หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ผ่านมา (7-11 เมษายน 2025) เป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางปัจจัยลบที่ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์และเพิ่มความระมัดระวังในการบริหารพอร์ตลงทุน
ภาพรวมตลาดสัปดาห์นี้เต็มไปด้วยความกังวล เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศนโยบาย “Country-Level Reciprocity” พร้อมขู่ว่าจะบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติมสูงถึง 40% ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดทุนทั่วโลกทันที ขณะที่ฝั่งจีนไม่ได้นิ่งเฉย โดยตอบโต้ผ่านการขู่ลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกแร่หายาก รวมถึงประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อีก 15% จากสหรัฐฯ
สถานการณ์ความตึงเครียดดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นหลักทั่วโลกปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุดในช่วงท้ายสัปดาห์ ตลาดหุ้นเอเชียต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงที่เผชิญแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตลงทุนโดยลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงและเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
นอกจากปัจจัยด้านสงครามการค้าแล้ว ตลาดการเงินยังจับตาเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญหลายรายการในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ทั้งดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในอนาคต โดยตลาดคาดการณ์ว่า CPI จะเพิ่มขึ้น 0.2% ในรายเดือน (เทียบกับ 0.1% ในเดือนก่อน) และ 2.6% ในรายปี ส่วน Core CPI ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ในรายเดือนและ 2.8% ในรายปี
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญคือการเปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เมื่อวันที่ 18-19 มีนาคม 2568 ซึ่งถูกเผยแพร่ในช่วงเช้าวันที่ 10 เมษายน รายงานดังกล่าวให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับมุมมองของเฟดต่อการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% และแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์หลากหลายประเภทในตลาด
การประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ในวันพุธที่ 9 เมษายนเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่นักลงทุนให้ความสนใจ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่า RBNZ อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.75% เป็น 3.50% ซึ่งจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบหลายปี และอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอื่นๆ ในภูมิภาค
ภาพรวมการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ CFD ประเภทต่างๆ ในสัปดาห์นี้สะท้อนความกังวลของนักลงทุนอย่างชัดเจน โดยทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้จะมีการพักฐานในระยะสั้น ตลาดน้ำมันได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสงครามการค้า โดย USOIL ทะลุแนวรับสำคัญที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ยังคงเผชิญกับความผันผวนสูงท่ามกลางปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลก แต่ Ethereum (ETH) แสดงรูปแบบทางเทคนิคที่อาจนำไปสู่การฟื้นตัวในอนาคตหากสามารถทะลุแนวต้านสำคัญได้
สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ทั่วโลก ซึ่งต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดที่อาจยืดเยื้อไปจนถึงสัปดาห์ถัดไป
ตลาด Forex ในสัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยหลักจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ประกอบกับความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก
คู่เงิน USD/CNH เป็นตัวชี้วัดสำคัญของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยในสัปดาห์นี้ราคาเปิดต้นสัปดาห์ที่ 7.2946 และเคลื่อนไหวในกรอบ 7.2800-7.3000 พร้อมกับทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 7.3000 หลายครั้ง การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความกังวลของนักลงทุนว่าจีนอาจใช้การอ่อนค่าของเงินหยวนเป็นเครื่องมือในการตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินหลายแห่งคาดการณ์ว่า หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น USD/CNH อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 7.6000 ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี ความเคลื่อนไหวนี้ยังส่งผลกระทบต่อค่าเงินเอเชียอื่นๆ เช่น เงินบาทไทยและเงินวอนเกาหลีใต้ ที่ต่างอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
คู่เงินหลักอย่าง EUR/USD เผชิญกับความผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์ โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1.0650-1.0740 นักลงทุนจับตารายงานการประชุม FOMC ที่เปิดเผยในช่วงกลางสัปดาห์เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด รายงานระบุว่าคณะกรรมการยังคงกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้าหมาย แม้จะเริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัว ทำให้ตลาดลดการคาดการณ์ถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป
ความแตกต่างระหว่างนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของ EUR/USD โดย ECB ส่งสัญญาณว่าอาจเริ่มพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าเฟด ซึ่งอาจกดดันให้ยูโรอ่อนค่าลงในระยะกลาง อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจยุโรป ทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB มีความไม่แน่นอนมากขึ้น
คู่เงิน USD/JPY ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์นี้ สะท้อนสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ของเงินเยนท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ราคาร่วงจากระดับเหนือ 152.00 ในช่วงต้นสัปดาห์ มาอยู่ที่ระดับ 148.50 ในช่วงปลายสัปดาห์ ปรากฏการณ์นี้เกิดจากการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและกระแสเงินไหลเข้าพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น แม้จะให้ผลตอบแทนต่ำ
นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงเป็นอีกปัจจัยที่นักลงทุนจับตา โดยมีการคาดการณ์ว่า BOJ อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป หากเงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นในระยะยาว
การประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ในวันพุธที่ 9 เมษายน เป็นอีกเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อตลาด Forex ในสัปดาห์นี้ โดย RBNZ ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.75% เป็น 3.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบหลายปี
การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลให้เงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยคู่เงิน NZD/USD ปรับตัวลงกว่า 1.2% ภายหลังการประกาศ นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยของ RBNZ ยังถูกมองว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอื่นๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ที่อาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปเช่นกัน
ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก ปรับตัวขึ้นประมาณ 0.8% ในสัปดาห์นี้ สะท้อนสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยของดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นปัจจัยกดดันตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าที่กำหนดราคาในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น น้ำมันและทองคำ
การเคลื่อนไหวในตลาด Forex ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเงินที่ส่งผลต่อค่าเงินทั่วโลก โดยนักลงทุนควรติดตามพัฒนาการของสงครามการค้าและท่าทีของธนาคารกลางสำคัญอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละประเภทตอบสนองต่อสถานการณ์ในรูปแบบที่แตกต่างกัน สะท้อนความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์
ทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางการค้า โดยราคาทองคำดีดตัวขึ้นกว่า 6% ในสัปดาห์นี้ สู่ระดับ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ สะท้อนบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยามเกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน อย่างไรก็ตาม แรงหนุนนี้ถูกจำกัดบางส่วนจากความแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผลสำรวจของศูนย์วิจัยทองคำเผยให้เห็นความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนทั่วไป โดย 31% ของผู้เชี่ยวชาญคาดว่าราคาทองคำจะปรับเพิ่มขึ้น, 38% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง, และ 31% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปยังคงมีความเชื่อมั่นสูงกว่า โดย 49% คาดว่าราคาทองคำจะปรับเพิ่มขึ้น, 39% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง, และ 12% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความแตกต่างของมุมมองนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในตลาดทองคำ แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานระยะยาวจะยังคงสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ แต่หลังจากปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทองคำอาจเผชิญกับแรงขายทำกำไรในระยะสั้น
ตลาดน้ำมันในสัปดาห์นี้ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เมื่อราคาน้ำมันดิบ USOIL ทะลุแนวรับสำคัญที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของจีนด้วยการเพิ่มภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและ LNG 15%
การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าน้ำมันของจีนส่งผลให้ราคาน้ำมันร่วงลงถึง 8% ภายในสัปดาห์เดียว โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า จีนอาจลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ และหันไปพึ่งพาผู้ผลิตรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซียมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันโลกในระยะยาว
นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากความตึงเครียดทางการค้ายังเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน เนื่องจากอาจส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกลดลง โดยเฉพาะจากจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก
ราคาเงิน (XAG/USD) ในสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้นตามทองคำ แต่ในอัตราที่น้อยกว่า โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 4% มาอยู่ที่ระดับ 28.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อัตราส่วนราคาทองคำต่อเงิน (Gold-to-Silver Ratio) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าทองคำมีประสิทธิภาพดีกว่าเงินในช่วงตลาดผันผวน
ในส่วนของโลหะอุตสาหกรรม ทองแดง (HG) ได้รับผลกระทบเชิงลบจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและผลกระทบของสงครามการค้า โดยราคาปรับตัวลงประมาณ 3% ในสัปดาห์นี้ ขณะที่อลูมิเนียมและนิกเกิลก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับความต้องการในภาคการผลิตที่อาจชะลอตัวลง
สินค้าเกษตรได้รับผลกระทบหลากหลายจากความตึงเครียดทางการค้า โดยราคาถั่วเหลืองและข้าวโพดปรับตัวลงหลังจากจีนประกาศว่าอาจลดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้มาตรการภาษี ในขณะที่ราคาข้าวปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความตึงเครียดทางการค้ายังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกของสินค้าเกษตร โดยผู้ค้าและผู้ส่งออกเริ่มมองหาตลาดทดแทนและปรับกลยุทธ์การขนส่งเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาอาหารในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นในระยะกลาง
สำหรับนักเทรด CFD ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ สถานการณ์ปัจจุบันสร้างทั้งความท้าทายและโอกาส ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นเปิดโอกาสสำหรับการเทรดระยะสั้น ในขณะที่แนวโน้มพื้นฐานยังคงสนับสนุนกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์บางประเภท เช่น ทองคำ
อย่างไรก็ตาม การเทรด CFD ในสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงเช่นนี้ ต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเป็นพิเศษ นักเทรดควรพิจารณาการใช้คำสั่ง Stop Loss ที่เหมาะสม และปรับขนาดการลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัจจัยมหภาคทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ โดยพัฒนาการของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ถัดไป นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การเทรดให้ทันต่อสถานการณ์
สัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 เป็นช่วงเวลาที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในบริบทของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนและนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจกลไกที่ขับเคลื่อนราคาสินทรัพย์ และนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในสถานการณ์ปกติ ดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาทองคำมักมีความสัมพันธ์ในเชิงลบ (Negative Correlation) กล่าวคือเมื่อดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองคำมักปรับตัวลง และในทางกลับกัน อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เมื่อทั้งดอลลาร์สหรัฐฯ และทองคำต่างปรับตัวขึ้นพร้อมกัน
ปรากฏการณ์นี้เกิดจากการที่ทั้งสองสินทรัพย์ต่างได้รับประโยชน์จากสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นักลงทุนทั่วโลกเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในดอลลาร์สหรัฐฯ และทองคำ ซึ่งมองว่ามีความปลอดภัยมากกว่าในช่วงเวลาวิกฤต
ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันมีความสัมพันธ์ในเชิงลบอย่างชัดเจนกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้ราคาน้ำมันซึ่งกำหนดราคาในสกุลดอลลาร์มีราคาแพงขึ้นในสายตาของผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อาจลดลงจากผลกระทบของสงครามการค้า ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
รายงานการประชุม FOMC และข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ในสัปดาห์นี้ รายงานการประชุม FOMC ที่เปิดเผยในช่วงกลางสัปดาห์แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการยังคงกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้าหมาย และอาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยออกไป
ข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% ซึ่งกดดันตลาดหุ้นโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ การคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลาง
ในทางตรงกันข้าม การประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ที่ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็นสัญญาณของการเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งอาจส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงในภูมิภาคนี้ได้รับแรงหนุนในระยะกลางถึงยาว หากธนาคารกลางอื่นๆ เช่น ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เริ่มส่งสัญญาณในทิศทางเดียวกัน
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ เช่น เทคโนโลยี ยานยนต์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ดัชนีหุ้นจีนและฮ่องกงได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยปรับตัวลงกว่า 3% ในสัปดาห์นี้ ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุด
น่าสนใจว่า ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่แสดงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับสงครามการค้า ในช่วงแรกของสัปดาห์ ราคา Bitcoin และ Ethereum ปรับตัวลงตามตลาดหุ้น สะท้อนสถานะ “สินทรัพย์เสี่ยง” ของคริปโตเคอร์เรนซี่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางสัปดาห์ เมื่อความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น บางส่วนของเงินทุนเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ สะท้อนมุมมองของนักลงทุนบางกลุ่มที่มองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลอาจเป็นทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในระบบการเงินแบบดั้งเดิม
สงครามการค้าส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ไปสู่ตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งยังคงได้รับการมองว่าเป็นที่พักพิงปลอดภัยในช่วงเวลาวิกฤต กระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมีมูลค่ารวมกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นและค่าเงินในภูมิภาคนี้อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ตลาดเกิดใหม่บางแห่ง เช่น อินเดียและเวียดนาม ได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่คาด เนื่องจากนักลงทุนมองว่าประเทศเหล่านี้อาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในระยะยาว ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ในช่วงเวลาวิกฤต ยังมีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในบางตลาดที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดและปัจจัยที่ส่งผลกระทบในสัปดาห์นี้ชี้ให้เห็นว่า สภาพแวดล้อมการลงทุนปัจจุบันมีความซับซ้อนและต้องการการวิเคราะห์แบบองค์รวม นักลงทุนควรพิจารณาทั้งปัจจัยมหภาคทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ควบคู่กันไป เพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมและสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตลาดดัชนีหุ้นหลักทั่วโลกในสัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นสะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุนและความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทั้งดาวโจนส์ S&P 500 และ NASDAQ ต่างปรับตัวลงในสัปดาห์นี้ โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุด หรือประมาณ 0.5% ขณะที่ S&P 500 ลดลง 0.8% และ NASDAQ ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงถึง 1.2% การปรับตัวลงนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศนโยบาย “Country-Level Reciprocity” และขู่ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 40%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงกับจีน เช่น Apple, NVIDIA และ Intel ต่างปรับตัวลง 2-4% หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์เผชิญแรงเทขายรุนแรงหลังจีนขู่ว่าจะจำกัดการส่งออกแร่หายากซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตชิป โดย TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกปรับลดประมาณการกำไรสำหรับปี 2025 ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
อีกหนึ่งกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบคือกลุ่มการบิน หลังจากเดลต้า แอร์ไลน์รายงานว่าความต้องการเที่ยวบินในประเทศลดลง ซึ่งแสดงถึงสัญญาณของการอ่อนตัวของผู้บริโภค ราคาหุ้นของเดลต้า แอร์ไลน์ลดลงเกือบ 10% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาด ส่งผลกระทบต่อหุ้นสายการบินอื่นๆ เช่น United Airlines และ American Airlines ที่ต่างก็ปรับตัวลงตาม
ตลาดหุ้นเอเชียได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความตึงเครียดทางการค้า โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ดัชนี Shanghai Composite ปรับตัวลง 3.5% ในสัปดาห์นี้ ขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงร่วงลง 4.2% หุ้นกลุ่มการส่งออกและเทคโนโลยีในจีนเผชิญแรงเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะบริษัทที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก
นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินหลายแห่งคาดการณ์ว่า หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยืดเยื้อ ตลาดหุ้นจีนอาจเผชิญกับการปรับฐานที่รุนแรงอย่างน้อย 10-15% จากระดับปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียโดยรวม
ในญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลง 2.8% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจโลกและการส่งออกของญี่ปุ่น การแข็งค่าของเงินเยนยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มส่งออกที่มีรายได้หลักเป็นสกุลเงินต่างประเทศ
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงเช่นกัน แม้จะในอัตราที่น้อยกว่าตลาดเอเชีย โดยดัชนี STOXX Europe 600 ปรับตัวลง 1.5% ในสัปดาห์นี้ ดัชนี DAX ของเยอรมนีลดลง 1.8% และ CAC 40 ของฝรั่งเศสลดลง 1.6% หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้าฟุ่มเฟือยได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจในจีนและพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก
ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางอ้อมของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจยุโรปเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้น โดยนักลงทุนกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของยุโรปและการเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซนซึ่งยังเปราะบางอยู่
มุมมองต่อตลาดหุ้นในระยะถัดไปยังคงมีความไม่แน่นอน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าความตึงเครียดทางการค้าและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาดหุ้นในระยะสั้นถึงระยะกลาง
อย่างไรก็ตาม การปรับฐานในสัปดาห์นี้ทำให้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ของดัชนีหุ้นหลักอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยีสุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
สำหรับนักเทรด CFD ในตลาดดัชนีหุ้น ความผันผวนในปัจจุบันสร้างทั้งความท้าทายและโอกาส โดยกลยุทธ์การเทรดระยะสั้นอาจให้ผลตอบแทนที่ดีหากมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม นักเทรดควรให้ความสำคัญกับการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าและการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวของตลาดดัชนีหุ้นหลักในสัปดาห์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจโลกและความสำคัญของปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ต่อตลาดการเงิน นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ถัดไป โดยการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนและพิจารณาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากสงครามการค้า เช่น หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคและสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ในสัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 เผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจระดับโลกและเหตุการณ์เฉพาะในอุตสาหกรรม การวิเคราะห์เชิงลึกของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ในช่วงเวลานี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาและวางกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่โดยรวมปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้ โดยมูลค่าตลาดรวมของคริปโตเคอร์เรนซี่ทั้งหมดลดลงประมาณ 5% สู่ระดับ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปริมาณการซื้อขายในตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 30% สะท้อนความผันผวนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรง
Bitcoin (BTC) ซึ่งเป็นคริปโตเคอร์เรนซี่ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุด ปรับตัวลง 7% ในสัปดาห์นี้ มาอยู่ที่ระดับ 59,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ Bitcoin เผชิญแรงเทขายหนักในช่วงต้นสัปดาห์พร้อมกับตลาดหุ้น สะท้อนความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นระหว่าง Bitcoin กับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสัปดาห์ ราคาเริ่มฟื้นตัวเมื่อนักลงทุนบางส่วนมองว่าการปรับฐานนี้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
Ethereum (ETH) แสดงพฤติกรรมที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ แม้จะปรับตัวลง 6% มาอยู่ที่ระดับ 3,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่กราฟราคาได้แสดงรูปแบบ Falling Wedge ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นสัญญาณของการกลับตัวขาขึ้น รูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ลงในกรอบที่แคบลงเรื่อยๆ โดยมีแนวต้านและแนวรับที่ลู่เข้าหากัน
เมื่อวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย พบว่าแรงขายของ Ethereum มีแนวโน้มลดลงขณะที่ราคาเคลื่อนที่สู่จุดต่ำสุดของรูปแบบ Falling Wedge ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการฟื้นตัวในอนาคต หากราคาสามารถทะลุแนวต้านบนของรูปแบบที่ระดับ 3,350 ดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น อาจมีการฟื้นตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ ปัจจัยพื้นฐานของ Ethereum ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหลังการอัปเกรดเครือข่ายล่าสุดที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าธรรมเนียมธุรกรรม ทำให้มีการนำไปใช้งานในแอปพลิเคชันต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม DeFi (Decentralized Finance) และ NFT (Non-Fungible Token)
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ยังคงได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัจจัยมหภาคทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ รายงานการประชุม FOMC ที่เปิดเผยในสัปดาห์นี้ แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการยังคงกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และอาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยออกไป
มุมมองเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่อาจยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดเป็นปัจจัยกดดันตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ เนื่องจากส่งผลให้ต้นทุนการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ (Non-Yielding Assets) เช่น Bitcoin มีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่สูงขึ้น นอกจากนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาคริปโตเคอร์เรนซี่ซึ่งมีการซื้อขายส่วนใหญ่ในสกุลดอลลาร์
ในขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีผลกระทบสองทาง ในด้านหนึ่ง ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลเชิงลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโตเคอร์เรนซี่ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความไม่แน่นอนในระบบการเงินแบบดั้งเดิมอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนมองหาทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อ Bitcoin ในฐานะ “ทองคำดิจิทัล”
ในตลาด Altcoins (คริปโตเคอร์เรนซี่อื่นๆ นอกเหนือจาก Bitcoin) มีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในสัปดาห์นี้ โดย Altcoins ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัยของบล็อกเชนมีแนวโน้มที่ดีกว่าตลาดโดยรวม ตัวอย่างเช่น Chainlink (LINK) ปรับตัวขึ้น 8% ท่ามกลางการประกาศความร่วมมือกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในการพัฒนาโซลูชันการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบกระจายศูนย์
ในทางตรงกันข้าม Altcoins ในกลุ่ม GameFi (เกมบนบล็อกเชน) และ Metaverse เผชิญแรงเทขายอย่างหนัก โดยลดลงเฉลี่ย 12-15% ในสัปดาห์นี้ สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายผู้บริโภคที่อาจลดลงในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เช่นเดียวกับ Meme coins ซึ่งมีความผันผวนสูงยิ่งขึ้นในช่วงตลาดขาลง
คริปโตเคอร์เรนซี่ที่เกี่ยวข้องกับการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) แสดงความยืดหยุ่นที่ดีกว่า โดยลดลงเฉลี่ยเพียง 4% ทั้งนี้เนื่องจากแพลตฟอร์ม DeFi หลายแห่งยังคงมีการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ที่ล็อก (Total Value Locked – TVL) และรายได้จากค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่ง แม้ในช่วงตลาดขาลง สะท้อนการยอมรับและความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในโซลูชันทางการเงินแบบกระจายศูนย์
สำหรับนักเทรด CFD ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ ภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูงสร้างทั้งความท้าทายและโอกาส ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นหมายถึงความเป็นไปได้ในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน
กลยุทธ์การเทรดที่ควรพิจารณาในสภาวะตลาดปัจจุบันรวมถึงการใช้เทคนิค Range Trading โดยซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้านในกรอบราคาที่ชัดเจน และการใช้กลยุทธ์ Breakout Trading เมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบทางเทคนิคที่สำคัญ เช่น กรณีของ Ethereum กับรูปแบบ Falling Wedge
นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนสูง นักเทรดควรพิจารณาการใช้ Stop Loss ที่เหมาะสม และไม่ควรใช้ Leverage (การเทรดแบบใช้เงินกู้ยืม) ที่สูงเกินไป เพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคและเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้ ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์พื้นฐานและเทคนิคที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถนำทางผ่านช่วงเวลาที่มีความผันผวนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จากการวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจและความเคลื่อนไหวของตลาด CFD ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เราสามารถประเมินแนวโน้มและกำหนดกลยุทธ์สำหรับสัปดาห์ถัดไปได้ดังนี้ การติดตามพัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจะเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดทิศทางของตลาด
ในตลาด Forex คู่เงิน USD/CNH มีแนวโน้มที่จะยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น หากความตึงเครียดทางการค้ายังคงดำเนินต่อไป โดยมีแนวต้านสำคัญถัดไปที่ระดับ 7.3500 และ 7.4000 ตามลำดับ การทะลุแนวต้าน 7.3000 อย่างชัดเจนอาจเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวขึ้นอย่างรวดเร็วไปสู่ระดับที่สูงขึ้น นักเทรดควรติดตามท่าทีของธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่อาจเข้าแทรกแซงเพื่อชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวนหากการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างรวดเร็วเกินไป
สำหรับคู่เงิน EUR/USD จะยังคงได้รับอิทธิพลจากความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางยุโรป โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1.0600 และแนวต้านที่ 1.0800 ข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซนที่จะเปิดเผยในสัปดาห์หน้าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางระยะสั้นของคู่เงินนี้
USD/JPY น่าจะยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาลงท่ามกลางความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย แนวรับถัดไปอยู่ที่ระดับ 145.00 อย่างไรก็ตาม การพักฐานระยะสั้นอาจเกิดขึ้นหากมีสัญญาณของการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า
ทองคำ (XAU/USD) มีแนวโน้มยังคงได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสงครามการค้า โดยมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 3,270 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับที่ระดับ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในกรอบนี้ในระยะสั้น โดยอาจมีการทดสอบแนวต้านหากความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น
ในตลาดน้ำมัน มีแนวโน้มที่จะยังคงเผชิญกับแรงกดดัน โดยราคาน้ำมันดิบ USOIL อาจทดสอบแนวรับที่ระดับ 58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากมาตรการภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและ LNG ของจีนส่งผลกระทบต่ออุปสงค์อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม หากมีสัญญาณของการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า ราคาน้ำมันอาจฟื้นตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะยังคงเผชิญกับความผันผวนในสัปดาห์หน้า โดยดัชนี S&P 500 มีแนวรับสำคัญที่ระดับ 5,250 จุด และแนวต้านที่ระดับ 5,450 จุด ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งจะเริ่มในสัปดาห์หน้า ผลประกอบการที่อ่อนแอกว่าคาดอาจเป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติมต่อตลาดหุ้น
ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ Bitcoin มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในกรอบ 55,000-65,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจุดสำคัญที่ต้องจับตาคือการรักษาระดับเหนือแนวรับที่ 55,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากไม่สามารถรักษาระดับนี้ได้ อาจเกิดการปรับฐานต่อเนื่องลงสู่ระดับ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับ Ethereum การทะลุแนวต้านของรูปแบบ Falling Wedge ที่ระดับ 3,350 ดอลลาร์สหรัฐฯ จะเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวที่อาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านที่ 3,600 และ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ
กลยุทธ์การเทรด Forex
กลยุทธ์การเทรดทองคำและน้ำมัน
กลยุทธ์การเทรดดัชนีหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซี่
ในสัปดาห์หน้า มีปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่:
การบริหารความเสี่ยงยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นนี้ นักเทรดควรกำหนด Stop Loss ที่เหมาะสม ปรับขนาดการลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความผันผวน และกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน โดยไม่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป
การเตรียมพร้อมรับมือกับหลากหลายสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและการปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็วเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความผันผวนของตลาดในสัปดาห์ถัดไป
สัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 เป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนที่มีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยหลักจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ประกอบกับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก การสรุปประเด็นสำคัญและข้อแนะนำเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถนำทางผ่านสภาวะตลาดที่ท้าทายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศนโยบาย “Country-Level Reciprocity” และขู่ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 40% ฝั่งจีนตอบโต้ด้วยการขู่ลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกแร่หายาก และประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและ LNG 15% สถานการณ์นี้ส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดสินทรัพย์ทุกประเภท โดยเฉพาะตลาดหุ้น สกุลเงินเอเชีย และสินค้าโภคภัณฑ์
รายงานการประชุม FOMC แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการยังคงกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้าหมาย แม้จะเริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัว ทำให้ตลาดลดการคาดการณ์ถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ขณะที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.75% เป็น 3.50% ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ สัปดาห์นี้เผชิญกับความผันผวนสูง โดย Bitcoin ปรับตัวลง 7% มาอยู่ที่ระดับ 59,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ Ethereum แสดงรูปแบบ Falling Wedge ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวขาขึ้นในอนาคตหากสามารถทะลุแนวต้านสำคัญได้
ตลาดทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสงครามการค้า โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 3,237.93 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ยังคงแข็งแกร่ง ด้วยค่า RSI ที่ยังไม่เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป
1. การบริหารความเสี่ยงในช่วงตลาดผันผวน
การบริหารความเสี่ยงมีความสำคัญอย่างยิ่งในสภาวะตลาดปัจจุบัน เทรดเดอร์ควรพิจารณาการใช้ Stop Loss ที่เหมาะสมในทุกการเทรด โดยกำหนดจุด Stop Loss ที่สอดคล้องกับระดับแนวรับแนวต้านทางเทคนิคและสภาพคล่องของตลาด นอกจากนี้ การปรับขนาดการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ โดยไม่ควรลงทุนเกิน 2-3% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง
2. การกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน
ในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง การกระจายความเสี่ยงระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เทรดเดอร์ควรพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์เชิงลบหรือไม่มีความสัมพันธ์กัน เช่น การผสมผสานระหว่างการลงทุนในทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย กับการเทรดในดัชนีหุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซี่ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
3. การปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง กลยุทธ์การเทรดแบบระยะสั้นอาจมีประสิทธิภาพมากกว่า โดยมุ่งเน้นการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงสั้นๆ เช่น กลยุทธ์ Range Trading ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบ หรือกลยุทธ์ Breakout Trading เมื่อราคาทะลุระดับแนวรับแนวต้านสำคัญ
4. การติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ
ในสัปดาห์ถัดไป มีเหตุการณ์สำคัญที่เทรดเดอร์ควรติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ พัฒนาการของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน การเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI และ PPI) การเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ และแถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสำคัญ การติดตามข่าวสารเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
5. โอกาสการลงทุนในช่วงตลาดผันผวน
แม้ว่าความผันผวนจะสร้างความท้าทาย แต่ก็มาพร้อมกับโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ เทรดเดอร์ควรพิจารณาโอกาสการเข้าซื้อทองคำในช่วงที่ราคาปรับตัวลงมาที่แนวรับสำคัญ โดยมีเป้าหมายที่แนวต้าน 3,270-3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ การทะลุแนวต้านของรูปแบบ Falling Wedge ของ Ethereum จะเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวที่น่าสนใจ
6. การวางแผนสำหรับหลากหลายสถานการณ์
การเตรียมแผนรับมือกับหลากหลายสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น (Scenario Planning) เป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์ในช่วงตลาดผันผวน เทรดเดอร์ควรพิจารณาแนวทางการเทรดทั้งในกรณีที่ความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น และในกรณีที่มีการผ่อนคลายความตึงเครียด รวมถึงกำหนดแผนการลงทุนที่ชัดเจนสำหรับแต่ละสถานการณ์
สัปดาห์ที่ 7-11 เมษายน 2025 ได้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความเชื่อมโยงของตลาดการเงินโลก โดยปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างความตึงเครียดทางการค้ามีอิทธิพลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ทุกประเภท การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความผันผวนที่อาจยังคงอยู่ในสัปดาห์ถัดไป เทรดเดอร์ที่มีวินัย ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์อย่างยืดหยุ่นจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าในสภาวะตลาดที่ท้าทายเช่นนี้