนี CFD ในช่วง 1-3 เมษายน อาจสร้างความผันผวนในตลาด CFD โดยเฉพาะดัชนี HK50 และ US500
นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนช่วงที่มีความผันผวนสูง โดยมุ่งเน้นการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การกระจายการลงทุนและการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการบริหารพอร์ตโฟลิโอให้มีประสิทธิภาพในสภาวะตลาดปัจจุบัน