หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกในช่วงหลายปีข้างหน้า การประกาศขึ้นภาษีศุลกากรของทั้งสองประเทศในเดือนเมษายน 2025 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อตลาดการเงินทั่วโลก และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 50% หากรัฐบาลจีนไม่ยกเลิกภาษี 34% ที่เพิ่งประกาศใช้กับสินค้าอเมริกัน นโยบายการค้าเชิงรุกนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษี 20% กับสินค้าจีนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และต่อมาเพิ่มเป็น 34% ในช่วงต้นเดือนเมษายน รวมภาษีใหม่ทั้งหมดในปีนี้อยู่ที่ระดับ 54%
กระทรวงพาณิชย์จีนตอบโต้ด้วยการประกาศว่าจะ “สู้จนถึงที่สุด” และเตรียมใช้มาตรการหลายด้านเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ นอกจากการเก็บภาษี 34% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐฯ แล้ว จีนยังมีการจำกัดการส่งออกธาตุหายากที่สำคัญ การห้ามส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง และการนำบริษัทสหรัฐฯ เข้าสู่ “รายชื่อหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” ซึ่งทำให้บริษัทเหล่านั้นเผชิญกับข้อจำกัดมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจในจีน
ความตึงเครียดครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อตลาดการเงินทั่วโลก ตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐฯ และจีนปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงที่ร่วงลงมากถึง 12.6% และดัชนีเทคโนโลยีลดลง 16.67% ภายในวันเดียว ส่วนในตลาดฟอเร็กซ์ ค่าเงินหยวนอ่อนตัวลงต่อเนื่อง โดยธนาคารกลางจีนได้กำหนดอัตรากลางหยวนที่ 7.2038 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่กันยายน 2023
ขณะเดียวกัน ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก็ได้รับผลกระทบจากการจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากของจีน ซึ่งทำให้ราคาเนโอดีเมียมและดิสโพรเซียมพุ่งสูงขึ้นถึง 25% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลง 3.2% จากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่กลับมาทวีความรุนแรงในปี 2025 ถือเป็นการยกระดับสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกอย่างรุนแรง ปัญหานี้เริ่มต้นเมื่อสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 20% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และต่อมาได้เพิ่มเป็น 34% ในต้นเดือนเมษายน รวมภาษีใหม่ที่เก็บจากจีนในปีนี้แล้วอยู่ที่ระดับ 54%
ในการตอบโต้ จีนประกาศเก็บภาษีเพิ่ม 34% กับสินค้านำเข้าทุกประเภทจากสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2025 เป็นต้นไป มาตรการภาษีนี้ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของสหรัฐฯ ที่เก็บจากจีนสูงถึง 65% ขณะที่มาตรการของจีนครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท รวมถึงผลิตภัณฑ์เกษตร อุตสาหกรรมการบิน เทคโนโลยี และพลังงาน
ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 50% หากจีนไม่ถอนภาษี 34% ที่เพิ่งประกาศ จีนตอบโต้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวโดยกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า “จะสู้จนถึงที่สุด” พร้อมใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศ
นอกเหนือจากการขึ้นภาษี รัฐบาลจีนยังดำเนินมาตรการตอบโต้เพิ่มเติม ดังนี้:
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการขึ้นภาษีครั้งนี้มีความรุนแรง โดย Morgan Stanley ประเมินว่ามาตรการภาษีใหม่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน 1.5 ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หากความขัดแย้งยืดเยื้อและยกระดับเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ
ในด้านค่าเงิน ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้กำหนดอัตรากลางสำหรับหยวนในประเทศที่ 7.2038 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่กันยายน 2023 การอ่อนค่าของหยวนถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จีนใช้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าส่งออกของจีน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายรายมองว่าสถานการณ์จะยกระดับความรุนแรงในระยะสั้น แต่ในที่สุดทั้งสองฝ่ายจะเจรจากันเมื่อรู้สึกถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรง ซึ่งเวลานั้นอาจอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนในระยะสั้นยังคงเป็นปัจจัยกดดันหลักต่อตลาดการเงินทั่วโลก
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในปี 2025 มีพัฒนาการที่รวดเร็วและซับซ้อน โดยทั้งสองประเทศใช้มาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อกัน ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นล่าสุดในความขัดแย้งทางการค้าครั้งนี้มีดังนี้
สถานการณ์เริ่มต้นอย่างรุนแรงเมื่อสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 20% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และเพิ่มเป็น 34% ในต้นเดือนเมษายน ทำให้อัตราภาษีรวมทั้งหมดที่เรียกเก็บจากจีนในปีนี้อยู่ที่ 54% จีนตอบโต้ด้วยการประกาศเก็บภาษีเพิ่ม 34% กับสินค้านำเข้าทุกประเภทจากสหรัฐฯ มีผลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน เหตุการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะเพิ่มภาษีอีก 50% หากจีนไม่ถอนมาตรการที่ประกาศไปแล้ว
การขึ้นภาษีครั้งนี้มีความรุนแรงเป็นพิเศษเนื่องจากครอบคลุมสินค้าแทบทุกประเภทที่ค้าขายระหว่างกัน ไม่เฉพาะสินค้าบางกลุ่มเหมือนในอดีต ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของสหรัฐฯ ที่เก็บจากจีนสูงถึง 65% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การค้าระหว่างประเทศสมัยใหม่
จีนยกระดับการตอบโต้ด้วยการใช้ “อาวุธเศรษฐกิจ” ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยประกาศควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายาก 17 ชนิด ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง การผลิตชิป และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสหรัฐฯ มาตรการนี้ส่งผลให้ราคาแร่ธาตุหายากอย่างเนโอดีเมียมและดิสโพรเซียมในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นถึง 25% ภายในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงหลังการประกาศ
นอกจากนี้ จีนยังขยายการห้ามส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-use Items) ไปยังบริษัทสหรัฐฯ 12 แห่ง และควบคุมการส่งออกวัสดุผลิตแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งทำให้ราคาโพลีซิลิคอนปรับตัวขึ้น 15% ส่งผลกระทบต่อโครงการพลังงานสะอาดทั่วโลก
ทั้งสองประเทศเริ่มใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Measures) เพื่อกดดันกันมากขึ้น จีนได้นำบริษัทสหรัฐฯ หลายแห่งเข้าสู่ “รายชื่อหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” ซึ่งทำให้บริษัทเหล่านั้นเผชิญกับข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจในจีน รวมถึงการถูกตรวจสอบด้านความปลอดภัยและความมั่นคงที่เข้มงวดขึ้น
ในทางกลับกัน สหรัฐฯ ก็พิจารณานำบริษัทจีนเข้าสู่รายชื่อคว่ำบาตรเพิ่มเติม โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ การผลิตชิปขั้นสูง และเทคโนโลยีควอนตัม
อีกหนึ่งพัฒนาการสำคัญคือการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) กำหนดอัตรากลางสำหรับเงินหยวนที่ 7.2038 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่กันยายน 2023 แม้จะอนุญาตให้หยวนเคลื่อนไหวในกรอบ ±2% แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าทางการจีนแทรกแซงตลาดอย่างหนักเพื่อควบคุมการอ่อนค่าของสกุลเงิน การแทรกแซงนี้สะท้อนความกังวลต่อการไหลออกของเงินทุนและเสถียรภาพระบบการเงิน
นักวิเคราะห์จาก ING คาดการณ์ว่าหากความขัดแย้งยืดเยื้อ หยวนอาจอ่อนตัวถึง 10 ต่อดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินทั่วภูมิภาคเอเชีย การอ่อนค่าของหยวนช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้สินค้าส่งออกจีน ทำให้สามารถชดเชยผลกระทบจากภาษีศุลกากรได้บางส่วน
ความขัดแย้างระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ส่งผลกระทบต่อประเทศที่สาม ทำให้เกิดการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะไทยและเวียดนาม ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ขณะที่สหภาพยุโรปประกาศท่าทีคัดค้านการขึ้นภาษีของทั้งสองฝ่าย พร้อมเตรียมมาตรการตอบโต้ของตนเอง
ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ซึ่งมีการค้าขายกับทั้งสหรัฐฯ และจีนในปริมาณสูง ก็เริ่มหารือเพื่อรับมือกับความผันผวนทางการค้า โดยมีการประชุมร่วมกับจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี เพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการเงินและหน่วยวิจัยชั้นนำมีความเห็นหลากหลายเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ นักวิเคราะห์จาก Nomura มองว่าความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีขั้นสูง ส่วน Gabriel Wildau จาก Teneo ชี้ว่าการที่จีนขยายขอบเขตมาตรการภาษีตอบโต้สะท้อนว่าผู้นำจีนมีความหวังที่ลดลงต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม Tianchen Xu จาก Economist Intelligence Unit เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะกลับสู่โต๊ะเจรจาภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 เมื่อเริ่มรับรู้ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการชะลอตัว แต่ในระหว่างนี้ ความไม่แน่นอนจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อตลาดการเงินทั่วโลก
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินหลักทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้น ตลาดฟอเร็กซ์ และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งแต่ละตลาดแสดงปฏิกิริยาต่อความตึงเครียดทางการค้าในรูปแบบที่แตกต่างกัน
ตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐฯ และจีนต่างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากความขัดแย้งทางการค้าครั้งนี้ ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ของสหรัฐฯ ประสบภาวะปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง หลังการประกาศภาษีศุลกากร 34% โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือบริษัทเทคโนโลยีที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน เช่น Apple และ Tesla ซึ่งถูกเทขายอย่างหนักเนื่องจากความกังวลเรื่องต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงขึ้น
ในฝั่งเอเชีย ตลาดหุ้นฮ่องกงเผชิญการเทขายครั้งรุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ โดยดัชนี Hang Seng ร่วงลง 12.6% และดัชนีเทคโนโลยีลดลงมากถึง 16.67% ในวันเดียว นักลงทุนต่างถอนเงินจากบริษัทเทคโนโลยีจีนหลัก เช่น Alibaba และ Tencent เนื่องจากเกรงผลกระทบจากมาตรการควบคุมการส่งออกชิปและอุปกรณ์ไฮเทคของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ก็ปรับตัวลงถึง 7.8% ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของดัชนีผู้ผลิต (PMI) ที่ต่ำกว่า 50 เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน
ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในตลาดหุ้นทั้งสองประเทศ ได้แก่:
คู่เงิน USD/CNY ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้างทางการค้า โดยเงินหยวนอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกลางจีน (PBOC) กำหนดอัตรากลางหยวนที่ 7.2038 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่กันยายน 2023 ในตลาดในประเทศ USD/CNY พุ่งแตะ 7.3323 ขณะที่ในตลาดนอกประเทศอยู่ที่ประมาณ 7.30
การอ่อนค่าของหยวนส่งผลดีต่อผู้ส่งออกจีน เนื่องจากช่วยชดเชยผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ เรียกเก็บ อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าที่รวดเร็วเกินไปอาจนำไปสู่การไหลออกของเงินทุนและสร้างความไม่มั่นคงให้กับระบบการเงินของจีน
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของหยวนยังส่งผลกระทบต่อสกุลเงินอื่นในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศที่แข่งขันกับจีนในด้านการส่งออก เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และเวียดนาม ซึ่งสกุลเงินของประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มอ่อนค่าตามหยวนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก
ในด้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภาวะความไม่แน่นอนในตลาดโลกส่งผลให้นักลงทุนหันไปถือครองสกุลเงินที่ปลอดภัย ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของดอลลาร์ก็ส่งผลเสียต่อการส่งออกของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงในระยะยาว
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในหลายรูปแบบ:
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงิน นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวยังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ก็ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกที่อาจช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินและตลาดหุ้น
ความขัดแย้งทางการค้าส่งผลให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างตลาดที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น:
สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงมีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และพิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนไม่ได้จำกัดผลกระทบเฉพาะสองประเทศมหาอำนาจเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจโลก ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้แสดงปฏิกิริยาและปรับตัวเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น
สหภาพยุโรป (อียู) ได้แสดงความกังวลอย่างมากต่อการยกระดับสงครามการค้า โดยอูร์ซูลา ฟอน เดอร์ ไลเอน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ประณามมาตรการภาษีของทั้งสองประเทศว่าเป็น “การโจมตีเศรษฐกิจโลก” และประกาศเตรียมใช้มาตรการตอบโต้ทั้งการเก็บภาษีสินค้าเกษตรและยานยนต์สหรัฐฯ ในอัตราเทียบเท่า การยื่นข้อร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) และการเร่งสร้างพันธมิตรการค้ากับเอเชียและละตินอเมริกา
นอกจากนี้ อียูยังดำเนินการลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากจีนและสหรัฐฯ โดยเพิ่มการนำเข้าแร่หายากจากแคนาดาและนอร์เวย์ พร้อมลงทุนในโครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมในยุโรป เพื่อสร้างความเป็นอิสระด้านพลังงานและวัตถุดิบสำคัญ
ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า สามประเทศเศรษฐกิจหลักของเอเชียตะวันออกได้จัดการประชุมระดับรัฐมนตรีร่วมที่กรุงโซลเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ พัฒนาเครือข่ายการค้าเสรีภูมิภาค และประสานนโยบายตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ
ญี่ปุ่นพยายามเจรจาขอยกเว้นภาษีรถยนต์ 25% กับสหรัฐฯ ขณะที่เกาหลีใต้เพิ่มการนำเข้าวัตถุดิบชิปจากจีนและขยายการส่งออกชิปความจำไปยุโรปแทนสหรัฐฯ จีนเองก็เปิดตลาดบริการโลจิสติกส์ให้ทั้งสองประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเข้าถึงเทคโนโลยี 5G
อินเดียใช้ยุทธศาสตร์ “Atmanirbhar Bharat” (อินเดียที่พึ่งพาตนเอง) โดยขึ้นภาษีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากจีนถึง 35% และห้ามนำเข้าโซลาร์เซลล์จากจีน พร้อมสนับสนุนการผลิตในประเทศผ่านโครงการ PLI (Production-Linked Incentive) มูลค่ามหาศาล
นอกจากนี้ อินเดียยังผลักดันการขยายกลุ่ม BRICS โดยเพิ่มสมาชิกใหม่ 6 ประเทศ ได้แก่ อียิปต์ อาร์เจนตินา อิหร่าน และอื่นๆ เพื่อสร้างเครือข่ายการค้าที่ไม่พึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ ความพยายามนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจทางเศรษฐกิจโลกและความพยายามของประเทศกำลังพัฒนาในการลดการพึ่งพาประเทศมหาอำนาจดั้งเดิม
ประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะไทยและเวียดนาม ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสแรกของปี 2025 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และชิ้นส่วนรถยนต์
อย่างไรก็ตาม ประเทศในอาเซียนยังเผชิญความท้าทายจากมาตรการของสหรัฐฯ โดยสิงคโปร์และมาเลเซียถูกเรียกเก็บภาษีชิป 15% เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบจากจีนเกินเกณฑ์ที่กำหนด ขณะที่อินโดนีเซียถูกกดดันให้เลือกข้างในการส่งออกนิกเกิล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของทั้งสหรัฐฯ และจีน
แคนาดาประกาศเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ 34% ในสินค้าหลายประเภท รวมถึงเนื้อสัตว์แปรรูป เหล็กกล้า และอุปกรณ์การเกษตร เพื่อตอบโต้นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ส่วนเม็กซิโกลงนามข้อตกลงการค้าใหม่กับจีนเพื่อส่งออกทองแดงและเงินแทนสหรัฐฯ พร้อมรับการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูง
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก การย้ายฐานการผลิตและการกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัตถุดิบกำลังกลายเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัทข้ามชาติ ประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำและนโยบายเปิดรับการลงทุน เช่น เวียดนาม อินเดีย และเม็กซิโก กำลังได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้
นอกจากนี้ ยังเกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและการค้าใหม่ๆ เช่น การเจรจาความตกลงการค้าเสรี EU-ASEAN และการขยายตัวของ BRICS ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการค้าและการเงินโลกในระยะยาว
ความขัดแย้งทางการค้าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในหลายด้าน:
การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มประเทศที่สนับสนุนสหรัฐฯ และกลุ่มที่สนับสนุนจีนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และส่งผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในประเด็นสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสาธารณสุขโลก
ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้ นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรติดตามพัฒนาการปฏิกิริยาจากประเทศต่างๆ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลต่อทิศทางของความขัดแย้งและสร้างโอกาสหรือความเสี่ยงใหม่ๆ ในตลาดการเงินโลก
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนยังคงมีพัฒนาการที่ไม่แน่นอน ซึ่งสร้างความท้าทายและโอกาสสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ ในส่วนนี้เราจะวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตและนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสภาวะตลาดปัจจุบัน
ในระยะสั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ความขัดแย้งจะยังคงดำเนินต่อไปหรืออาจทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีแนวโน้มที่ควรติดตามดังนี้:
ในระยะกลาง ความขัดแย้งอาจเริ่มคลี่คลายหรือมีการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน:
คู่เงิน USD/CNY:
คู่เงินอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
แร่หายาก:
น้ำมันและพลังงาน:
ทองคำ:
หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง:
หุ้นที่มีโอกาสเติบโต:
กลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอ:
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ปะทุขึ้นอีกครั้งในปี 2025 แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความท้าทายของความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก มาตรการภาษีที่เพิ่มขึ้นจากทั้งสองฝ่าย การจำกัดการส่งออกสินค้าสำคัญ และการอ่อนค่าของเงินหยวน ได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก
การวิเคราะห์ในบทความนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่เพียงแต่ต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตลาดการเงินทั่วโลก ห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ และนโยบายเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ผลกระทบเหล่านี้ปรากฏชัดเจนในความผันผวนของตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐฯ และจีน การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาด Forex โดยเฉพาะคู่เงิน USD/CNY และการปรับตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลาย ประเภท
ประเด็นสำคัญที่ได้จากการวิเคราะห์มีดังนี้:
แม้ว่าในระยะสั้น สถานการณ์อาจยังคงมีความตึงเครียดหรืออาจทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะกลับสู่โต๊ะเจรจาในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 เมื่อเริ่มรับรู้ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น ในระหว่างนี้ ตลาดการเงินทั่วโลกจะยังคงมีความผันผวนสูง และการเคลื่อนไหวของราคาอาจมีความรุนแรงเมื่อมีการประกาศมาตรการใหม่จากทั้งสองฝ่าย
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ การติดตามข่าวสารและพัฒนาการอย่างใกล้ชิด การบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด และการมีกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นพร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำทางผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ ในขณะเดียวกัน การมองหาโอกาสในสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานและนโยบายการค้าใหม่ อาจช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแม้ในสภาวะตลาดที่ยากลำบาก
ท้ายที่สุด ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบการค้าและการเงินโลกในระยะยาว การเข้าใจพลวัตของความขัดแย้งนี้และผลกระทบที่มีต่อตลาดการเงินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดการเงินโลก