หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
หุ้น Meta Platforms (META) แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่โดดเด่นในช่วงวันที่ 29-31 พฤษภาคม 2025 โดยเป็นการกลับมาของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งหลังจากผ่านช่วงการปรับฐานอันยาวนานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายน 2025 การเคลื่อนไหวในช่วงนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของพื้นฐานบริษัทเท่านั้น แต่ยังได้รับแรงหนุนสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสภาพแวดล้อมการค้าระหว่างประเทศ
ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2025 หุ้น Meta ปิดการซื้อขายที่ระดับ 643.75 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากราคาเปิดที่ 642.605 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงการซื้อขายหลังเวลาทำการ โดยราคาพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 653.10 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 1.48 เปอร์เซ็นต์ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากมีข่าวสำคัญเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐที่มีคำสั่งห้ามการบังคับใช้ภาษีนำเข้าที่ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศไว้
การฟื้นตัวของหุ้น Meta ในช่วงเดือนพฤษภาคมถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 17 เปอร์เซ็นต์ในเดือนเดียว ซึ่งเป็นการกลับตัวที่น่าประทับใจหลังจากปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสามเดือนก่อนหน้า ที่ประกอบด้วยการลดลง 3 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกุมภาพันธ์ 14 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมีนาคม และ 5 เปอร์เซ็นต์ในเดือนเมษายน จากจุดต่ำสุดของปีที่ระดับ 484.66 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 21 เมษายน หุ้นได้ฟื้นตัวขึ้นมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลาไม่ถึงหกสัปดาห์
ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นนี้ทำให้ Meta กลายเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีที่สุดในกลุ่ม Magnificent Seven ในช่วงต้นปี 2025 ด้วยผลตอบแทนสะสม 9.7 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่หุ้นยักษ์ใหญ่อื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันกลับประสบกับความท้าทาย โดย Apple ปรับตัวลง 16.2 เปอร์เซ็นต์ Tesla ลดลง 13.0 เปอร์เซ็นต์ และ Alphabet ปรับตัวลง 12.8 เปอร์เซ็นต์ ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเชิงเปรียบเทียบของ Meta ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง
ปัจจัยสนับสนุนหลักที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวครั้งนี้ประกอบด้วยผลประกอบการไตรมาสแรกที่เหนือความคาดหมายอย่างมาก โดยบริษัทรายงานรายได้ 42.31 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 41.40 พันล้านดอลลาร์ กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 6.43 ดอลลาร์ เติบโต 37 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน และเกินความคาดหมายที่ 5.28 ดอลลาร์อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การประกาศเพิ่มงบประมาณการลงทุนสำหรับปี 2025 เป็น 64-72 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 60-65 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนถึงแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของบริษัท
การเคลื่อนไหวของหุ้น Meta ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2025 ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเหตุการณ์สำคัญหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อทั้งบริษัทโดยตรงและภาคเทคโนโลยีโดยรวม เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงมุมมองของนักลงทุนต่อหุ้น Meta เท่านั้น แต่ยังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั้งหมด
เหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบมากที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 เมื่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกามีคำตัดสินที่สำคัญยิ่งต่อภาคธุรกิจ โดยศาลได้ออกคำสั่งห้ามการบังคับใช้ภาษีนำเข้า Liberation Day ที่ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 คำตัดสินนี้มีผลทันทีต่อตลาดหุ้น โดยดัชนี S&P 500 Futures พุ่งขึ้น 1.5 เปอร์เซ็นต์ และ Nasdaq Futures เพิ่มขึ้น 1.8 เปอร์เซ็นต์ การตอบสนองเชิงบวกนี้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีความกังวลอย่างมากต่อผลกระทบของภาษีนำเข้าที่อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยี
ก่อนหน้าคำตัดสินของศาลเพียงหนึ่งวัน ประธานาธิบดี Trump ได้ประกาศถอนคำขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 50 เปอร์เซ็นต์จากสินค้าที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป พร้อมทั้งเลื่อนกำหนดเวลาสำหรับการเจรจาการค้าออกไปจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 การผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ Meta เนื่องจากบริษัทอีคอมเมิร์ซจากจีนอย่าง Temu และ Shein ซึ่งเป็นลูกค้าโฆษณารายใหญ่ของ Meta ได้ลดการใช้จ่ายด้านโฆษณาดิจิทัลในสหรัฐอเมริกาลงอย่างมากในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางการค้า
เหตุการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และยังคงส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของหุ้นคือการประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 เมื่อวันที่ 30 เมษายน ผลประกอบการที่เหนือความคาดหมายในทุกด้านได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการฟื้นตัวของหุ้น รายได้รวมที่ 42.31 พันล้านดอลลาร์เติบโต 16 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน โดยรายได้จากการโฆษณาซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักอยู่ที่ 41.39 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 98 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์เป็น 16.64 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 41 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 35 เปอร์เซ็นต์อย่างมีนัยสำคัญ
การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของ Meta ในการเพิ่มงบประมาณการลงทุนประจำปี 2025 เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อมุมมองของนักลงทุน การปรับเพิ่มงบประมาณจาก 60-65 พันล้านดอลลาร์เป็น 64-72 พันล้านดอลลาร์แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล Mark Zuckerberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหารได้เน้นย้ำว่าการลงทุนนี้จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และการปรับปรุงระบบโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาแว่นตา Meta AI ที่มีผู้ใช้งานเกือบหนึ่งพันล้านคนต่อเดือน
นอกจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ Meta แล้ว การเคลื่อนไหวในภาคเทคโนโลยีโดยรวมก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของหุ้น ข้อมูลจาก Voronoi App ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2025 แสดงให้เห็นว่ากลุ่ม Magnificent Seven มีมูลค่าตลาดรวม 16.8 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.9 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อน การฟื้นตัวของกลุ่มนี้สร้างบรรยากาศเชิงบวกให้กับการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดย Meta เป็นผู้นำการเติบโตด้วยผลตอบแทน 9.7 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ต้นปี
ความสำคัญของเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่ผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการวางกลยุทธ์ระยะยาวของนักลงทุน การที่ความไม่แน่นอนทางการค้าลดลงทำให้บริษัทต่างๆ สามารถวางแผนการลงทุนและการดำเนินงานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ขณะเดียวกันการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มขึ้นของ Meta ก็สอดคล้องกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของการประยุกต์ใช้ AI อย่างกว้างขวาง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในแนวโน้มการเติบโตของหุ้น Meta ในระยะกลางถึงระยะยาว
การวิเคราะห์กราฟของหุ้น Meta ในช่วงวันที่ 29-31 พฤษภาคม 2025 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดที่สำคัญจากแนวโน้มขาลงสู่แนวโน้มขาขึ้น การใช้วิธีการวิเคราะห์แบบหลายกรอบเวลา (Multiple Timeframe Analysis) ช่วยให้เราสามารถเข้าใจภาพรวมของการเคลื่อนไหวและระบุจุดเข้าเทรดที่มีความน่าเชื่อถือสูง โดยการวิเคราะห์จะครอบคลุมตั้งแต่กรอบเวลารายวันไปจนถึงกรอบเวลา 5 นาที เพื่อให้เทรดเดอร์ทุกประเภทสามารถนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม
กราฟรายวันแสดงให้เห็นการก่อตัวของรูปแบบ Cup-with-Handle ที่มีความสมบูรณ์ โดยจุดต่ำสุดของ Cup อยู่ที่ระดับ 484.66 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 21 เมษายน และปัจจุบันราคากำลังทดสอบขอบบนของ Handle ที่ระดับ 662.67 ดอลลาร์ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นทั้งสี่เส้นแสดงการเรียงตัวแบบ Bullish Alignment โดย SMA ระยะสั้นอยู่เหนือระยะยาวทั้งหมด
ตัวชี้วัด RSI อยู่ที่ระดับ 62.5 ซึ่งยังไม่เข้าสู่โซน Overbought และมีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวขึ้นต่อไป MACD แสดง Bullish Crossover ที่ชัดเจนพร้อม Histogram ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึง Momentum ที่แข็งแกร่ง Stochastic Oscillator (%K = 78.3, %D = 75.6) เริ่มเข้าใกล้โซน Overbought แต่ยังไม่แสดงสัญญาณ Divergence ใดๆ
ในกรอบเวลา H4 ราคาได้ทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 640 ดอลลาร์และกำลังทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 655 ดอลลาร์ การเคลื่อนไหวแสดงลักษณะของ Impulse Wave ที่มีการย่อตัวแบบ Corrective Wave สลับกันอย่างเป็นระบบ Volume Pattern แสดงการเพิ่มขึ้นในช่วงที่ราคาปรับขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการมีส่วนร่วมจากผู้ซื้อ
RSI ในกรอบเวลานี้อยู่ที่ 68.7 เข้าใกล้โซน Overbought มากขึ้น แต่ไม่มี Bearish Divergence MACD ยังคงอยู่เหนือ Signal Line พร้อม Histogram ที่เป็นบวก แม้ว่าจะเริ่มแสดงการชะลอตัวเล็กน้อย Fractal Pattern แสดง Up Fractal ล่าสุดที่ 650.88 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านระยะสั้นที่ต้องจับตามอง
กราฟ H1 แสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวแบบ Channel ขาขึ้นที่ชัดเจน โดยมีขอบล่างของ Channel อยู่ที่บริเวณ 638-640 ดอลลาร์ และขอบบนอยู่ที่ 653-655 ดอลลาร์ ราคาปัจจุบันกำลังทดสอบขอบบนของ Channel ซึ่งอาจเกิดการย่อตัวระยะสั้นก่อนที่จะทะลุขึ้นไปต่อ
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 ชั่วโมงทำหน้าที่เป็นแนวรับ Dynamic ที่แข็งแกร่ง โดยราคาได้รับการสนับสนุนจากเส้นนี้หลายครั้งในช่วงการปรับขึ้น RSI แสดงลักษณะ Range-bound ระหว่าง 55-70 ซึ่งเป็นลักษณะปกติของแนวโน้มขาขึ้นที่มีสุขภาพดี MACD มีการ Converge และ Diverge อย่างเป็นจังหวะ สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวแบบ Wave ของราคา
ในกรอบเวลา M30 เราสามารถเห็นรายละเอียดของ Price Action ได้ชัดเจนขึ้น ราคาแสดงการก่อตัวของ Bull Flag Pattern หลังจากการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 642 เป็น 653 ดอลลาร์ การ Consolidation ในรูปแบบ Flag นี้เป็นการพักตัวที่ปกติก่อนการเคลื่อนไหวขาขึ้นรอบถัดไป
Stochastic Oscillator แสดงการ Reset จากโซน Overbought ลงมาสู่ระดับกลาง ซึ่งเปิดโอกาสสำหรับการเคลื่อนไหวขึ้นรอบใหม่ Volume Profile แสดงการลดลงในช่วง Consolidation ซึ่งเป็นลักษณะปกติของ Flag Pattern การทะลุขึ้นจาก Flag จะต้องมาพร้อมกับ Volume ที่เพิ่มขึ้นเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ
กราฟ M15 เหมาะสำหรับการหาจังหวะเข้าเทรดระยะสั้น ราคาแสดงการเคลื่อนไหวแบบ Micro Wave ภายใน Bull Flag โดยมีการทดสอบแนวรับที่ 648-649 ดอลลาร์หลายครั้ง การ Bounce จากแนวรับนี้มาพร้อมกับ Volume ที่เพิ่มขึ้น แสดงถึงความสนใจจากผู้ซื้อ
RSI ในกรอบเวลานี้แสดงการแกว่งระหว่าง 45-65 ซึ่งให้โอกาสในการเข้าซื้อเมื่อ RSI ย่อตัวมาใกล้ 50 MACD แสดงสัญญาณ Bullish Crossover บ่อยครั้ง ซึ่งสามารถใช้เป็นสัญญาณเข้าเทรดสำหรับ Scalper ได้
กรอบเวลา M5 แสดงให้เห็น Market Microstructure อย่างละเอียด ราคามีการสร้าง Higher Highs และ Higher Lows อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นลักษณะของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง การย่อตัวมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและตื้น ไม่เกิน 0.3-0.5 เปอร์เซ็นต์ ก่อนที่จะมีการดีดตัวขึ้นต่อ
Fractal Pattern ในกรอบเวลานี้ให้จุดเข้าเทรดที่แม่นยำสำหรับ Day Trader โดย Down Fractal ที่เกิดขึ้นมักเป็นโอกาสซื้อที่ดี เมื่อประกอบกับการยืนยันจาก RSI ที่ไม่ต่ำกว่า 40 และ MACD ที่ยังคงเป็นบวก
การวิเคราะห์กราฟในทุกกรอบเวลาแสดงความสอดคล้องกันของแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน กราฟรายวันยืนยันการเปลี่ยนแนวโน้มระยะกลางด้วยรูปแบบ Cup-with-Handle ที่สมบูรณ์ ขณะที่กรอบเวลาที่เล็กลงแสดงโครงสร้างการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งพร้อมการพักตัวที่เหมาะสม
จุดสำคัญที่ต้องติดตามคือการทะลุแนวต้านที่ 662.67 ดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นการยืนยัน Breakout จาก Cup-with-Handle Pattern และเปิดทางสู่เป้าหมายถัดไปที่ 696.50 ดอลลาร์ ในระยะสั้น ราคาอาจมีการย่อตัวมาทดสอบแนวรับที่ 648-650 ดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นโอกาสซื้อที่น่าสนใจสำหรับเทรดเดอร์ที่พลาดการเข้าซื้อในรอบแรก
Technical Indicators ทั้งหมดยังคงสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น แม้ว่าบางตัวจะเริ่มเข้าใกล้โซน Overbought แต่ยังไม่มีสัญญาณ Divergence ที่น่ากังวล การที่ Volume เพิ่มขึ้นในช่วงราคาปรับขึ้นและลดลงในช่วง Consolidation แสดงถึงลักษณะการเคลื่อนไหวที่มีสุขภาพดี ซึ่งมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปในระยะกลาง
การระบุแนวต้านที่สำคัญเป็นองค์ประกอบหลักในการวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพ สำหรับหุ้น Meta ในช่วงปัจจุบันมีแนวต้านหลายระดับที่เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญ แต่ละระดับมีความสำคัญและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจถึงที่มาและความแข็งแกร่งของแนวต้านแต่ละระดับจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนการเข้าออกตำแหน่งได้อย่างเหมาะสม รวมถึงบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แนวต้านแรกที่ราคาต้องเผชิญคือระดับ 655 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ราคาทำได้ในช่วงการซื้อขายหลังเวลาทำการเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 ระดับนี้มีความสำคัญในเชิงจิตวิทยาเนื่องจากเป็นจุดที่แสดงถึงความกระตือรือร้นของนักลงทุนหลังจากได้รับข่าวดีเกี่ยวกับคำตัดสินของศาล อย่างไรก็ตามแนวต้านนี้อาจไม่แข็งแกร่งมากนักเนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำ
การทะลุผ่านแนวต้านนี้จะต้องมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3 เดือนที่ 12.5 ล้านหุ้นต่อวัน หากราคาสามารถปิดเหนือระดับนี้ได้ในกรอบเวลารายวัน จะเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจนสำหรับการเคลื่อนไหวขึ้นต่อไปสู่แนวต้านถัดไป
ระดับ 662.67 ดอลลาร์เป็นแนวต้านที่มีความสำคัญสูงสุดในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นจุด Buy Point ของรูปแบบ Cup-with-Handle ที่ได้รับการยืนยันจาก IBD MarketSurge แนวต้านนี้เกิดจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีความน่าเชื่อถือสูง และเป็นระดับที่นักลงทุนสถาบันจำนวนมากใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจลงทุน
ความสำคัญของระดับนี้ยังเพิ่มขึ้นจากการที่เป็นจุดสูงสุดของ Handle ในรูปแบบ Cup-with-Handle ซึ่งตามทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิค การทะลุผ่านจุดนี้มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวขึ้นอย่างต่อเนื่องที่มีระยะทางเท่ากับความลึกของ Cup ในกรณีของ Meta หมายถึงการเคลื่อนไหวขึ้นอีกประมาณ 178 ดอลลาร์จากจุด Breakout ซึ่งจะพาราคาไปสู่ระดับประมาณ 840 ดอลลาร์ในระยะยาว
ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์ 89 รายอยู่ที่ระดับ 696.50 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ แนวต้านนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นระดับที่นักลงทุนสถาบันจำนวนมากอาจพิจารณาทำกำไรบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เข้าซื้อในช่วงราคาต่ำ
ระดับนี้ยังใกล้เคียงกับเป้าหมายทางเทคนิคจากการคำนวณ Fibonacci Extension ที่ 161.8 เปอร์เซ็นต์ของการปรับตัวลงจากจุดสูงสุดเดิมไปยังจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน การมาบรรจบกันของเป้าหมายจากหลายวิธีการวิเคราะห์ทำให้แนวต้านนี้มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ
การคาดการณ์จาก 247 Wall Street ระบุเป้าหมายราคาสำหรับปี 2025 ที่ 729.55 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ แนวต้านนี้อิงจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่ครอบคลุม รวมถึงการเติบโตของรายได้จากโฆษณา การขยายตัวของผู้ใช้งาน และการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์
ระดับนี้ยังสอดคล้องกับการคำนวณทางเทคนิคจากการขยายตัวของ Trading Range ในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา หากราคาสามารถทะลุและยืนเหนือระดับนี้ได้ จะเป็นการยืนยันการเข้าสู่ Bull Market ระยะยาวอย่างเต็มรูปแบบ และอาจนำไปสู่การทดสอบระดับสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้
นอกจากระดับราคาที่เป็นตัวเลขแล้ว ยังมีแนวต้านแบบ Dynamic ที่เกิดจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 680 ดอลลาร์ แม้ว่าราคาปัจจุบันจะอยู่ต่ำกว่าระดับนี้ แต่ในอนาคตอันใกล้ค่าเฉลี่ยนี้อาจลดลงมาใกล้กับราคาปัจจุบันมากขึ้นและทำหน้าที่เป็นแนวต้านได้
Bollinger Bands ขอบบนในกรอบเวลารายวันอยู่ที่ประมาณ 668 ดอลลาร์ ซึ่งอาจเป็นแนวต้านชั่วคราวหากราคาเคลื่อนไหวขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป การชะลอตัวหรือการย่อตัวเมื่อราคาแตะ Bollinger Bands ขอบบนเป็นเรื่องปกติและไม่ได้หมายความว่าแนวโน้มขาขึ้นจะสิ้นสุดลง
การวิเคราะห์แนวต้านทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าหุ้น Meta มีเป้าหมายที่ชัดเจนในหลายระดับ แนวต้านระยะสั้นที่ 655 ดอลลาร์เป็นเพียงอุปสรรคเล็กน้อยที่น่าจะถูกทะลุได้ในไม่ช้า ขณะที่แนวต้านหลักที่ 662.67 ดอลลาร์จะเป็นบททดสอบที่แท้จริงสำหรับความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้นปัจจุบัน
การทะลุแนวต้านที่ 662.67 ดอลลาร์จะเป็นสัญญาณซื้อที่สำคัญและน่าจะนำไปสู่การทดสอบเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ 696.50 ดอลลาร์ในระยะกลาง สำหรับนักลงทุนระยะยาว เป้าหมายที่ 729.55 ดอลลาร์ยังคงเป็นไปได้หากปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยียังคงเอื้ออำนวย
เทรดเดอร์ควรใช้แนวต้านเหล่านี้เป็นแนวทางในการวางแผนการทำกำไรและปรับ Stop Loss ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำกำไรบางส่วนเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านสำคัญจะช่วยลดความเสี่ยงและล็อกกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ยังคงมีส่วนร่วมในแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวต่อไป
การระบุแนวรับที่มีความแข็งแกร่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและการวางแผนจุดเข้าซื้อที่เหมาะสม สำหรับหุ้น Meta ที่กำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น การทราบถึงระดับแนวรับที่สำคัญจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ทั้งในการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมและการรอจังหวะเข้าซื้อเพิ่มเติมเมื่อราคาย่อตัว การวิเคราะห์แนวรับต่อไปนี้จะครอบคลุมทั้งระดับราคาที่สำคัญและแนวรับแบบพลวัตที่เกิดจากตัวชี้วัดทางเทคนิค
ระดับ 648-650 ดอลลาร์เป็นแนวรับแรกที่มีความสำคัญสูงในปัจจุบัน โซนนี้ได้รับการทดสอบหลายครั้งในช่วงการเคลื่อนไหวล่าสุดและแสดงให้เห็นถึงการเข้าซื้อที่แข็งแกร่งทุกครั้งที่ราคาย่อตัวมาถึง จากการวิเคราะห์ Volume Profile พบว่าบริเวณนี้มีปริมาณการซื้อขายสะสมสูง ซึ่งบ่งชี้ถึงความสนใจจากนักลงทุนสถาบันที่ใช้ระดับนี้เป็นจุดสะสมหุ้น
ความแข็งแกร่งของแนวรับนี้ยังได้รับการเสริมจากการที่เป็นบริเวณที่ราคาได้ทะลุขึ้นมาจากการพักตัวก่อนหน้า ตามหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค แนวต้านเดิมมักจะกลายเป็นแนวรับใหม่เมื่อถูกทะลุ นอกจากนี้ยังเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับ Fibonacci Retracement ที่ 23.6% ของการเคลื่อนไหวขึ้นจากจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน
โซน 638-640 ดอลลาร์มีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นบริเวณที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วันพาดผ่าน ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นี้ได้ทำหน้าที่เป็นแนวรับแบบพลวัตได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดช่วงการปรับตัวขึ้นที่ผ่านมา การที่ราคาสามารถรักษาระดับเหนือค่าเฉลี่ยนี้ได้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้น
ระดับนี้ยังสอดคล้องกับขอบล่างของ Rising Channel ในกรอบเวลา H1 และ H4 การทดสอบแนวรับนี้มักจะมาพร้อมกับการฟื้นตัวของ RSI จากระดับ 50-55 ซึ่งแสดงถึงการเข้าซื้อจากกลุ่มที่ใช้การวิเคราะห์ Momentum เป็นหลัก หากราคาหลุดต่ำกว่าระดับนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาดระยะสั้น
ระดับ 635 ดอลลาร์เป็นแนวรับที่เกิดจากการ Consolidation ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งราคาได้สร้างฐานที่แข็งแกร่งก่อนการพุ่งขึ้นครั้งล่าสุด บริเวณนี้มีความสำคัญทางจิตวิทยาเนื่องจากเป็นระดับที่นักลงทุนจำนวนมากได้เข้าซื้อและยังคงถือครองอยู่ การย่อตัวมาทดสอบระดับนี้อาจดึงดูดการเข้าซื้อเพิ่มเติมจากผู้ที่พลาดโอกาสในรอบแรก
จากการวิเคราะห์ Market Structure พบว่าระดับนี้ยังเป็นจุด Higher Low ที่สำคัญในแนวโน้มขาขึ้นปัจจุบัน การรักษาระดับนี้ไว้ได้จะเป็นการยืนยันว่าแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางยังคงมีความแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน การหลุดต่ำกว่าระดับนี้อาจนำไปสู่การทดสอบแนวรับที่ลึกกว่า
แนวรับที่ 610 ดอลลาร์ถือเป็นระดับสำคัญสำหรับการรักษาแนวโน้มขาขึ้นระยะกลาง ระดับนี้อยู่ใกล้กับ Fibonacci Retracement ที่ 38.2% ของการเคลื่อนไหวขึ้นทั้งหมดจากจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน นอกจากนี้ยังเป็นบริเวณที่มีการสะสมหุ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
การย่อตัวมาถึงระดับนี้จะเป็นการทดสอบความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม จากประวัติการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ระดับนี้มีแนวโน้มที่จะให้การสนับสนุนที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมาพร้อมกับ RSI ที่อยู่ในโซน Oversold และ MACD ที่แสดงสัญญาณ Positive Divergence
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 595 ดอลลาร์กำลังเคลื่อนที่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตอันใกล้ค่าเฉลี่ยนี้จะเคลื่อนที่ขึ้นมาใกล้กับราคาปัจจุบันมากขึ้นและอาจทำหน้าที่เป็นแนวรับแบบพลวัตที่สำคัญ การทดสอบค่าเฉลี่ยนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงการปรับฐานระยะกลางและเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าซื้อเพิ่มเติม
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วันอยู่ที่ประมาณ 570 ดอลลาร์และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันอยู่ที่ประมาณ 540 ดอลลาร์ แม้ว่าระดับเหล่านี้จะอยู่ค่อนข้างไกลจากราคาปัจจุบัน แต่ก็ยังคงมีความสำคัญสำหรับการประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้มระยะยาว การรักษาราคาให้อยู่เหนือค่าเฉลี่ยเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการยืนยันว่า Bull Market ยังคงดำเนินต่อไป
ระดับ 600 ดอลลาร์เป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญ ตัวเลขกลมมักจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย การทดสอบระดับนี้อาจนำมาซึ่งการเข้าซื้อจากกลุ่มที่รอโอกาสเข้าลงทุนในราคาที่ดึงดูดใจ
จุดต่ำสุดของปีที่ 484.66 ดอลลาร์ยังคงเป็นแนวรับสุดท้ายที่มีความสำคัญยิ่ง การกลับมาทดสอบระดับนี้จะหมายถึงการลบล้างการเติบโตทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นสัญญาณที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับแนวโน้มระยะยาว อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ยังคงต่ำตราบใดที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง
จากการวิเคราะห์แนวรับในหลายระดับ พบว่าหุ้น Meta มีโครงสร้างแนวรับที่แข็งแกร่งและเป็นระบบ แนวรับระยะสั้นที่ 648-650 ดอลลาร์และ 638-640 ดอลลาร์มีความสำคัญสูงสุดสำหรับการรักษาโมเมนตัมขาขึ้นในปัจจุบัน การย่อตัวมาทดสอบระดับเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติและอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าซื้อเพิ่มเติม
แนวรับที่ 635 ดอลลาร์และ 610 ดอลลาร์ทำหน้าที่เป็นเส้นป้องกันสำคัญสำหรับแนวโน้มระยะกลาง การรักษาระดับเหล่านี้ไว้ได้จะยืนยันว่า Bull Market ยังคงมีความแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน การติดตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่กำลังเคลื่อนที่ขึ้นจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปรับแนวรับแบบพลวัตได้อย่างเหมาะสม
สำหรับการวางแผนการเทรด เทรดเดอร์ควรใช้แนวรับเหล่านี้เป็นแนวทางในการตั้ง Stop Loss โดยวางต่ำกว่าแนวรับที่สำคัญเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูก Stop Hunt นอกจากนี้ การรอซื้อที่แนวรับที่แข็งแกร่งจะให้อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ดีกว่าการไล่ซื้อตามราคาที่กำลังพุ่งขึ้น
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของ Meta Platforms แสดงให้เห็นถึงบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและอยู่ในตำแหน่งที่เอื้อต่อการเติบโตในระยะยาว ผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 ที่เหนือความคาดหมายได้สร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการฟื้นตัวของราคาหุ้น ขณะที่การลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านปัญญาประดิษฐ์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกำลังวางตำแหน่งบริษัทให้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น
ผลการดำเนินงานทางการเงินที่โดดเด่นของ Meta ในไตรมาสแรกสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและความสามารถในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน บริษัทรายงานรายได้รวม 42.31 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 16 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 41.40 พันล้านดอลลาร์อย่างมีนัยสำคัญ รายได้จากการโฆษณาซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักมีมูลค่า 41.39 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 98 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาและขยายส่วนแบ่งตลาดโฆษณาดิจิทัลได้อย่างต่อเนื่อง
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าประทับใจ โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์เป็น 16.64 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรต่อหุ้นพุ่งสูงถึง 6.43 ดอลลาร์ เติบโต 37 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนและเกินความคาดหมายที่ 5.28 ดอลลาร์ อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 41 เปอร์เซ็นต์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ 35 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและการใช้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดที่ Meta มีอยู่
การเติบโตของฐานผู้ใช้งานยังคงเป็นจุดแข็งสำคัญของบริษัท จำนวนผู้ใช้งานประจำวันในแอปพลิเคชันตระกูล Meta ซึ่งรวมถึง Facebook, Instagram, WhatsApp และ Messenger เติบโต 6 เปอร์เซ็นต์เป็น 3.43 พันล้านคน การเติบโตนี้มาจากการขยายตัวในตลาดเกิดใหม่และการเพิ่มขึ้นของการใช้งานหลายแพลตฟอร์มของผู้ใช้แต่ละคน นอกจากนี้ แพลตฟอร์มใหม่อย่าง Threads ที่มีผู้ใช้งานเกิน 350 ล้านคนภายในเวลาไม่ถึงสองปีหลังจากเปิดตัว แสดงให้เห็นถึงความสามารถของบริษัทในการสร้างและขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
การลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านปัญญาประดิษฐ์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต บริษัทได้ปรับเพิ่มงบประมาณการลงทุนสำหรับปี 2025 เป็น 64-72 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 60-65 พันล้านดอลลาร์ การลงทุนนี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI รวมถึงศูนย์ข้อมูลและฮาร์ดแวร์ที่จำเป็นสำหรับการฝึกอบรมและการใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่ Mark Zuckerberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหารได้เน้นย้ำว่าการลงทุนนี้จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวผ่านการปรับปรุงระบบโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ตำแหน่งการแข่งขันของ Meta ในกลุ่ม Magnificent Seven แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเชิงเปรียบเทียบ ด้วยผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี 9.7 เปอร์เซ็นต์ Meta เป็นหุ้นที่มีผลงานดีที่สุดในกลุ่ม ในขณะที่หุ้นยักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง Apple ปรับตัวลง 16.2 เปอร์เซ็นต์ Tesla ลดลง 13.0 เปอร์เซ็นต์ และ Alphabet ปรับตัวลง 12.8 เปอร์เซ็นต์ ความแตกต่างนี้สะท้อนถึงความสามารถของ Meta ในการปรับตัวและรักษาการเติบโตได้ดีกว่าคู่แข่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน
การใช้เครื่องมือ AI ในการปรับปรุงการโฆษณาได้ส่งผลให้ราคาโฆษณาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการเติบโตที่สำคัญในช่วงที่ตลาดโฆษณาดิจิทัลโดยรวมเผชิญกับความท้าทาย การที่ Meta สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโฆษณาดิจิทัลเป็น 52.8 เปอร์เซ็นต์ในปี 2025 แสดงถึงประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มและความสามารถในการดึงดูดผู้ลงโฆษณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่ต้องการเครื่องมือโฆษณาที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
การบริหารเงินทุนของบริษัทแสดงถึงความสมดุลระหว่างการลงทุนเพื่ออนาคตและการคืนมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ในไตรมาสแรก Meta ใช้เงิน 13.4 พันล้านดอลลาร์ในการซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผล 1.33 พันล้านดอลลาร์ การเพิ่มอัตราเงินปันผลเป็น 0.525 ดอลลาร์ต่อหุ้นแสดงถึงความมั่นใจของผู้บริหารในกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและแนวโน้มธุรกิจในระยะยาว แม้ว่ากระแสเงินสดอิสระจะลดลงเหลือ 10.33 พันล้านดอลลาร์เนื่องจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงพอที่จะรองรับทั้งการลงทุนและการคืนเงินให้ผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด Susan Li ประธานเจ้าหน้าที่การเงินได้เตือนว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนทำให้การคาดการณ์ระยะยาวเป็นเรื่องที่ท้าทาย นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในยุโรปและการพิจารณาคดีของ Federal Trade Commission ที่พยายามยกเลิกการซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง
การลดความตึงเครียดทางการค้าหลังจากคำตัดสินของศาลสหรัฐเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อลูกค้าโฆษณารายใหญ่จากจีน บริษัทอีคอมเมิร์ซจีนอย่าง Temu และ Shein ที่เคยลดการใช้จ่ายโฆษณาในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางการค้า มีแนวโน้มที่จะกลับมาลงทุนโฆษณาอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนเพิ่มเติมสำหรับรายได้ในไตรมาสถัดไป
โดยสรุป ปัจจัยพื้นฐานของ Meta แสดงให้เห็นถึงบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน มีการเติบโตที่ยั่งยืน และมีการวางตำแหน่งที่ดีสำหรับการแข่งขันในยุคของปัญญาประดิษฐ์ แม้จะมีความท้าทายบางประการ แต่ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและการปรับตัวของบริษัททำให้ Meta ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว
การวิเคราะห์หุ้น Meta Platforms ในช่วงวันที่ 29-31 พฤษภาคม 2025 แสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัทจากช่วงปรับฐานสู่การเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางที่มีความแข็งแกร่ง การผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานที่ดีเยี่ยมและปัจจัยทางเทคนิคที่สนับสนุนกันอย่างลงตัว สร้างโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับเทรดเดอร์ในทุกระดับประสบการณ์
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค รูปแบบ Cup-with-Handle ที่สมบูรณ์บนกราฟรายวันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแนวโน้ม โดยมีจุดซื้อที่สำคัญอยู่ที่ระดับ 662.67 ดอลลาร์ การที่ราคาสามารถฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ 484.66 ดอลลาร์ขึ้นมากว่า 30 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลาไม่ถึงหกสัปดาห์ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อและความเชื่อมั่นที่กลับมาของนักลงทุน ตัวชี้วัดทางเทคนิคทั้ง RSI, MACD และ Stochastic Oscillator ต่างแสดงสัญญาณที่สอดคล้องกันในการสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น แม้ว่าบางตัวจะเริ่มเข้าใกล้โซน overbought แต่ยังไม่มีสัญญาณ divergence ที่น่ากังวล
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน ผลประกอบการไตรมาสแรกที่เหนือความคาดหมายทุกด้านได้วางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตต่อเนื่อง รายได้ที่เติบโต 16 เปอร์เซ็นต์และกำไรต่อหุ้นที่พุ่งขึ้น 37 เปอร์เซ็นต์แสดงถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่ยอดเยี่ยม การเพิ่มงบลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์เป็น 64-72 พันล้านดอลลาร์ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของผู้บริหารในการวางตำแหน่งบริษัทให้เป็นผู้นำในยุคของ AI นอกจากนี้ การที่ Meta เป็นหุ้นที่มีผลงานดีที่สุดในกลุ่ม Magnificent Seven ด้วยผลตอบแทน 9.7 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ต้นปี ยังเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งเชิงเปรียบเทียบของบริษัท
ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญที่สุดคือการลดความตึงเครียดทางการค้าหลังจากคำตัดสินของศาลสหรัฐที่ห้ามการบังคับใช้ภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Trump เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อลูกค้าโฆษณารายใหญ่จากจีน แต่ยังสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้กับการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีโดยรวม การที่ดัชนี Nasdaq futures พุ่งขึ้น 1.8 เปอร์เซ็นต์หลังจากคำตัดสินของศาลแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเหตุการณ์นี้ต่อตลาด
สำหรับแนวทางการเทรดที่เหมาะสม นักลงทุนระยะยาวควรพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวมาทดสอบแนวรับสำคัญที่ 638-640 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นบริเวณที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วันให้การสนับสนุน โดยมีเป้าหมายระยะกลางที่ 696.50 ดอลลาร์ตามคำแนะนำของนักวิเคราะห์ และเป้าหมายระยะยาวที่ 729.55 ดอลลาร์ การตั้ง stop loss ที่ระดับ 610 ดอลลาร์จะช่วยจำกัดความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
เทรดเดอร์ระยะกลางควรรอการทะลุแนวต้านที่ 662.67 ดอลลาร์พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเพื่อยืนยันสัญญาณซื้อจากรูปแบบ Cup-with-Handle การเข้าซื้อที่จุดนี้จะมีเป้าหมายแรกที่ 696.50 ดอลลาร์ ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง การใช้ trailing stop เมื่อราคาเคลื่อนไหวตามที่คาดการณ์จะช่วยรักษากำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น การซื้อขายภายในกรอบ 640-655 ดอลลาร์ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในช่วงที่ราคายังไม่สามารถทะลุแนวต้านหลักได้ การเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวมาใกล้แนวรับและมีสัญญาณจาก RSI ในกรอบเวลา M15 หรือ M30 จะให้โอกาสทำกำไรระยะสั้นที่ดี อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพตลาดและควรมีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด
ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปประกอบด้วยความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและสหภาพยุโรปที่มีกำหนดในวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ผลการดำเนินงานไตรมาสที่สองที่จะประกาศในเดือนกรกฎาคม และการพัฒนาด้านกฎระเบียบในยุโรปที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ในไตรมาสที่สาม นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่ม Magnificent Seven และดัชนี Nasdaq Composite ยังคงเป็นตัวบ่งชี้สำคัญสำหรับทิศทางของหุ้น Meta
ความเสี่ยงหลักที่ยังคงต้องระวังได้แก่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคที่อาจส่งผลต่อการใช้จ่ายโฆษณาโดยรวม การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดโฆษณาดิจิทัล และความท้าทายด้านกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการวางตำแหน่งที่ดีในด้านเทคโนโลยี AI ความเสี่ยงเหล่านี้ดูเหมือนจะสามารถจัดการได้ในระยะกลางถึงระยะยาว
โดยสรุป หุ้น Meta Platforms แสดงให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจด้วยการผสมผสานระหว่างปัจจัยทางเทคนิคที่เอื้อต่อการเติบโตและปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง การฟื้นตัวที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปในระยะกลางหากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เทรดเดอร์ที่มีความอดทนและรอจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าซื้อจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในหุ้นที่เป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในยุคของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่