หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับการยกระดับความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจสองขั้วอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศที่เคยมีการค้าและการลงทุนเป็นพื้นฐานสำคัญกำลังเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว นำไปสู่สิ่งที่หลายฝ่ายเรียกว่า “สงครามเย็นครั้งใหม่” (New Cold War) ที่ขยายขอบเขตเกินกว่าประเด็นทางการค้า
การยกระดับความขัดแย้งครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ในขณะที่สงครามการค้าในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งแรกใช้เวลากว่าสองปีในการดำเนินการ แต่ครั้งนี้ทั้งสองประเทศได้ตั้งกำแพงภาษีต่อกันภายในเวลาเพียงสามเดือน โดยสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนสูงถึง 145% และจีนตอบโต้ด้วยการปรับภาษีสินค้าสหรัฐฯ เป็น 125% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การค้าโลก
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ทั้งการควบคุมการส่งออกแร่หายาก การใช้มาตรการทางไซเบอร์ และการกดดันประเทศที่สามให้เลือกข้าง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งจะขยายออกไปสู่มิติอื่นๆ รวมถึงความตึงเครียดทางการทหารที่อาจเกิดขึ้น
บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอภาพรวมของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน วิเคราะห์ผลกระทบที่มีต่อตลาดการเงินโลก และประเมินโอกาสและความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ในบริบทของความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะพิจารณาว่าการแยกตัวทางเศรษฐกิจ (Economic Decoupling) ระหว่างสองมหาอำนาจอาจส่งผลอย่างไรต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ตลาดการเงิน และการลงทุนในระยะยาว
ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯ เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ความขัดแย้งนี้มีพัฒนาการที่น่าสนใจและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เคยมีการค้าและการลงทุนเป็นตัวเชื่อมโยงสำคัญได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ตามที่เอกสาร Fundamental ระบุไว้ว่า “เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งและวอชิงตันจะเป็นอย่างไร การค้าและการลงทุนก็ยังคงเป็นกาวที่ยึดสองมหาอำนาจไว้ด้วยกัน” แต่ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองกำลังล่มสลาย นำไปสู่สงครามเย็นที่ขยายเกินกรอบการค้า สู่ความขัดแย้งที่ลึกซึ้งหรือแม้กระทั่งความตึงเครียดทางทหาร
สิ่งที่ต่างจากในอดีตคือความรวดเร็วและความรุนแรงของการยกระดับความขัดแย้ง ในขณะที่สงครามการค้าครั้งแรกในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ใช้เวลาดำเนินการกว่าสองปีและมีการเจรจาบ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้ทั้งสองประเทศได้ตั้งกำแพงภาษีต่อกันภายในเวลาเพียงสามเดือน โดยไม่มีสัญญาณของการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญ
ในเดือนเมษายน 2025 สหรัฐฯ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจเพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั่วประเทศ 10% ภายใต้กฎหมาย IEEPA และหลังจากนั้นได้ปรับเพิ่มภาษีตอบโต้เป็น 104% และในที่สุดเป็น 145% หลังจีนปฏิเสธการเจรจา มาตรการนี้ครอบคลุมสินค้าเทคโนโลยีสำคัญ 5 ประเภท ได้แก่ ชิปเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ และเครื่องมือแพทย์ขั้นสูง
ในการตอบโต้ จีนได้ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จาก 84% เป็น 125% มีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 12 เมษายน การปรับขึ้นนี้ทำให้ภาษีเฉลี่ยของจีนต่อสินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าอัตราโลกถึง 4.7 เท่า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรหลักถูกเก็บภาษีสูงสุด
นอกเหนือจากมาตรการทางภาษี ทั้งสองประเทศยังได้ใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อกดดันฝ่ายตรงข้าม จีนได้ระงับการส่งออกแร่หายากอย่างแกลเลียมและเจอร์เมเนียมชั่วคราว พร้อมกำหนดระบบใบอนุญาตส่งออกใหม่ที่ต้องผ่านการตรวจสอบความมั่นคงแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังห้ามหน่วยงานรัฐบาลจีนใช้ระบบปฏิบัติการ Windows และชิปจาก Intel/AMD และเพิ่มรายชื่อบริษัทสหรัฐฯ ในบัญชีดำ “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ”
ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ใช้ยุทธศาสตร์ “การแบ่งแยกเศรษฐกิจ” (Economic Decoupling) โดยกำหนดให้สินค้าจีนที่ส่งไปสหรัฐฯ ต้องผ่านการตรวจสอบที่ท่าเรือประเทศที่สามก่อน และพยายามเจรจากับ 70 ประเทศให้ปฏิเสธการขนส่งสินค้าจีนผ่านอาณาเขตของตน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงคือการขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ แม้ว่าในช่วงแรกปักกิ่งจะหวังที่จะมีการเจรจา แต่ความยืดหยุ่นทางการทูตของจีนไม่สอดคล้องกับความต้องการของทีมทรัมป์ที่ต้องการพูดคุยโดยตรงกับผู้ใกล้ชิดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แสดงความประสงค์ให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ติดต่อกลับมา และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังแนะนำให้รัฐมนตรีต่างประเทศจีนวัง อี้ ติดต่อรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ แต่จนถึงขณะนี้ ปักกิ่งปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมในทั้งสองช่องทาง
ในขณะที่การสื่อสารระหว่างสองประเทศชะงักงัน ทั้งสองมหาอำนาจกำลังพยายามสร้างพันธมิตรในการต่อสู้ครั้งนี้ สหรัฐฯ กำลังวางแผนผลักดันมากกว่า 70 ประเทศให้ร่วมมือในการแยกจีน ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนกำลังพยายามดึงพันธมิตรทางการค้าให้ห่างจากสหรัฐฯ
การเคลื่อนไหวล่าสุดบ่งชี้ถึงการเกิด “กลุ่มเศรษฐกิจสองขั้ว” โดยกลุ่มสหรัฐฯ ประกอบด้วย 32 ประเทศที่ลงนามในข้อตกลงการค้าแบบไม่มีภาษี และกลุ่มจีนมี 47 ประเทศในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ที่ตกลงใช้ระบบชำระเงินด้วยหยวนดิจิทัล
สถานการณ์ปัจจุบันจึงคล้ายคลึงกับสงครามเย็นในศตวรรษที่ 21 ที่ทั้งสองฝ่ายใช้ “อาวุธเศรษฐกิจ” แทนการเผชิญหน้าระหว่างทหาร และมีความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะขยายสู่พื้นที่ดิจิทัลและการแข่งขันด้านมาตรฐานเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้าน AI และควอนตัมคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจนำไปสู่การแบ่งแยกเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในอนาคต
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปี 2025 มีความรุนแรงมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยมาตรการทางการค้าที่ทั้งสองประเทศใช้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจโลก ส่วนนี้จะวิเคราะห์มาตรการทางการค้าและผลกระทบในเชิงลึก
การตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ในปี 2025 มีการดำเนินการอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด เริ่มต้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจเพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั่วประเทศ 10% ภายใต้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2025 การดำเนินการนี้ส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 3.1% ในปี 2016 เป็นมากกว่า 15% ในปัจจุบัน
หลังจากจีนปฏิเสธการเจรจา สหรัฐฯ ได้ตัดสินใจปรับเพิ่มภาษีตอบโต้อย่างก้าวกระโดด โดยเมื่อวันที่ 9 เมษายน ได้เพิ่มภาษีขึ้นอีก 50% ทำให้อัตราภาษีต่อสินค้าจีนสูงถึง 104% และในวันที่ 11 เมษายน ได้ปรับเพิ่มเป็น 145% มาตรการนี้ครอบคลุมสินค้าเทคโนโลยีสำคัญ 5 ประเภท ได้แก่:
การปรับขึ้นอัตราภาษีนี้ส่งผลให้ราคาสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ สูงขึ้นเฉลี่ย 76% เมื่อเทียบกับปี 2024 ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศและอัตราเงินเฟ้อ
จีนตอบโต้อย่างรวดเร็วและรุนแรงไม่แพ้กัน กระทรวงการคลังจีนประกาศเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2025 ให้เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จาก 84% เป็น 125% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในวันถัดไป การปรับขึ้นนี้ทำให้ภาษีเฉลี่ยของจีนต่อสินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าอัตราโลกถึง 4.7 เท่า
สินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ถูกกระทบอย่างหนัก โดยถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 15% ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรอเมริกัน โดยเฉพาะผู้ผลิตถั่วเหลือง ข้าวโพด และเนื้อหมู ที่พึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก
นอกจากมาตรการทางภาษี จีนยังใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีในการตอบโต้ ได้แก่:
เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังแสดงสัญญาณการชะลอตัวท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตประจำปีเหลือ 1.7% จากเดิม 2.1% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประสบกับความผันผวนอย่างมาก โดยดัชนี Dow Jones ลดลง 8% S&P 500 ลดลง 10% และ Nasdaq สูญเสียมากที่สุด โดยลดลงเกือบ 16% ตั้งแต่ต้นปี 2025
อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 2.8% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และคาดว่าจะลดลงเหลือ 2.6% ในเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้ออาจพุ่งขึ้นถึง 4.0% ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2026 เนื่องจากผลกระทบล่าช้าของมาตรการภาษี
ในส่วนของตลาดแรงงาน ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์อัตราการว่างงานสำหรับปี 2025 เป็น 4.4% จากเดิม 4.1% และอาจสูงถึง 4.6% ภายในกลางปี 2026 ตามการคาดการณ์ของ S&P Global
เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตในระดับที่น่าพอใจท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า โดยมีการรายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ของปี 2025 ที่ 5.4% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายรัฐบาลที่กำหนดไว้ที่ 5% ตลาดหุ้นจีนแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวหลังจากการตอบสนองเชิงรุกของรัฐบาลต่อความตึงเครียดทางการค้า
อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ การหดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่อง การส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อของจีนยังอยู่ในระดับต่ำมาก โดยปรับตัวขึ้นเป็น 0.5% ในเดือนมกราคม 2025 ก่อนจะลดลงเหลือ -0.1% ในเดือนมีนาคม ซึ่งสะท้อนภาวะเงินฝืดและความต้องการภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลกครั้งใหญ่ ข้อมูลจากธนาคารโลกชี้ให้เห็นว่า 45% ของบริษัทข้ามชาติเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีนภายในเดือนเมษายน 2025 โดยเวียดนามและอินเดียได้รับประโยชน์สูงสุด
ดัชนีการผลิตของเวียดนามเพิ่มขึ้น 18.7% ในเดือนมีนาคม 2025 ซึ่งเป็นผลมาจากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างๆ ขณะที่อินเดียมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์
นอกจากนี้ ประเทศในอาเซียนกำลังพัฒนาตนเองให้เป็น “ศูนย์กลางกลาง” ในห่วงโซ่อุปทานโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง โดยมีการผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อเพิ่มการบูรณาการระดับภูมิภาคและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญจาก Carnegie Endowment คาดการณ์ว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะเปลี่ยนโฉมระบบเศรษฐกิจโลกภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยอาจทำให้ GDP โลกหดตัว 2.3% หากไม่มีการเจรจา
การแบ่งขั้วของระบบเศรษฐกิจโลกกำลังเกิดขึ้น โดยมีการแบ่งเป็นสองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วย 32 ประเทศที่ลงนามในข้อตกลงการค้าแบบไม่มีภาษี และกลุ่มที่นำโดยจีน ซึ่งมี 47 ประเทศในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ที่ตกลงใช้ระบบชำระเงินด้วยหยวนดิจิทัล
ประเทศที่สามต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างสองมหาอำนาจ โดยบางประเทศเช่นออสเตรเลียเลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอของจีนให้ “จับมือร่วมกัน” ต้านมาตรการภาษีสหรัฐฯ และหันไปกระจายการค้ากับประเทศอื่นๆ แทน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่นแคนาดาและสหภาพยุโรปเลือกที่จะตอบโต้มาตรการของสหรัฐฯ โดยตรง
ความขัดแย้งนี้ยังนำไปสู่การแข่งขันในการพัฒนามาตรฐานเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้าน AI และควอนตัมคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจนำไปสู่การแบ่งแยกเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในอนาคต ทั้งนี้ จีนกำลังลงทุน 1.2 ล้านล้านหยวนในอุตสาหกรรมชิปภายในประเทศภายในปี 2027 เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
โดยสรุปแล้ว มาตรการทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานและการแบ่งขั้วของระบบเศรษฐกิจโลก ผลกระทบเหล่านี้จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2025 เมื่อผลกระทบเต็มที่ของมาตรการภาษีและมาตรการตอบโต้เริ่มปรากฏชัดเจน
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินทั่วโลก การประกาศมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้าที่รุนแรงได้สร้างความผันผวนในตลาดหุ้น ตลาดสกุลเงิน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนนี้จะวิเคราะห์การตอบสนองของตลาดการเงินต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นทั่วโลกได้แสดงปฏิกิริยาที่แตกต่างกันต่อความขัดแย้งทางการค้า โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบในทางลบอย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ดัชนีหลักทั้งสามของสหรัฐฯ ได้บันทึกการลดลงที่สำคัญ:
ความผันผวนของตลาดสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อบริษัทอเมริกันที่พึ่งพาตลาดจีนและห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ บริษัทเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากพึ่งพาการผลิตและการขายในจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการลดลงอย่างมากของ Nasdaq
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2025 หุ้นของ UnitedHealth Group ดิ่งลงอย่างรุนแรงหลังจากยักษ์ใหญ่ด้านสุขภาพรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์และปรับลดการคาดการณ์กำไรสำหรับปี 2025 เหตุการณ์นี้ยิ่งเพิ่มความกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่อ่อนแอเนื่องจากความตึงเครียดทางการค้า
ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นจีนได้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นที่มากกว่า แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2025 ดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 0.45% ปิดที่ 3,291 ขณะที่ดัชนี Shenzhen Component เพิ่มขึ้น 1.27% เป็น 9,906 การฟื้นตัวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นจีนดิ่งลง 7% ในวันที่ 7 เมษายน แต่ได้ฟื้นตัวกลับมาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้ใช้มาตรการที่รวดเร็วและแน่วแน่เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด
ตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ มีผลการดำเนินงานที่ผสมผสาน โดยเมื่อวันที่ 16 เมษายน:
ในยุโรป ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้ายุโรป โดยเฉพาะเหล็กและอะลูมิเนียม ดัชนี STOXX Europe 600 แสดงความผันผวนอย่างมากในช่วงกลางเดือนเมษายน 2025 เนื่องจากนักลงทุนประเมินผลกระทบของมาตรการตอบโต้ที่ประกาศโดยคณะกรรมาธิการยุโรป
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดสกุลเงินโลก โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และหยวนจีน
ในปี 2025 อัตราแลกเปลี่ยน USD/CNY แสดงความผันผวนที่สำคัญ:
ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในช่วงกลางเดือนเมษายน สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เมื่อเทียบกับยูโร (USD/EUR) ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในช่วงกลางเดือนเมษายน:
เยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ:
ปอนด์อังกฤษก็แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ:
การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า
ราคาทองคำและน้ำมันได้แสดงการตอบสนองที่แตกต่างกันต่อความตึงเครียดทางการค้า ทองคำได้ปฏิบัติตามบทบาทดั้งเดิมในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย โดยราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางการค้า
ราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวที่สำคัญในเดือนเมษายน 2025:
ดัชนีดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากความตึงเครียดทางการค้าได้เพิ่มความต้องการทองคำ นักวิเคราะห์คาดว่าราคาทองคำอาจทะลุไปถึง $3,130 และสูงกว่านั้นในสัปดาห์นี้หากความตึงเครียดทางการค้ายังคงดำเนินต่อไป
ในทางตรงกันข้าม ตลาดน้ำมันได้รับผลกระทบในทางลบจากความตึงเครียดทางการค้าและการประกาศของ OPEC+:
EIA รายงานว่า “ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างรวดเร็วในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายนเมื่อผู้เข้าร่วมตลาดน้ำมันประเมินประกาศที่ว่าสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีใหม่และ OPEC+ จะเร่งการเพิ่มการผลิต” ราคาน้ำมัน WTI ลดลง 10% ในปี 2025 จนถึงปัจจุบัน สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของความต้องการท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้าต่อเศรษฐกิจโลก เราสามารถสังเกตรูปแบบที่สำคัญดังต่อไปนี้:
นักลงทุนและผู้เข้าร่วมตลาดกำลังติดตามความเสี่ยงหลายประการที่เกิดจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน:
โดยสรุป การตอบสนองของตลาดการเงินโลกต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ตลาดหุ้นและสกุลเงินแสดงความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ทองคำปฏิบัติตามบทบาทดั้งเดิมในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และราคาน้ำมันสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก นักลงทุนควรติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้าต่อนโยบายการเงิน
ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้สร้างความท้าทายให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ต้องปรับตัวและกำหนดท่าทีของตนเองในสภาพแวดล้อมทางการค้าที่มีความตึงเครียดสูง ประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจสำคัญกำลังพยายามรักษาสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับทั้งสองมหาอำนาจ ขณะเดียวกันก็ปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเอง
สหภาพยุโรปได้เลือกใช้ยุทธศาสตร์ “การตอบโต้แบบขั้นบันได” (Phased Retaliation) ในการรับมือกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยประกาศเก็บภาษี 25% บนสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 21,000 ล้านยูโร แบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา ช่วงแรกเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 เมษายน 2025 ครอบคลุมสินค้าเช่น น้ำผลไม้ ข้าว สิ่งทอ และรถจักรยานยนต์ มูลค่ารวม 4,000 ล้านยูโร
การตอบโต้ของสหภาพยุโรปเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษี 25% ต่อการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากสหภาพยุโรปมูลค่า 26,000 ล้านยูโรต่อปี อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปยังคงเปิดช่องทางสำหรับการเจรจา โดยระงับการบังคับใช้มาตรการตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน เพื่อรอผลการหารือกับสหรัฐฯ
Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เน้นย้ำว่า “มาตรการของเรามีความเข้มแข็งแต่ได้สัดส่วน และพร้อมยกเลิกได้ทุกเวลาหากมีการเจรจา” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของสหภาพยุโรปในการรักษาสมดุลระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม การรักษาความเป็นเอกภาพระหว่างประเทศสมาชิกเป็นความท้าทายสำคัญของสหภาพยุโรป ฮังการีเป็นชาติเดียวที่ลงคะแนนคัดค้านมาตรการตอบโต้ ในขณะที่ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ และอิตาลีประสบความสำเร็จในการถอดสินค้าบางรายการออกจากบัญชีภาษีตอบโต้ เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับการตอบโต้จากสหรัฐฯ
ญี่ปุ่นเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากจากการขึ้นภาษีรถยนต์และโลหะของสหรัฐฯ สูงถึง 24% ซึ่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่นเรียกว่าเป็น “วิกฤตระดับชาติ” แม้จะได้รับการระงับชั่วคราว 90 วัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อญี่ปุ่นมีความรุนแรงมาก โดยประมาณการว่า GDP อาจหดตัวถึง 0.8% หากมีการบังคับใช้ภาษีเต็มรูปแบบ และดัชนี Nikkei เคยร่วง 9% ในวันเดียวหลังการประกาศมาตรการดังกล่าว
รัฐบาลญี่ปุ่นตอบสนองด้วยการจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ ส่งคณะเจรจาระดับกระทรวงไปวอชิงตัน และเร่งขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ ยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นมุ่งเน้นการเชื่อมโยงประเด็นด้านความมั่นคงกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
George Glass เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำโตเกียว ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการ “ประสานกำลังทางทหาร” เพื่อรับมือกับจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าญี่ปุ่นกำลังใช้ความสำคัญทางยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของตนเพื่อเจรจาผ่อนปรนมาตรการทางการค้า ความท้าทายสำคัญของญี่ปุ่นคือการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในการเพิ่มส่วนแบ่งการสนับสนุนทางการเงินให้กองทัพสหรัฐฯ จากปีละ 1.4 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
ประเทศในกลุ่มอาเซียนกำลังปรับตัวเพื่อรับมือกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยมองว่าสถานการณ์นี้เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส Tan Sri Nazir Razak ประธาน ASEAN Business Advisory Council ระบุว่าการแบ่งแยกเศรษฐกิจโลก (Global Decoupling) เปิดโอกาสให้อาเซียนเป็น “ศูนย์กลางกลาง” ในห่วงโซ่อุปทานโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
อาเซียนกำลังผลักดัน 12 นโยบายหลักในปี 2025 เพื่อเพิ่มการบูรณาการภายในภูมิภาค รวมถึงการจัดทำ “เอกสารแสดงข้อเสนอร่วม” (ASEAN Prospectus) ที่จะช่วยให้บริษัทสามารถระดมทุนข้ามประเทศสมาชิกได้สะดวกขึ้น เป้าหมายคือการเพิ่มความน่าสนใจของภูมิภาคสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ
เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยดัชนีการผลิตขยายตัวสูงถึง 18.7% ในเดือนมีนาคม 2025 การเติบโตนี้มาจากการที่บริษัทข้ามชาติจำนวนมากเลือกย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อสินค้าจีน
อินเดียกำลังเผชิญกับความท้าทายจากภาษีสหรัฐฯ สูงถึง 27% ต่อสินค้าส่งออกสำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นเช่นสิ่งทอและรองเท้า รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi ได้ตอบสนองด้วยการเร่งการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเดิมจะเสร็จสิ้นในปลายปี 2025
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุดของอินเดีย คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมด การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจอินเดีย นอกจากนี้ อินเดียยังเห็นโอกาสในการดึงดูดการย้ายฐานการผลิตจากจีนและเวียดนาม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์
Nilesh Shah นักจัดการกองทุนชื่อดังของอินเดีย ได้ประเมินว่าหากอินเดียสามารถดึงดูดส่วนแบ่งการส่งออกเพียง 5% จากจีนและเวียดนาม จะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจถึง 12,000 ล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงโอกาสมหาศาลสำหรับอินเดียในการขยายฐานการผลิตและการส่งออก
แคนาดาได้แสดงท่าทีที่แข็งกร้าวที่สุดในการตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยประกาศเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่าสูงถึง 155,000 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2025 ครอบคลุมสินค้าเช่น น้ำส้ม เนยถั่ว ไวน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
Dominic LeBlanc รัฐมนตรีคลังแคนาดา ระบุว่ามาตรการนี้ “เข้มแข็งแต่จำเป็น” เพื่อปกป้องเศรษฐกิจและงานของประชาชนชาวแคนาดา การตอบโต้ที่รุนแรงของแคนาดาสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจแคนาดา ซึ่งพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก
ออสเตรเลียได้ปฏิเสธข้อเสนอของจีนให้ “จับมือร่วมกัน” ต่อต้านมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน Richard Marles รองนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ประกาศว่าประเทศของเขาจะ “ไม่เข้าแถวเดียวกับจีน” แต่จะมุ่งกระจายการค้าไปยังสหภาพยุโรป อินโดนีเซีย อินเดีย และตะวันออกกลางแทน
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นแม้ว่าจีนจะเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของออสเตรเลีย คิดเป็น 30% ของการส่งออกทั้งหมด แต่รัฐบาลออสเตรเลียเลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรด้านความมั่นคงที่สำคัญ ธนาคารกลางออสเตรเลียได้เตือนว่าความไม่แน่นอนทางการค้าอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการใช้จ่ายภาคเอกชน
จากการวิเคราะห์ท่าทีของประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจสำคัญ สามารถสังเกตเห็นรูปแบบการตอบสนอง 3 แนวทางหลักต่อความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน:
ความท้าทายร่วมของประเทศต่างๆ คือการรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ภายในประเทศกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในขณะที่รัฐบาลต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจภายในประเทศ พวกเขาก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวของการเลือกข้างในความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ในอนาคต อาจเกิด “ทางเลือกที่สาม” ที่ประเทศต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างชัดเจน แต่สามารถพัฒนาระบบการค้าและมาตรฐานทางเทคโนโลยีของตนเอง ความพยายามของอาเซียนในการพัฒนาระบบการเงินและการค้าภายในภูมิภาคเป็นตัวอย่างของแนวทางนี้
ประเทศขนาดกลางและเล็กกำลังมีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่สำหรับการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ แทนที่จะเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดโดยมหาอำนาจ ซึ่งอาจนำไปสู่ระบบการค้าระหว่างประเทศที่มีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้นในอนาคต
การวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนนำไปสู่ข้อสรุปที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ความขัดแย้งนี้มีลักษณะที่แตกต่างจากสงครามการค้าครั้งก่อนอย่างมีนัยสำคัญทั้งในด้านความรวดเร็ว ความรุนแรง และขอบเขตที่กว้างขวาง เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าความขัดแย้งนี้จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน
จากข้อมูลที่นำเสนอในบทวิเคราะห์นี้ มีประเด็นสำคัญหลายประการที่สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความรุนแรงของความขัดแย้งในปัจจุบัน:
ประการแรก ความขัดแย้งครั้งนี้มีลักษณะที่เกินกว่าสงครามการค้าทั่วไป กลายเป็นการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมหลายมิติ ไม่เพียงแต่การค้าและการลงทุน แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยี ความมั่นคง และอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งนี้มีลักษณะคล้ายกับสงครามเย็นในศตวรรษที่ 21 ที่ทั้งสองฝ่ายใช้ “อาวุธเศรษฐกิจ” แทนการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง
ประการที่สอง การขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงของการยกระดับความขัดแย้ง การปฏิเสธของจีนที่จะเจรจากับสหรัฐฯ ในช่องทางที่มีอยู่ และการที่สหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีอย่างรุนแรง สะท้อนให้เห็นถึงภาวะการสื่อสารที่ล้มเหลวระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง
ประการที่สาม ทั้งสหรัฐฯ และจีนกำลังพยายามสร้างพันธมิตรของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การแบ่งขั้วของระบบเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯ กำลังเจรจากับมากกว่า 70 ประเทศให้ร่วมกันแยกจีน ในขณะที่จีนใช้ประโยชน์จากโครงการ Belt and Road Initiative และความสัมพันธ์ทางการค้าเพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตน
ประการที่สี่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของความขัดแย้งนี้กระจายไปทั่วโลก โดยบางประเทศ เช่น เวียดนามและอินเดีย ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่นและแคนาดา กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
ประการที่ห้า ตลาดการเงินทั่วโลกแสดงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดจากความขัดแย้ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ได้รับผลกระทบในทางลบ ในขณะที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นตามบทบาทของการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และราคาน้ำมันลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก
จากสถานการณ์ปัจจุบัน เราสามารถคาดการณ์แนวโน้มและความเสี่ยงที่สำคัญในอนาคตได้ดังนี้:
แนวโน้มแรก การแบ่งแยกทางเศรษฐกิจ (Economic Decoupling) ระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะเร่งตัวขึ้น บริษัทข้ามชาติจะปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการแพทย์
แนวโน้มที่สอง ระบบการค้าโลกจะมีลักษณะแบ่งขั้วมากขึ้น โดยอาจแบ่งเป็นสองกลุ่มหลักที่นำโดยสหรัฐฯ และจีน กลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทั้งสองมหาอำนาจ เช่น ประเทศในอาเซียน จะเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลและอาจต้องพัฒนา “ทางเลือกที่สาม” ของตนเอง
แนวโน้มที่สาม การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะทวีความเข้มข้น โดยเฉพาะในด้าน AI ควอนตัมคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสะอาด ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนามาตรฐานเทคโนโลยีที่แตกต่างกันและการแบ่งแยกเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในอนาคต
แนวโน้มที่สี่ ประเทศที่สามารถปรับตัวได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมใหม่นี้จะเป็นประเทศที่มีความยืดหยุ่นและสามารถกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีนโยบายเปิดกว้างต่อการลงทุนจากต่างประเทศและมีแรงงานที่มีทักษะจะมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก
แนวโน้มที่ห้า ความผันผวนในตลาดการเงินจะยังคงสูงในระยะกลางถึงระยะยาว เนื่องจากนักลงทุนต้องปรับตัวต่อโลกที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น สินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองคำอาจยังคงได้รับความนิยม ในขณะที่ตลาดที่มีความเสี่ยงสูงอาจเผชิญกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ที่ต้องดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนสูงนี้ มีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้:
ในบริบทของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ประเทศไทยกำลังเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทาย:
โอกาส: ประเทศไทยอาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และการแปรรูปอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสหรัฐฯ และจีนอาจเป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูดการลงทุนจากทั้งสองประเทศ
ความท้าทาย: ประเทศไทยต้องรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐฯ และจีน ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากในสภาพแวดล้อมที่ทั้งสองมหาอำนาจกำลังกดดันประเทศต่างๆ ให้เลือกข้าง นอกจากนี้ ภาคส่งออกของไทยอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความขัดแย้งทางการค้า
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ใช่เพียงปัญหาระยะสั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงนี้กำลังนำโลกไปสู่ยุคใหม่ที่มีการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจที่เข้มข้นมากขึ้น และการแบ่งขั้วของระบบเศรษฐกิจโลก
ในสภาพแวดล้อมใหม่นี้ ความสามารถในการปรับตัว ความยืดหยุ่น และการกระจายความเสี่ยงจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดผู้ที่จะประสบความสำเร็จ ทั้งในระดับประเทศ บริษัท และนักลงทุนรายบุคคล การเข้าใจพลวัตของความขัดแย้งนี้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถวางแผนและปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เชี่ยวชาญจาก Carnegie Endowment ได้แสดงความเห็นว่า “สหรัฐฯ และจีนอยู่ในสภาวะของการแยกตัวทางเศรษฐกิจ และดูเหมือนจะไม่มีราวกั้นใดๆ ที่จะป้องกันการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าจากการแพร่กระจายไปสู่พื้นที่อื่นๆ มันกำลังกลายเป็นเรื่องยากขึ้นที่จะโต้แย้งว่าเราไม่ได้อยู่ในสงครามเย็นครั้งใหม่” คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เราทุกคนกำลังเผชิญ และความจำเป็นในการเตรียมพร้อมสำหรับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว