Table of Contents
ภาพรวมตลาด
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (28 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2025) คู่เงิน NZD/USD เคลื่อนไหวในกรอบแคบประมาณ 0.5920-0.5990 ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากหลายด้าน ทั้งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงถึง 90%
การเคลื่อนไหวของคู่เงินนี้มีแรงกดดันในทิศทางขาลงมากกว่า โดยปัจจัยสำคัญมาจากสองประเด็นหลัก ประเด็นแรกคือ ข้อมูลเศรษฐกิจของจีนที่แสดงถึงการชะลอตัว โดยเฉพาะดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ออกมาต่ำกว่าคาดที่ 49 (ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัว) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อนิวซีแลนด์ที่พึ่งพาการส่งออกไปจีนเป็นหลัก ประเด็นที่สองคือ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และนิวซีแลนด์ที่มีแนวโน้มลดลง เมื่อ RBNZ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 basis points ในขณะที่ Fed ยังคงชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ในมุมมองทางเทคนิค คู่เงิน NZD/USD กำลังเคลื่อนไหวใต้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) หลักในกรอบเวลารายวัน ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงในระยะกลาง อย่างไรก็ตาม ในกรอบเวลาที่สั้นลง เช่น H1 และ M30 เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวเล็กน้อย โดยค่า RSI และ Stochastic เริ่มแสดงการกลับตัวจากพื้นที่ oversold ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ยังคงอยู่ในกรอบแนวโน้มขาลงหลักในระยะยาว
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับปัจจัยกดดันทางพื้นฐาน เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อจีน การคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของ RBNZ และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของนิวซีแลนด์ที่อ่อนแอลง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่อาจกดดันค่าเงินกีวีในช่วงต่อไป ในขณะเดียวกัน เทรดเดอร์ควรจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการประชุมนโยบายการเงินของ Fed ในวันที่ 7 พฤษภาคม และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและกระทบต่อคู่เงิน NZD/USD โดยตรง
จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอแนวทางการเทรดที่เหมาะสมสำหรับคู่เงิน NZD/USD ในช่วงสัปดาห์นี้ โดยพิจารณาทั้งกลยุทธ์ Trend-Following, Breakout และ Range Trading เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบสูง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึง มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคู่เงิน NZD/USD หลายประการ นักเทรดควรติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสม:
เหตุการณ์ที่ผ่านมา:
ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน (30 เมษายน 2025) ดัชนีออกมาที่ 49 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 49.9 และต่ำกว่าเดือนก่อนที่ 50.5 ซึ่งบ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคการผลิตจีน สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินนิวซีแลนด์ เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของนิวซีแลนด์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของนิวซีแลนด์ ทำให้คู่เงิน NZD/USD ปรับตัวลดลงมาปิดที่ 0.5934
แถลงการณ์ของรัฐมนตรีคลังนิวซีแลนด์ (29 เมษายน 2025) รัฐมนตรีคลัง Nicola Willis ประกาศว่าการใช้จ่ายพื้นฐานในงบประมาณปี 2025 จะถูกลดลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายลง สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจของนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน (28-29 เมษายน 2025) มีข้อความขัดแย้งเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่ามีการสื่อสารกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แต่โฆษกสถานทูตจีนปฏิเสธว่า “จีนและสหรัฐฯ ไม่ได้มีการปรึกษาหรือเจรจาเกี่ยวกับภาษีใดๆ” ความไม่แน่นอนนี้สร้างความผันผวนให้กับตลาดและส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
เหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึง:
การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (7 พฤษภาคม 2025) นักลงทุนจะจับตาการประชุม FOMC ของ Fed เพื่อรับสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยและมาตรการทางการเงินในอนาคต ถ้า Fed ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป จะเป็นปัจจัยหนุนดอลลาร์สหรัฐและกดดันคู่เงิน NZD/USD เพิ่มเติม
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2025) เป็นข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางของดอลลาร์สหรัฐ หากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด อาจเพิ่มความมั่นใจในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหนุนค่าเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ NZD/USD มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (คาดการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2025) ตลาดคาดการณ์ว่า RBNZ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points ในการประชุมครั้งถัดไป โดยมีความเป็นไปได้ถึง 90% หากเกิดขึ้นจริง จะกดดันค่าเงินนิวซีแลนด์และอาจทำให้ NZD/USD ทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 0.5880-0.5900
ข้อมูลตลาดแรงงานของนิวซีแลนด์ (คาดการณ์เร็วๆ นี้) ข้อมูลการจ้างงานและอัตราการว่างงานของนิวซีแลนด์จะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงสภาวะเศรษฐกิจ หากตัวเลขออกมาอ่อนแอ จะยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่ RBNZ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และกดดันค่าเงินนิวซีแลนด์เพิ่มเติม
ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศของจีน (คาดการณ์กลางเดือนพฤษภาคม) เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของนิวซีแลนด์ ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกของจีนจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจนิวซีแลนด์และค่าเงิน NZD ถ้าตัวเลขการค้าของจีนแสดงถึงการชะลอตัวต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยลบต่อเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์
ผลกระทบที่คาดการณ์:
ในภาพรวม เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นมีแนวโน้มสร้างแรงกดดันต่อคู่เงิน NZD/USD มากกว่าให้แรงหนุน โดยเฉพาะความเป็นไปได้สูงที่ RBNZ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ Fed อาจชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศกว้างขึ้น ซึ่งจะกดดันให้ NZD/USD มีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
นักเทรดควรติดตามข้อมูลเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นโดยเฉพาะในช่วงมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ควรพิจารณาปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับผลการประกาศเหล่านี้ และระมัดระวังการเปิดสถานะใหม่ในช่วงก่อนการประกาศข้อมูลสำคัญ
การวิเคราะห์กราฟ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของคู่เงิน NZD/USD ในกรอบเวลาที่หลากหลายให้มุมมองที่ครอบคลุมทั้งแนวโน้มระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น โดยสามารถสรุปได้ดังนี้:
การวิเคราะห์กรอบเวลารายวัน (D1)
กราฟรายวันแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน โดยราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) ทั้ง 4 เส้นหลัก ซึ่งยืนยันภาพแนวโน้มขาลงในระยะกลางถึงยาว
ค่า RSI รายวัน อยู่ที่ประมาณ 42-45 ซึ่งยังไม่เข้าสู่สภาวะ oversold แต่ก็ยังคงแสดงแนวโน้มอ่อนแรงต่อเนื่อง
MACD แสดงค่า Histogram เป็นลบ และเส้น MACD อยู่ต่ำกว่าเส้น Signal แสดงถึงโมเมนตัมขาลงที่ยังคงมีอยู่
Stochastic Oscillator (%K และ %D) อยู่ในโซนกลางค่อนไปทางต่ำ ยืนยันแนวโน้มขาลงในภาพรวม
แนวโน้มหลัก ยังคงเป็นขาลง โดยราคามีการสร้าง Lower Highs และ Lower Lows ต่อเนื่อง
เพื่อยืนยันทิศทางขาลงในระยะกลาง จะต้องสังเกตว่าราคายังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่า SMA 200 วันอย่างชัดเจน และยังไม่มีสัญญาณการเกิด Golden Cross (SMA ระยะสั้นตัดขึ้นเหนือ SMA ระยะยาว) ซึ่งจะเป็นสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาขึ้น
การวิเคราะห์กรอบเวลา 4 ชั่วโมง (H4)
กราฟ 4 ชั่วโมงแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบบริเวณ 0.5920-0.5990 ในช่วงที่ผ่านมา โดยมีรายละเอียดดังนี้:
รูปแบบกราฟ มีลักษณะเป็น Range-Bound หรือการเคลื่อนไหวในกรอบ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในตลาด
เส้น SMA มีลักษณะแบนราบมากขึ้น แสดงถึงการชะลอตัวของแนวโน้มขาลงในระยะสั้น
ค่า RSI ในกรอบเวลา H4 เริ่มมีการฟื้นตัวจากโซน oversold แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าเส้นกลางที่ 50 แสดงว่าแรงขายยังมีมากกว่าแรงซื้อในภาพรวม
MACD Histogram เริ่มมีขนาดเล็กลง แสดงถึงการลดลงของแรงขาย แต่ยังไม่มีสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน
สังเกตได้ว่ามีการสร้าง Fractal Pattern ที่สำคัญในกรอบ H4 โดยมี Down Fractal ที่บริเวณ 0.6000 ซึ่งกลายเป็นแนวต้านสำคัญ และ Up Fractal ที่บริเวณ 0.5920 ซึ่งกลายเป็นแนวรับสำคัญในระยะสั้น
การวิเคราะห์กรอบเวลา 1 ชั่วโมง (H1)
กราฟรายชั่วโมงให้ภาพที่ละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มในระยะสั้น:
รูปแบบกราฟ เริ่มแสดงการฟื้นตัวเล็กน้อยจากบริเวณแนวรับ 0.5920
Stochastic Oscillator เริ่มมีการตัดขึ้น (Bullish Crossover) ในโซน oversold แสดงถึงโอกาสในการฟื้นตัวในระยะสั้น
ค่า RSI เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำ และมีการสร้าง Positive Divergence เล็กน้อย (RSI สร้าง Higher Low ในขณะที่ราคาสร้าง Lower Low) ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกในระยะสั้น
เส้น SMA ระยะสั้น (SMA #1 และ #2) เริ่มแบนราบและมีแนวโน้มที่จะกลับตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ยังไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวในระยะสั้นอาจไม่มีแรงหนุนที่แข็งแกร่ง และอาจเป็นเพียงการฟื้นตัวทางเทคนิคชั่วคราวเท่านั้น
การวิเคราะห์กรอบเวลา 30 นาที (M30) และกรอบเวลาที่สั้นกว่า
กราฟในกรอบเวลาที่สั้นลงแสดงสัญญาณการฟื้นตัวในระยะสั้นที่ชัดเจนมากขึ้น:
M30 และ M15 แสดงการฟื้นตัวจากแนวรับ 0.5920 โดยมีรูปแบบ Double Bottom เล็กๆ ซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวในระยะสั้น
Stochastic และ RSI ในกรอบเวลา M30, M15 และ M5 เริ่มเข้าสู่โซน overbought เร็วขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาอาจจะเผชิญแรงขายเมื่อเข้าใกล้แนวต้านที่ 0.5960-0.5990
MACD ในกรอบเวลาสั้นเริ่มมีการตัดขึ้นเหนือเส้น Signal แสดงถึงโมเมนตัมขาขึ้นในระยะสั้นมาก
สรุปการวิเคราะห์กราฟ:
แนวโน้มระยะยาว : ยังคงเป็นขาลง ตามที่เห็นในกราฟ D1 โดยราคายังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่า SMA ระยะยาวทั้งหมด
แนวโน้มระยะกลาง : มีการชะลอตัวของแนวโน้มขาลง และเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (0.5920-0.5990) ตามที่เห็นในกราฟ H4
แนวโน้มระยะสั้น : มีสัญญาณการฟื้นตัวจากแนวรับที่ 0.5920 โดยอาจมีการทดสอบแนวต้านที่ 0.5960-0.5990 ตามที่เห็นในกราฟ H1, M30 และกรอบเวลาที่สั้นกว่า
การวิเคราะห์กราฟหลายกรอบเวลานี้บ่งชี้ว่า คู่เงิน NZD/USD มีโอกาสที่จะฟื้นตัวในระยะสั้นไปทดสอบแนวต้านที่ 0.5960-0.5990 แต่ในภาพรวมแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลง และการฟื้นตัวในระยะสั้นนี้อาจเป็นโอกาสให้นักเทรดพิจารณาเข้าสถานะ Sell เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านสำคัญและมีการยืนยันจากเครื่องมือทางเทคนิค
หากมีปัจจัยพื้นฐานที่เข้ามากระทบอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาดหรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินที่ไม่คาดคิด อาจทำให้รูปแบบทางเทคนิคนี้ถูกหักล้างได้ ดังนั้น นักเทรดควรติดตามทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานประกอบกัน
ระดับแนวต้านสำคัญ
การระบุระดับแนวต้านที่สำคัญเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางแผนการเทรด ช่วยให้นักเทรดสามารถกำหนดจุดเข้า-ออกตำแหน่ง และจุดตั้ง Stop Loss ได้อย่างเหมาะสม สำหรับคู่เงิน NZD/USD มีระดับแนวต้านสำคัญที่ควรติดตามดังนี้:
แนวต้านระดับที่ 1: 0.5960-0.5965
ระดับนี้เป็นแนวต้านในระยะสั้นที่เกิดจากการทดสอบซ้ำหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา เป็นบริเวณที่มี SMA 20 ในกรอบเวลา H4 พาดผ่าน และเป็นจุดกึ่งกลางของกรอบการเคลื่อนไหวล่าสุด (0.5920-0.5990) นักเทรดระยะสั้นควรให้ความสำคัญกับระดับนี้เนื่องจาก:
เป็นระดับที่ราคามักเผชิญแรงขายเมื่อทดสอบขึ้นไป
สอดคล้องกับค่า Fibonacci Retracement 38.2% ของการปรับตัวลงล่าสุด
มีการสร้าง Lower Highs ในกรอบ H1 บริเวณนี้หลายครั้ง
หากราคาสามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูง อาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 0.5990 แต่หากเกิดแรงขายที่ระดับนี้ ราคาอาจกลับลงมาทดสอบแนวรับที่ 0.5920 อีกครั้ง
แนวต้านระดับที่ 2: 0.5985-0.5990
นี่เป็นแนวต้านสำคัญที่เป็นขอบบนของกรอบการเคลื่อนไหวล่าสุด มีความสำคัญมากเนื่องจาก:
เป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญใกล้ 0.6000
เป็นบริเวณที่มี SMA 50 ในกรอบเวลา H4 พาดผ่าน
มีการสร้าง Down Fractal ที่ชัดเจนในบริเวณนี้จากข้อมูลเทคนิค
เป็นระดับที่มีแรงขายเข้ามาหนาแน่นในช่วงที่ผ่านมา
แนวต้านที่ 0.5990 นี้ถือเป็นแนวต้านแข็งแกร่งในระยะสั้นถึงระยะกลาง หากราคาสามารถผ่านระดับนี้ไปได้ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะสั้นเป็นขาขึ้น แต่จากปัจจัยพื้นฐานที่กดดันค่าเงิน NZD ในปัจจุบัน โอกาสที่ราคาจะทะลุแนวต้านนี้ไปได้ยังมีจำกัด ทำให้บริเวณนี้เป็นโอกาสดีในการพิจารณาเปิดสถานะ Sell
แนวต้านระดับที่ 3: 0.6010-0.6020
แม้ว่าจะอยู่เหนือกรอบการเคลื่อนไหวปัจจุบัน แต่ระดับนี้มีความสำคัญในภาพระยะกลาง เนื่องจาก:
เป็นระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 0.6000 (พร้อมแนวต้านเทคนิคเพิ่มเติมที่ 0.6020)
มีการสร้าง Strong Resistance Zone ในอดีต บริเวณนี้
เป็นระดับที่สอดคล้องกับค่า Fibonacci Retracement 61.8% ของการปรับตัวลงล่าสุด
ใกล้กับเส้น SMA 100 ในกรอบเวลา H4
หากมีปัจจัยพื้นฐานเชิงบวกที่แข็งแกร่งมาสนับสนุน เช่น การระงับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หรือ RBNZ ส่งสัญญาณชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ราคาอาจมีโอกาสทะลุแนวต้านที่ 0.5990 และทดสอบระดับ 0.6010-0.6020 นี้ได้ อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาสนี้ยังคงต่ำ
แนวต้านระดับที่ 4: 0.6050-0.6070
นี่เป็นแนวต้านระยะยาวที่สำคัญ ซึ่งมีความสำคัญในกรอบเวลา D1 เนื่องจาก:
เป็นบริเวณที่มีเส้น SMA 200 วันพาดผ่าน
เป็นจุดที่ราคาเคยทดสอบและเกิดแรงขายอย่างมีนัยสำคัญในช่วงก่อนหน้านี้
สอดคล้องกับระดับแนวต้านเดิม (Previous Support turned Resistance)
มี Volume Profile ที่แสดงถึงปริมาณการซื้อขายสูงในบริเวณนี้
การที่ราคาจะทะลุระดับนี้ไปได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของ Fed หรือ RBNZ ที่ไม่คาดคิด หรือการปรับปรุงสถานการณ์เศรษฐกิจของนิวซีแลนด์อย่างมาก
การนำไปใช้ในกลยุทธ์การเทรด
กลยุทธ์สำหรับ Trend-Following Traders :
พิจารณาเปิดสถานะ Sell เมื่อราคาทดสอบแนวต้านที่ 0.5985-0.5990 และมีสัญญาณการกลับตัวลงจากเครื่องมือทางเทคนิค เช่น RSI เข้าสู่โซน overbought หรือ Stochastic เริ่มตัดลง
วาง Stop Loss เหนือระดับ 0.6010-0.6020
ตั้งเป้าหมายกำไรที่แนวรับ 0.5920 หรือต่ำกว่า
กลยุทธ์สำหรับ Range Traders :
เปิดสถานะ Sell เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน 0.5960-0.5965 หรือ 0.5985-0.5990 โดยวาง Stop Loss ประมาณ 30-40 pips เหนือจุดเข้า
ตั้งเป้าหมายกำไรที่กลางกรอบ (0.5950) หรือที่แนวรับด้านล่าง (0.5920)
กลยุทธ์สำหรับ Contrarian Traders :
ติดตามสัญญาณของการกลับตัวที่แนวต้าน 0.5985-0.5990
หากราคาสามารถทะลุแนวต้านนี้ไปได้ด้วยปริมาณการซื้อขายสูงและมีการยืนยันจากเครื่องมือทางเทคนิค อาจพิจารณาเปิดสถานะ Buy เพื่อทำกำไรจากการกลับตัวในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่ากลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงสูงในสภาวะตลาดปัจจุบัน
การติดตามระดับแนวต้านเหล่านี้อย่างใกล้ชิดร่วมกับสัญญาณจากเครื่องมือทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน จะช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนเช่นปัจจุบัน
ระดับแนวรับสำคัญ
การระบุระดับแนวรับที่สำคัญมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนการเทรด ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุจุดปิดกำไรสำหรับสถานะ Sell รวมถึงพิจารณาโอกาสในการเปิดสถานะ Buy เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับที่แข็งแกร่ง สำหรับคู่เงิน NZD/USD มีระดับแนวรับสำคัญที่ควรติดตามดังนี้:
แนวรับระดับที่ 1: 0.5920-0.5930
ระดับนี้เป็นแนวรับสำคัญในระยะสั้นที่ได้รับการทดสอบและยืนยันหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา มีความสำคัญเนื่องจาก:
เป็นขอบล่างของกรอบการเคลื่อนไหวล่าสุด (0.5920-0.5990)
มีการสร้าง Up Fractal หลายจุดในบริเวณนี้จากข้อมูลเทคนิค
เป็นระดับที่ RSI และ Stochastic มักจะเข้าสู่โซน oversold และเริ่มกลับตัว
มีปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพิ่มขึ้นเมื่อราคาทดสอบบริเวณนี้ แสดงถึงความสนใจจากผู้ซื้อ
แนวรับที่ 0.5920-0.5930 นี้เป็นแนวรับแข็งแกร่งในระยะสั้น หากราคาทดสอบระดับนี้อีกครั้ง และมีสัญญาณการกลับตัวขึ้นจากเครื่องมือทางเทคนิค (เช่น RSI แสดง Bullish Divergence หรือ Stochastic มีการตัดขึ้นในโซน oversold) อาจเป็นโอกาสในการพิจารณาเปิดสถานะ Buy ในระยะสั้น
แนวรับระดับที่ 2: 0.5880-0.5890
แนวรับนี้เป็นระดับที่สำคัญในระยะกลาง แม้จะยังไม่ได้ถูกทดสอบในช่วงการเคลื่อนไหวล่าสุด แต่มีความสำคัญเนื่องจาก:
เป็นระดับ Fibonacci Extension 127.2% ของการฟื้นตัวล่าสุด
เป็นบริเวณที่เคยเป็นแนวรับสำคัญในช่วงก่อนหน้านี้ (Previous Support)
สอดคล้องกับแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับ 0.5900
มี Historical Volume Profile ที่แสดงถึงการสะสมปริมาณการซื้อขายในบริเวณนี้
หากแนวรับที่ 0.5920-0.5930 ไม่สามารถยืนได้ ราคามีโอกาสที่จะลงมาทดสอบแนวรับนี้ ซึ่งอาจเป็นระดับที่นักเทรดระยะกลางพิจารณาเข้าซื้อหรือปิดกำไรสถานะ Sell
แนวรับระดับที่ 3: 0.5840-0.5850
นี่เป็นแนวรับสำคัญในระยะกลางถึงยาว มีความสำคัญเนื่องจาก:
เป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา (Recent Multi-Month Lows)
สอดคล้องกับ Fibonacci Extension 161.8% ของการฟื้นตัวล่าสุด
เป็นบริเวณที่มักมีแรงซื้อเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญในอดีต
มีการสร้าง Strong Demand Zone ในบริเวณนี้จากการวิเคราะห์ Price Action ในกรอบเวลา D1
หากปัจจัยพื้นฐานยังคงกดดันค่าเงิน NZD อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points ตามที่คาดการณ์ ราคามีโอกาสที่จะทดสอบแนวรับนี้ ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการพิจารณาเข้าซื้อในมุมมองระยะกลาง
แนวรับระดับที่ 4: 0.5780-0.5800
นี่เป็นแนวรับระยะยาวที่มีความสำคัญในกรอบเวลา D1 และ W1 เนื่องจาก:
เป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
มี Historical Support Zone ที่แข็งแกร่งในบริเวณนี้
สอดคล้องกับระดับ Fibonacci Projection สำคัญจากการเคลื่อนไหวในระยะยาว
เป็นบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมากในอดีต (Heavy Historical Volume)
การที่ราคาจะลงมาถึงระดับนี้ต้องมีแรงกดดันจากปัจจัยพื้นฐานอย่างมาก เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยรุนแรงกว่าคาด การเพิ่มความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนอย่างรุนแรง หรือข้อมูลเศรษฐกิจนิวซีแลนด์ที่แย่กว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ
การนำไปใช้ในกลยุทธ์การเทรด
กลยุทธ์สำหรับ Trend-Following Traders :
หากถือสถานะ Sell ตั้งแต่บริเวณแนวต้าน 0.5985-0.5990 อาจพิจารณาทยอยปิดกำไรบางส่วนที่แนวรับ 0.5920-0.5930 และส่วนที่เหลือที่แนวรับ 0.5880-0.5890
หากราคาหลุดแนวรับ 0.5920-0.5930 ด้วยปริมาณการซื้อขายสูง อาจพิจารณาเพิ่มสถานะ Sell โดยมีเป้าหมายที่แนวรับถัดไปที่ 0.5880-0.5890
กลยุทธ์สำหรับ Range Traders :
พิจารณาเปิดสถานะ Buy เมื่อราคาทดสอบแนวรับ 0.5920-0.5930 และมีสัญญาณการกลับตัวจากเครื่องมือทางเทคนิค
วาง Stop Loss ประมาณ 20-30 pips ใต้จุดเข้า
ตั้งเป้าหมายกำไรที่กลางกรอบ (0.5950) หรือที่แนวต้านด้านบน (0.5985-0.5990)
กลยุทธ์สำหรับ Counter-Trend Traders :
ติดตามสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่ง เช่น Bullish Divergence ใน RSI ในกรอบเวลา H4 หรือ D1 เมื่อราคาทดสอบแนวรับ 0.5880-0.5890
หากพบสัญญาณดังกล่าว อาจพิจารณาเปิดสถานะ Buy ที่บริเวณนี้โดยวาง Stop Loss ใต้ระดับ 0.5840
ตั้งเป้าหมายกำไรที่แนวต้าน 0.5960 หรือ 0.5990
กลยุทธ์สำหรับ Long-Term Investors :
พิจารณาสะสมสถานะ Buy ที่แนวรับ 0.5840-0.5850 หรือ 0.5780-0.5800 หากเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวของนิวซีแลนด์ยังคงแข็งแกร่ง
วาง Stop Loss ที่ระดับต่ำกว่าแนวรับเหล่านี้ประมาณ 50-70 pips
ตั้งเป้าหมายกำไรระยะยาวที่ 0.6100-0.6200
การติดตามการทดสอบแนวรับเหล่านี้อย่างใกล้ชิด ร่วมกับการวิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา (Price Action) และสัญญาณจากเครื่องมือทางเทคนิค จะช่วยให้นักเทรดสามารถระบุจุดซื้อ-ขายที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง โดยเฉพาะในภาวะตลาดที่มีแนวโน้มไม่ชัดเจนเช่นปัจจุบัน
ปัจจัยพื้นฐาน
ปัจจัยพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางระยะกลางถึงยาวของคู่เงิน NZD/USD โดยเฉพาะในสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง การวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้นักเทรดเข้าใจแรงขับเคลื่อนพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา
นโยบายการเงินและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) :
ตลาดคาดการณ์ว่า RBNZ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points ในการประชุมเดือนพฤษภาคม โดยมีความเป็นไปได้สูงถึง 90%
อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 3.5% และคาดว่าจะลดลงเหลือ 2.75% ภายในสิ้นปี 2025
รัฐมนตรีคลังนิวซีแลนด์ Nicola Willis ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายลง และประกาศลดการใช้จ่ายพื้นฐานในงบประมาณ ซึ่งเป็นสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
ข้อมูลตลาดแรงงานที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่านมายิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่ RBNZ จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) :
Fed ยังคงชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยการประชุม FOMC ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ Fed มีพื้นที่ในการรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปได้
ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่าง Fed และ RBNZ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ในระยะกลาง เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทำให้สินทรัพย์ในนิวซีแลนด์มีความน่าดึงดูดลดลง
ความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจโลก
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน :
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจนิวซีแลนด์
มีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับสถานะการเจรจา โดยประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่ามีการสื่อสารกับจีน แต่ฝ่ายจีนปฏิเสธข้อกล่าวอ้างดังกล่าว
รายงานระบุว่าผู้ผลิตบางรายในจีนกำลังระงับการผลิตและมองหาตลาดทางเลือกเพื่อตอบสนองต่อภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกของนิวซีแลนด์
ความไม่แน่นอนนี้สร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินที่พึ่งพาการค้าอย่าง NZD โดยเฉพาะเมื่อจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์
เศรษฐกิจจีน :
ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนออกมาที่ 49 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ 49.9 และต่ำกว่าเดือนก่อนที่ 50.5 บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคการผลิต
ทางการจีนได้ประกาศมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยจะเร่งการออกหนี้ ผ่อนคลายนโยบายการเงิน และให้การสนับสนุนนายจ้าง
การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อนิวซีแลนด์ที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมไปยังจีน
สถานะเศรษฐกิจนิวซีแลนด์
การส่งออกและการค้า :
การส่งออกของนิวซีแลนด์ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้าโลกและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
สินค้าส่งออกหลักของนิวซีแลนด์ เช่น ผลิตภัณฑ์นม เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ป่าไม้ ยังคงเผชิญความท้าทายจากความต้องการที่ลดลงในตลาดหลัก
การพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนในสัดส่วนที่สูงทำให้นิวซีแลนด์มีความเปราะบางต่อความผันผวนในเศรษฐกิจจีน
ตลาดที่อยู่อาศัยและการบริโภคภายในประเทศ :
ตลาดที่อยู่อาศัยในนิวซีแลนด์ยังคงอ่อนแอ โดยราคาบ้านมีแนวโน้มลดลงในหลายพื้นที่
การใช้จ่ายของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงและภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แม้จะเริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวของเงินเฟ้อ
ความเชื่อมั่นทางธุรกิจและผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต
ตลาดแรงงาน :
มีสัญญาณของการอ่อนตัวในตลาดแรงงานนิวซีแลนด์ โดยอัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
การชะลอตัวของภาคธุรกิจทำให้การจ้างงานลดลง โดยเฉพาะในภาคการก่อสร้างและการผลิต
สถานการณ์นี้เพิ่มความเป็นไปได้ที่ RBNZ จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาด (Intermarket Relationships)
ความสัมพันธ์กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ :
เงินดอลลาร์นิวซีแลนด์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์
การปรับตัวลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกส่งผลกระทบต่อรายได้จากการส่งออกของนิวซีแลนด์และกดดันค่าเงิน NZD
ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น :
NZD มักเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชีย
ในช่วงที่ตลาดมีความเสี่ยงสูง (Risk-Off) นักลงทุนมักจะลดการถือครองสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง NZD และหันไปถือครองสกุลเงินปลอดภัยอย่างดอลลาร์สหรัฐ
ความสัมพันธ์กับสกุลเงินอื่น :
NZD มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) เนื่องจากความคล้ายคลึงของโครงสร้างเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการค้า
การอ่อนค่าของ AUD มักส่งผลให้ NZD อ่อนค่าตามไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อเกิดจากปัจจัยภายนอกที่กระทบกับทั้งสองเศรษฐกิจ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
มุมมองที่มีต่อ NZD/USD ในระยะข้างหน้า
ระยะสั้น (1-2 สัปดาห์) :
ปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่ยังคงกดดันค่าเงิน NZD โดยคาดว่าคู่เงิน NZD/USD จะเคลื่อนไหวในกรอบ 0.5880-0.5990
การประชุมนโยบายการเงินของ Fed และตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางในระยะสั้น
ระยะกลาง (1-3 เดือน) :
การลดอัตราดอกเบี้ยของ RBNZ มีแนวโน้มที่จะกดดันค่าเงิน NZD ต่อไป
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจนิวซีแลนด์
คาดว่าคู่เงิน NZD/USD จะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 0.5750-0.6050 โดยมีอคติไปทางขาลง
ระยะยาว (6-12 เดือน) :
แนวโน้มในระยะยาวขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและจีน รวมถึงทิศทางของนโยบายการเงินในสหรัฐฯ และนิวซีแลนด์
หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและความตึงเครียดทางการค้าลดลง อาจให้แรงหนุนค่าเงิน NZD ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาโครงสร้างภายในเศรษฐกิจนิวซีแลนด์ เช่น ตลาดที่อยู่อาศัยที่อ่อนแอและหนี้ครัวเรือนที่สูง อาจจำกัดการฟื้นตัวของเงิน NZD แม้ในสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น
การติดตามปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้อย่างใกล้ชิด ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ทิศทางของคู่เงิน NZD/USD ได้แม่นยำยิ่งขึ้น และปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
บทสรุป
การวิเคราะห์คู่เงิน NZD/USD ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (28 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2025) แสดงให้เห็นภาพรวมของการเคลื่อนไหวในกรอบแคบบริเวณ 0.5920-0.5990 ท่ามกลางแรงกดดันจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ในการวิเคราะห์นี้ได้นำเสนอมุมมองที่ครอบคลุมทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน เพื่อให้นักเทรดสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปการวิเคราะห์ทางเทคนิค
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคในหลายกรอบเวลา พบว่าคู่เงิน NZD/USD มีแนวโน้มหลักเป็นขาลงในระยะกลางถึงยาว โดยยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) หลักในกรอบเวลารายวัน อย่างไรก็ตาม ในกรอบเวลาที่สั้นลง เช่น H1 และ M30 เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวเล็กน้อย โดยค่า RSI และ Stochastic เริ่มแสดงการกลับตัวจากพื้นที่ oversold ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ยังคงอยู่ในกรอบแนวโน้มหลักขาลงในระยะยาว
ระดับแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 0.5960-0.5965 (แนวต้านระยะสั้น) และ 0.5985-0.5990 (แนวต้านระดับกลาง) โดยการทะลุแนวต้านที่ 0.5990 ขึ้นไปยังต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานเชิงบวกที่แข็งแกร่งมาสนับสนุน ในขณะที่ระดับแนวรับสำคัญอยู่ที่ 0.5920-0.5930 (แนวรับระยะสั้น) และ 0.5880-0.5890 (แนวรับระดับกลาง) หากแนวรับที่ 0.5920 ไม่สามารถยืนได้ ราคามีโอกาสที่จะลงมาทดสอบแนวรับที่ 0.5880 ในระยะเวลาอันใกล้
สรุปปัจจัยพื้นฐาน
ปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่ยังคงกดดันค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ โดยปัจจัยสำคัญได้แก่:
นโยบายการเงิน : ตลาดคาดการณ์ว่า RBNZ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 basis points ในการประชุมเดือนพฤษภาคม ในขณะที่ Fed ยังคงชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศกว้างขึ้น ซึ่งกดดันค่าเงิน NZD
การเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน : ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงสร้างความผันผวนในตลาด โดยเฉพาะสำหรับสกุลเงินที่พึ่งพาการค้าอย่าง NZD
เศรษฐกิจจีน : ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนที่ออกมาต่ำกว่าคาด (49 vs 49.9) บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคการผลิจีน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อนิวซีแลนด์ที่พึ่งพาการส่งออกไปจีนเป็นหลัก
สถานะเศรษฐกิจนิวซีแลนด์ : มีสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน ทั้งการส่งออก ตลาดที่อยู่อาศัย การบริโภคภายในประเทศ และตลาดแรงงาน ทำให้ RBNZ มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม
กลยุทธ์การเทรดที่แนะนำ
จากการวิเคราะห์ทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน นักเทรดสามารถพิจารณากลยุทธ์การเทรดดังนี้:
1. กลยุทธ์ Trend-Following (แนวโน้มขาลง)
พิจารณาเปิดสถานะ Sell เมื่อราคาทดสอบแนวต้านที่ 0.5985-0.5990 และมีการยืนยันจากเครื่องมือทางเทคนิค (เช่น RSI เข้าสู่โซน overbought หรือ MACD แสดงสัญญาณขาลง)
วาง Stop Loss เหนือระดับ 0.6010
ตั้งเป้าหมายกำไรที่ 0.5920 (แนวรับแรก) และ 0.5880 (แนวรับที่สอง)
2. กลยุทธ์ Range Trading
เปิดสถานะ Buy เมื่อราคาทดสอบแนวรับที่ 0.5920-0.5930 และมีสัญญาณการกลับตัวขึ้น
วาง Stop Loss ที่ระดับ 0.5900 หรือต่ำกว่าแนวรับประมาณ 20-30 pips
ตั้งเป้าหมายกำไรที่กลางกรอบ (0.5950-0.5960) หรือที่แนวต้านด้านบน (0.5985-0.5990)
ในทางกลับกัน พิจารณาเปิดสถานะ Sell เมื่อราคาทดสอบแนวต้านที่ 0.5985-0.5990 และเริ่มแสดงสัญญาณการกลับตัวลง
3. กลยุทธ์ Breakout Trading
หากราคาหลุดแนวรับที่ 0.5920 ด้วยปริมาณการซื้อขายสูงและมีการยืนยันจากเครื่องมือทางเทคนิค พิจารณาเปิดสถานะ Sell เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวลงต่อเนื่อง
ในทางกลับกัน หากราคาทะลุแนวต้านที่ 0.5990 ขึ้นไปและมีการยืนยันจากปัจจัยพื้นฐานเชิงบวก (เช่น การระงับการเพิ่มภาษีระหว่างสหรัฐฯ-จีน) อาจพิจารณาเปิดสถานะ Buy เพื่อทำกำไรจากการกลับตัวในระยะสั้น
การจัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง นักเทรดควรปฏิบัติตามหลักการดังนี้:
จำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง : ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงประกาศข้อมูลสำคัญ : ควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการเปิดสถานะใหม่ก่อนการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะการประชุมนโยบายการเงินของ Fed และ RBNZ
ใช้การยืนยันจากหลายเครื่องมือ : ไม่ควรตัดสินใจเทรดจากสัญญาณของเครื่องมือทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว ควรใช้การยืนยันจากหลายเครื่องมือและหลายกรอบเวลา
ติดตามปัจจัยพื้นฐานอย่างใกล้ชิด : การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินหรือสถานการณ์การค้าโลกอาจส่งผลให้รูปแบบทางเทคนิคถูกหักล้างได้
มีแผนสำรอง : เตรียมแผนรองรับสถานการณ์ที่ตลาดอาจเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
มองไปข้างหน้า
ในสัปดาห์ที่จะมาถึง นักเทรดควรให้ความสำคัญกับเหตุการณ์สำคัญต่อไปนี้:
การประชุมนโยบายการเงินของ Fed ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2025
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
การประชุมนโยบายการเงินของ RBNZ ที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม
ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของนิวซีแลนด์และจีน
โดยสรุป คู่เงิน NZD/USD มีแนวโน้มหลักเป็นขาลงในระยะกลางถึงยาว โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 0.5880-0.5990 ในระยะสั้น ปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่ยังคงกดดันค่าเงิน NZD ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของ RBNZ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน อย่างไรก็ตาม อาจมีโอกาสในการฟื้นตัวในระยะสั้นจากระดับที่ต่ำมากในปัจจุบัน ซึ่งนักเทรดสามารถใช้กลยุทธ์ Range Trading เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวในกรอบได้ แต่ควรระมัดระวังและให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงเป็นอันดับแรก
นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรติดตามทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเทรด