หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สรุปภาพรวมประจำสัปดาห์
ตลาดการเงินโลกเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5-9 พฤษภาคม 2025 ด้วยความคาดหวังสูงต่อการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ โดยเฉพาะ Federal Reserve และ Bank of England ท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจที่ส่งผลสองทาง ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สร้างสถิติการปรับตัวขึ้น 9 วันติดต่อกัน ซึ่งเป็นช่วงการปรับตัวขึ้นที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2004 แม้จะมีรายงาน GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ที่หดตัว -0.3% เป็นครั้งแรกในรอบสามปี
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ล่าสุดของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 130,000 ตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ขณะที่ความหวังในการลดความตึงเครียดด้านการค้ากับจีนเริ่มฟื้นคืนมา ส่งผลให้นักลงทุนยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม
สำหรับเทรดเดอร์ในตลาด CFD ทั้ง Forex, สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น สัปดาห์นี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการประชุม FOMC ในวันที่ 8 พฤษภาคม และการประชุมนโยบายการเงินของ BOE ในวันเดียวกัน ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของค่าเงินหลัก อัตราผลตอบแทนพันธบัตร และสินทรัพย์เสี่ยงในเดือนพฤษภาคมนี้
นอกจากนี้ ข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น ISM Services PMI ของสหรัฐฯ, ข้อมูลการจ้างงานของนิวซีแลนด์และแคนาดา, รวมถึงข้อมูลการค้าต่างประเทศของจีนและสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผันผวนของตลาดในสัปดาห์นี้ บทวิเคราะห์นี้จะช่วยให้คุณเข้าใจปัจจัยสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละวัน
การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ผลกระทบจากเหตุการณ์สำคัญได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการเงินกับค่าเงิน ความเชื่อมโยงระหว่างดอลลาร์สหรัฐกับราคาทองคำ หรือความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรกับดัชนีหุ้น เราจะมาวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาสำคัญนี้
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2025 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดของสัปดาห์นี้ แม้ตลาดจะคาดการณ์ว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.50% แต่นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับถ้อยแถลงและท่าทีของประธาน Fed เกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ตัวเลข GDP ที่หดตัว -0.3% ในไตรมาสแรกของปี 2025 เป็นสัญญาณเตือนถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์อาจทำให้ Fed ยังไม่รีบเร่งลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม หากถ้อยแถลงของ Fed มีท่าทีผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้น โดยเฉพาะการระบุถึงความกังวลเกี่ยวกับการหดตัวของ GDP อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและทองคำปรับตัวขึ้นในระยะสั้น
นอกจากนี้ นักลงทุนจะจับตาดูความเห็นของ Fed เกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีนำเข้าที่เข้มงวดต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการเงินโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดในช่วงถัดไป
ในวันเดียวกับการประชุม FOMC ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะประกาศมติอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็น 4.25% จากระดับปัจจุบันที่ 4.50% ซึ่งจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบหลายปี
ปัจจัยสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของ BOE มาจากการชะลอตัวของเงินเฟ้อในอังกฤษและความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงอ่อนแอ สังเกตได้จากดัชนี Construction PMI ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 46.0 ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 ที่บ่งชี้การขยายตัว
หาก BOE ลดอัตราดอกเบี้ยตามคาดการณ์ อาจส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงในระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่ธนาคารกลางยังคงรักษานโยบายแข็งกร้าว อย่างไรก็ตาม หากถ้อยแถลงของ BOE บ่งชี้ถึงการลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ อาจช่วยจำกัดการอ่อนค่าของเงินปอนด์
รายงานการจ้างงานของนิวซีแลนด์ในวันที่ 7 พฤษภาคมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของค่าเงิน NZD และนโยบายการเงินของ RBNZ ตลาดคาดการณ์ว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นจาก 5.1% เป็น 5.3% ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของตลาดแรงงาน
หากตัวเลขการจ้างงานออกมาแย่กว่าคาดการณ์ อาจเพิ่มแรงกดดันให้ RBNZ พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ส่งผลให้ NZD อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในทางกลับกัน หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาดการณ์ อาจช่วยสนับสนุนค่าเงิน NZD ในระยะสั้น
นอกจากนี้ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับรายงาน RBNZ Financial Stability Report ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองของธนาคารกลางต่อเสถียรภาพทางการเงินและความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจนิวซีแลนด์
ดัชนี ISM Services PMI ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม คาดการณ์ว่าจะลดลงเล็กน้อยจาก 50.8 เป็น 50.2 แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัว ตัวเลขนี้มีความสำคัญเนื่องจากภาคบริการคิดเป็นกว่า 70% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
หากดัชนี ISM Services PMI ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์และต่ำกว่าระดับ 50 อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มแรงกดดันให้ Fed พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ในทางกลับกัน หากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ อาจสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์และตลาดหุ้นสหรัฐฯ
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับองค์ประกอบย่อยของดัชนี โดยเฉพาะดัชนีการจ้างงานและราคา ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดแรงงานและแรงกดดันเงินเฟ้อในภาคบริการ
ดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันอังคารที่ 6 พฤษภาคม คาดการณ์ว่าจะขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น -124.7 พันล้านดอลลาร์ จาก -122.7 พันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้มีความสำคัญเนื่องจากจะสะท้อนผลกระทบเบื้องต้นของนโยบายภาษีนำเข้าที่เข้มงวดของสหรัฐฯ
การขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นผลมาจากการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่มาตรการภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราวที่อาจส่งผลให้ GDP ในไตรมาสถัดไปปรับตัวดีขึ้น
นักลงทุนควรติดตามข้อมูลการค้ากับจีนเป็นพิเศษ เนื่องจากจะสะท้อนแนวโน้มความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวม
รายงานการจ้างงานของแคนาดาในวันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม คาดการณ์ว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 24,500 ตำแหน่ง หลังจากลดลง 32,600 ตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราว่างงานคาดว่าจะทรงตัวที่ 6.7%
ข้อมูลนี้มีความสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางแคนาดา (BOC) ซึ่งได้เริ่มวัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว หากตัวเลขการจ้างงานแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ อาจทำให้ BOC ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ส่งผลให้ค่าเงิน CAD แข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนควรติดตามข้อมูลดุลการค้าของแคนาดาที่จะประกาศในวันอังคารที่ 6 พฤษภาคม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น -1.7 พันล้านดอลลาร์แคนาดา เนื่องจากแคนาดาเป็นประเทศผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกโดยรวม
ในสัปดาห์นี้ จีนจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญหลายรายการ ได้แก่ Caixin Services PMI ในวันอังคารที่ 6 พฤษภาคม และข้อมูลเงินเฟ้อ (CPI และ PPI) ในวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม
Caixin Services PMI คาดการณ์ว่าจะลดลงเล็กน้อยจาก 51.9 เป็น 51.7 แต่ยังคงอยู่ในเขตขยายตัว สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ค่อนข้างมั่นคงของภาคบริการจีน ขณะที่ CPI คาดว่าจะยังคงอยู่ในแดนลบที่ -0.1% และ PPI ที่ -2.5% ซึ่งสะท้อนแรงกดดันเงินฟุบในเศรษฐกิจจีน
ข้อมูลเศรษฐกิจเหล่านี้มีความสำคัญต่อทิศทางของเศรษฐกิจโลกและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะในบริบทของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หากข้อมูลออกมาแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นเอเชียและสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Growth-Linked Currencies)
ในสัปดาห์นี้ จะมีการเปิดเผยข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมจากประเทศสำคัญในยุโรป ได้แก่ French Industrial Production, German Factory Orders, German Industrial Production และ Italian Industrial Production
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของสุขภาพเศรษฐกิจยูโรโซน โดยเฉพาะในภาคการผลิตซึ่งเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจเยอรมนีและยุโรป การผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีคาดว่าจะเติบโต 0.9% หลังจากหดตัว -1.3% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่อาจเกิดขึ้น
หากข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมออกมาแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ อาจช่วยสนับสนุนค่าเงินยูโรและตลาดหุ้นยุโรป ในขณะเดียวกัน อาจเพิ่มความคาดหวังว่า ECB จะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป
สัปดาห์ที่ 5-9 พฤษภาคม 2025 จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางตลาดการเงินโลกในระยะกลาง การประชุมนโยบายการเงินของทั้ง Fed และ BOE ในวันเดียวกัน (8 พฤษภาคม) จะสร้างความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในตลาด Forex และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังตลาดอื่นๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการเงินและสินทรัพย์ประเภทต่างๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยเทรดเดอร์ควรพิจารณาความสัมพันธ์ดังต่อไปนี้:
เนื่องจากสัปดาห์นี้มีเหตุการณ์สำคัญที่อาจสร้างความผันผวนสูง เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเป็นพิเศษ:
สัปดาห์ที่ 5-9 พฤษภาคม 2025 จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลกในระยะกลาง โดยมีปัจจัยหลักจากการประชุมนโยบายการเงินของ Fed และ BOE รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากประเทศต่างๆ
ในภาพรวม ตลาดอาจยังคงมีความผันผวนสูงท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณผสมผสาน เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง
ผลการประชุม FOMC และท่าทีของประธาน Fed จะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดทิศทางของดอลลาร์สหรัฐ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร และตลาดสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม หากมีสัญญาณของการลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น อาจส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ทองคำปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นได้รับแรงหนุน
ในขณะเดียวกัน ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทิศทางของสินทรัพย์เสี่ยง การติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์การเทรดอย่างทันท่วงที จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถบริหารความเสี่ยงและใช้ประโยชน์จากโอกาสการเทรดที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่มีความสำคัญนี้