คู่สกุลเงิน USD/CAD กำลังเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นทางเทคนิคและได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานหลายประการ โดยเฉพาะความได้เปรียบด้านอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯและนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ที่กดดันการส่งออกของแคนาดา ณ ปัจจุบัน USD/CAD เคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1.4430-1.4465 แต่มีแนวโน้มทะลุขึ้นสู่ระดับ 1.4500 ในระยะสั้น หากปัจจัยพื้นฐานยังคงเอื้อหนุน
สถานการณ์ตลาดปัจจุบัน
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2025 USD/CAD สร้างระดับสูงสุดใหม่ที่ 1.4800 ก่อนจะปรับฐานลงเล็กน้อย สะท้อนแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในระยะกลาง ราคาเคลื่อนตัวเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) ทุกระดับในกรอบเวลารายวัน โดยเฉพาะ MA 50, 100 และ 200 วัน ซึ่งเรียงตัวในลักษณะขาขึ้น (Bullish Alignment)
การเคลื่อนไหวล่าสุดแสดงรูปแบบการพักตัวในกรอบแคบ (Consolidation) หลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อต้นเดือน ดัชนี RSI บนกรอบ H4 อยู่ที่ 58-62 ซึ่งยังไม่เข้าสู่เขต Overbought ทำให้มีพื้นที่สำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไปได้ ขณะที่ MACD บ่งชี้โมเมนตัมเชิงบวกที่ยังคงแข็งแกร่ง
จจัยหลักที่ขับเคลื่อนคู่เงิน USD/CAD
- ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย: ช่องว่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ-แคนาดาอยู่ที่ประมาณ 1.25-1.50% โดยเฟดรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% ขณะที่ BoC ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 3.00% ความแตกต่างนี้ดึงดูดกระแสเงินทุนเข้าสู่สหรัฐฯ หนุน USD ให้แข็งค่าขึ้น
- นโยบายการค้า: นโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯที่กำหนดภาษีนำเข้า 25% สำหรับเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 สร้างแรงกดดันต่อภาคการส่งออกของแคนาดา กระทบต่อดุลการค้าและกดดัน CAD
- ราคาน้ำมัน: ราคาน้ำมัน WTI Crude ที่อยู่ในระดับ 86.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ไม่สูงพอที่จะให้แรงหนุนสำคัญต่อ CAD ซึ่งเป็นสกุลเงินที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันสูง
- ข้อมูลเศรษฐกิจ: CPI สหรัฐฯ เดือนมกราคม 2025 ที่สูงเกินคาดที่ 0.4% MoM ส่งผลให้เฟดยังคงท่าทีเข้มงวดต่อเนื่อง ขณะที่ GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 4/2024 เติบโต 3.1% แสดงถึงเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง
คาดการณ์แนวโน้มระยะสั้นถึงกลาง
ในระยะสั้น (1-2 สัปดาห์) USD/CAD มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 1.4350-1.4500 โดยมีโอกาสทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1.4500 หากกลุ่มข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด
ในระยะกลาง (1-3 เดือน) แนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ 1.4780-1.4800 หากปัจจัยพื้นฐานยังคงเอื้อหนุน โดยเฉพาะความได้เปรียบด้านอัตราดอกเบี้ยและผลกระทบจากนโยบายภาษีที่ยังคงกดดัน CAD อย่างไรก็ตาม ควรระวังความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของเฟดหรือการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงของราคาน้ำมัน ซึ่งอาจทำให้แนวโน้มเปลี่ยนแปลงได้
เหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม
การติดตามเหตุการณ์เศรษฐกิจสำคัญเป็นปัจจัยหลักในการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของ USD/CAD โดยเฉพาะเมื่อตลาดอยู่ในช่วงระหว่างแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ ข้อมูลเศรษฐกิจเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการคาดการณ์นโยบายการเงินและแนวโน้มค่าเงินในระยะสั้นถึงกลาง
ตารางประกาศเศรษฐกิจสำคัญ (เวลา GMT+3)
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025
- 17:30 น. – ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ (ม.ค.)
- คาดการณ์: -5.0% MoM
- ก่อนหน้า: +2.6% MoM
- ผลกระทบ: ปานกลางถึงสูง ต่อ USD
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2025
- 16:00 น. – ดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์ S&P/Case-Shiller สหรัฐฯ (ธ.ค.)
- คาดการณ์: +7.1% YoY
- ก่อนหน้า: +6.9% YoY
- ผลกระทบ: ปานกลาง ต่อ USD
- 17:00 น. – ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conference Board สหรัฐฯ (ก.พ.)
- คาดการณ์: 114.0
- ก่อนหน้า: 114.8
- ผลกระทบ: ปานกลางถึงสูง ต่อ USD
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025
- 15:30 น. – GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 4 (ประมาณการครั้งที่ 2)
- คาดการณ์: +3.3% QoQ (ปรับขึ้นจาก +3.1%)
- ก่อนหน้า: +3.1% QoQ
- ผลกระทบ: สูง ต่อ USD
- 17:30 น. – สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ
- คาดการณ์: เพิ่มขึ้น 2.7 ล้านบาร์เรล
- ก่อนหน้า: เพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล
- ผลกระทบ: สูง ต่อ CAD (ผ่านราคาน้ำมัน)
วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม 2025
- 15:30 น. – ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) สหรัฐฯ (ม.ค.)
- คาดการณ์: +0.3% MoM, +2.8% YoY
- ก่อนหน้า: +0.2% MoM, +2.6% YoY
- ผลกระทบ: สูงมาก ต่อ USD (ตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ)
- 15:30 น. – จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯ
- คาดการณ์: 215,000
- ก่อนหน้า: 212,000
- ผลกระทบ: ปานกลาง ต่อ USD
- 15:30 น. – GDP แคนาดา ไตรมาส 4
- คาดการณ์: +1.8% QoQ (annualized)
- ก่อนหน้า: +1.5% QoQ (annualized)
- ผลกระทบ: สูงมาก ต่อ CAD
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2025
- 16:45 น. – ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) สหรัฐฯ (ก.พ.)
- คาดการณ์: 50.5
- ก่อนหน้า: 50.3
- ผลกระทบ: ปานกลาง ต่อ USD
- 17:00 น. – ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการและภาคการผลิต ISM สหรัฐฯ (ก.พ.)
- คาดการณ์: 53.2
- ก่อนหน้า: 53.0
- ผลกระทบ: สูง ต่อ USD
ผลกระทบที่คาดการณ์ต่อ USD/CAD
ในบรรดาประกาศเศรษฐกิจทั้งหมด มีสองรายการที่มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อ USD/CAD:
- ดัชนี PCE สหรัฐฯ (1 มีนาคม): เป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อหลักที่เฟดใช้ในการตัดสินใจนโยบายการเงิน หาก PCE สูงกว่าคาดที่ 0.3% MoM หรือ 2.8% YoY อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่เฟดจะชะลอการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ USD แข็งค่าและ USD/CAD ปรับตัวขึ้น อาจทดสอบแนวต้าน 1.4550-1.4600
- GDP แคนาดาไตรมาส 4 (1 มีนาคม): ข้อมูลนี้จะแสดงสุขภาพเศรษฐกิจของแคนาดาและมีผลต่อทิศทางนโยบาย BoC หาก GDP ต่ำกว่าคาดที่ 1.8% อาจเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของ BoC ซึ่งจะกดดัน CAD และหนุน USD/CAD ขึ้นไปทดสอบ 1.4600-1.4650
สถานการณ์ที่ต้องจับตา
1. สถานการณ์ที่เป็นบวกต่อ USD/CAD (ราคาปรับตัวขึ้น):
- PCE สหรัฐฯ สูงกว่าคาด + GDP แคนาดาต่ำกว่าคาด
- สต็อกน้ำมันสหรัฐฯ เพิ่มสูงกว่าคาด (กดดันราคาน้ำมัน)
- ISM สหรัฐฯ แข็งแกร่งเกินคาด
2. สถานการณ์ที่เป็นลบต่อ USD/CAD (ราคาปรับตัวลง):
- PCE สหรัฐฯ ต่ำกว่าคาด + GDP แคนาดาสูงกว่าคาด
- สต็อกน้ำมันสหรัฐฯ ลดลง (หนุนราคาน้ำมัน)
- ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าคาด
การวิเคราะห์กราฟ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของคู่สกุลเงิน USD/CAD แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในกรอบเวลาระยะกลางถึงยาว โดยราคาได้เคลื่อนตัวในลักษณะที่สร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การวิเคราะห์แบบหลายกรอบเวลา (Multiple Timeframe Analysis) จะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของแนวโน้มปัจจุบันและโอกาสในการเทรด
การวิเคราะห์กรอบเวลารายวัน (Daily Timeframe)
ในกรอบเวลารายวัน USD/CAD แสดงแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน โดยราคาเคลื่อนตัวเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) ทุกระดับ โดยเฉพาะ MA 50, 100 และ 200 วัน ซึ่งเรียงตัวในลักษณะขาขึ้น (Bullish Alignment) ตั้งแต่ปลายปี 2024
ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ราคาสร้างระดับสูงสุดใหม่ที่ 1.4800 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ก่อนจะปรับฐานลงเล็กน้อย และกำลังเคลื่อนตัวในรูปแบบ Bull Flag Pattern ซึ่งมักเป็นสัญญาณของการพักฐานชั่วคราวก่อนปรับตัวขึ้นต่อ
ดัชนี RSI บนกรอบรายวันอยู่ที่ระดับ 64 ซึ่งแม้จะแสดงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้น แต่ยังไม่เข้าสู่เขต Overbought (เกิน 70) โดยสมบูรณ์ ทำให้มีพื้นที่สำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไปได้ MACD ยังคงอยู่เหนือเส้น Signal Line แต่ Histogram เริ่มแคบลง บ่งชี้ถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่ชะลอตัวลงชั่วคราว
การวิเคราะห์กรอบเวลา 4 ชั่วโมง (H4 Timeframe)
ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง USD/CAD กำลังสร้างรูปแบบธงสามเหลี่ยม (Bull Pennant) หลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยราคาเคลื่อนตัวในช่วงแคบลงระหว่าง 1.4380-1.4465 ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา
Bollinger Bands แสดงการหดตัวอย่างชัดเจน ซึ่งมักนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่รุนแรงเมื่อราคาทะลุออกจากกรอบ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับรูปแบบ Pennant ที่กำลังเกิดขึ้น
Fractals (Up/Down) บ่งชี้ถึงจุดกลับตัวเฉพาะที่ โดยล่าสุด Up Fractal เกิดขึ้นที่ 1.4465 และ Down Fractal ที่ 1.4380 ซึ่งสอดคล้องกับขอบบนและล่างของรูปแบบ Pennant
Stochastic Oscillator ในกรอบ H4 เคลื่อนตัวในโซน 40-60 แสดงถึงสภาวะ Consolidation ที่ไม่มีแรงซื้อหรือขายมากจนเกินไป พร้อมที่จะเคลื่อนตัวตามทิศทางการ Breakout
การวิเคราะห์กรอบเวลา 1 ชั่วโมง (H1 Timeframe)
ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง เห็นได้ชัดว่าราคากำลังเคลื่อนตัวในกรอบแคบมากขึ้น โดยมีการสร้าง Higher Lows และ Lower Highs ซึ่งบ่งชี้ถึงการบีบตัวของราคาก่อนการเคลื่อนไหวที่รุนแรง
MA 21 ทำหน้าที่เป็นแนวต้านระยะสั้น ขณะที่ MA 50 ทำหน้าที่เป็นแนวรับ โดยราคามักเด้งกลับเมื่อทดสอบ MA 50 ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนถึงแรงซื้อที่เข้ามาที่ระดับนี้
RSI บนกรอบ H1 เคลื่อนตัวในลักษณะ Sideways ระหว่าง 45-55 แสดงถึงสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขายในระยะสั้น การทะลุขึ้นเหนือระดับ 60 อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการปรับตัวขึ้น
MACD Histogram อยู่ใกล้เส้นศูนย์และกำลังเปลี่ยนเป็นเชิงบวกเล็กน้อย บ่งชี้ถึงโมเมนตัมที่กำลังเปลี่ยนไปในทิศทางขาขึ้น
การวิเคราะห์กรอบเวลาระยะสั้น (M15 และ M5)
กรอบเวลา M15 และ M5 แสดงให้เห็นแนวโน้มระยะสั้นที่เป็นขาขึ้นอ่อนๆ โดยราคาเริ่มเคลื่อนตัวเหนือ MA 21 และ MA 50 ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ในกรอบ M15 สังเกตเห็นรูปแบบ Double Bottom ที่ระดับ 1.4380 ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวของราคาในระยะสั้น เส้น Neckline ของรูปแบบนี้อยู่ที่ประมาณ 1.4420 และราคาได้ทะลุผ่านระดับนี้แล้ว
Bollinger Bands ในกรอบ M5 และ M15 เริ่มขยายตัวหลังจากการหดตัวอย่างมาก บ่งชี้ถึงความผันผวนที่กำลังเพิ่มขึ้นและโอกาสในการเคลื่อนไหวที่รุนแรงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
รูปแบบทางเทคนิคที่สำคัญ
- Bull Flag/Pennant บนกรอบ D1 และ H4: รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการพักฐานชั่วคราวหลังการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และมักนำไปสู่การเคลื่อนไหวขาขึ้นต่อเนื่อง เป้าหมายทางเทคนิคของรูปแบบนี้อยู่ที่ประมาณ 1.4750-1.4800
- Bullish MA Alignment บนกรอบ D1: MA 21, 50, 100 และ 200 เรียงตัวในลักษณะขาขึ้นชัดเจน แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในระยะกลางถึงยาว
- Double Bottom บนกรอบ M15: รูปแบบการกลับตัวระยะสั้นที่บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่เข้ามาที่ระดับแนวรับ 1.4380 เป้าหมายของรูปแบบนี้อยู่ที่ประมาณ 1.4460
- Bullish Divergence บน RSI กรอบ H1: RSI สร้าง Higher Low ในขณะที่ราคายังคงเคลื่อนตัวลง บ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของแรงขายและโอกาสในการกลับตัวขึ้น
สัญญาณซื้อ/ขายปัจจุบัน
สัญญาณซื้อ:
- ราคาอยู่ในรูปแบบ Bull Flag/Pennant บนกรอบ H4 ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะทะลุขึ้น
- Stochastic เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นจากโซนกลางบนกรอบ H1 และ H4
- การเกิด Double Bottom บนกรอบ M15 ที่ระดับ 1.4380
- MA 21, 50, 100 และ 200 วันเรียงตัวในลักษณะขาขึ้น
สัญญาณขาย (ระยะสั้น):
- ราคาอาจเผชิญแรงต้านที่ Upper Bollinger Band บนกรอบ H1 ที่ 1.4465
- MACD Histogram บนกรอบ D1 เริ่มแคบลง บ่งชี้โมเมนตัมขาขึ้นที่ชะลอตัว
- RSI บนกรอบ D1 เริ่มอ่อนตัวลงเล็กน้อยหลังจากแตะระดับสูงสุดที่ 68
สรุปการวิเคราะห์กราฟ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคบ่งชี้ว่า USD/CAD อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งในระยะกลางถึงยาว และกำลังอยู่ในช่วงพักฐานชั่วคราวในรูปแบบ Bull Flag/Pennant บนกรอบ H4 โครงสร้างทางเทคนิคส่วนใหญ่สนับสนุนการทะลุขึ้นในระยะสั้น โดยมีเป้าหมายแรกที่ 1.4500 และหากทะลุผ่านได้อาจไปถึง 1.4600-1.4650
ระดับแนวต้านสำคัญ
การระบุระดับแนวต้านที่ชัดเจนเป็นส่วนสำคัญของการวางแผนกลยุทธ์การเทรด โดยเฉพาะในสภาวะตลาดปัจจุบันที่ USD/CAD กำลังเคลื่อนตัวในแนวโน้มขาขึ้น การระบุแนวต้านช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดจุดทำกำไร (Take-Profit) และคาดการณ์บริเวณที่อาจเกิดการชะลอตัวหรือกลับตัวของราคาได้อย่างแม่นยำขึ้น
ระดับแนวต้านหลัก (Major Resistance Levels)
- ระดับ 1.4500 แนวต้านนี้เป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญและเป็นจุดที่มีแรงขายสะสมอย่างมีนัยสำคัญในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ราคาได้ทดสอบระดับนี้สามครั้งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาแต่ไม่สามารถปิดเหนือระดับนี้ได้อย่างยั่งยืน ระดับนี้ยังสอดคล้องกับ Upper Bollinger Band บนกรอบรายวัน ทำให้เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งในระยะสั้น หากราคาสามารถทะลุผ่านและปิดเหนือระดับ 1.4500 อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปริมาณการซื้อขาย (Volume) สูงกว่าค่าเฉลี่ย 20 วัน จะเป็นสัญญาณยืนยันของการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่แนวต้านถัดไป
- ระดับ 1.4600-1.4650 บริเวณนี้เป็นโซนแนวต้านที่เกิดจากจุดสูงสุดในเดือนมกราคม 2025 และยังเป็นระดับ Fibonacci Extension 138.2% เมื่อวัดจากการปรับฐานลงในช่วงปลายปี 2024 ระดับนี้มีความสำคัญเนื่องจากในช่วงที่ราคาแตะระดับนี้ ได้เกิดการกลับตัวลงอย่างรุนแรงประมาณ 2.5% ภายในสัปดาห์เดียว โซนแนวต้านนี้ยังมีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นระดับสูงสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 ระหว่างปี 2020-2021 ทำให้นักลงทุนสถาบันมักตั้งคำสั่งขายที่ระดับนี้
- ระดับ 1.4780-1.4800 นี่คือระดับสูงสุดใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ระดับนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นเป้าหมายของรูปแบบ Bull Flag Pattern ที่กำลังก่อตัวบนกรอบ D1 และ H4 นอกจากนี้ ระดับ 1.4800 ยังเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญและเป็นเป้าหมายของเหล่าเทรดเดอร์ยิ่งเมื่อพิจารณาว่าราคาไม่เคยปิดเหนือระดับนี้นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกปี 2008-2009 ทำให้อาจเกิดแรงขายทำกำไรอย่างมากหากราคาเข้าใกล้ระดับนี้
ระดับแนวต้านรอง (Minor Resistance Levels)
- ระดับ 1.4465 นี่คือจุดสูงสุดล่าสุดบนกรอบ H4 และเป็นขอบบนของรูปแบบ Pennant ที่กำลังก่อตัว นอกจากนี้ ระดับนี้ยังสอดคล้องกับ Up Fractal ล่าสุดและ Upper Bollinger Band บนกรอบ H1 ทำให้เป็นแนวต้านระยะสั้นที่สำคัญ การทะลุผ่านระดับนี้ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสัญญาณการ Breakout จากรูปแบบ Pennant และอาจนำไปสู่การทดสอบแนวต้านหลักที่ 1.4500 ในเวลาอันรวดเร็ว
- ระดับ 1.4550 แนวต้านนี้เกิดจากระดับ Fibonacci Retracement 23.6% เมื่อวัดจากจุดต่ำสุดปี 2024 ถึงจุดสูงสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ระดับนี้เคยเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในช่วงต้นเดือนมกราคม 2025 ก่อนจะถูกทะลุลง และตอนนี้ทำหน้าที่เป็นแนวต้านตามทฤษฎี “แนวรับที่ถูกทะลุจะกลายเป็นแนวต้าน”
- ระดับ 1.4720 เป็นระดับ Fibonacci Extension 161.8% และเคยเป็นจุดกลับตัวสำคัญในช่วงกลางเดือนมกราคม 2025 ระดับนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นจุดที่เทรดเดอร์เทคนิคมักใช้เป็นเป้าหมายการทำกำไร
จุดทะลุผ่านที่ต้องจับตา (Key Breakout Levels)
- การทะลุผ่าน 1.4465-1.4500 นี่คือโซนสำคัญที่ต้องติดตามในระยะสั้น การทะลุผ่านโซนนี้พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นและการปิดตลาดรายวันเหนือระดับ 1.4500 อย่างน้อย 30-40 pips จะเป็นสัญญาณยืนยันของทิศทางขาขึ้นต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายแรกที่ 1.4600-1.4650 นักลงทุนควรสังเกตรูปแบบแท่งเทียนที่ระดับนี้ หากเกิดรูปแบบกลับตัวเช่น Shooting Star หรือ Bearish Engulfing อาจเป็นสัญญาณของการปรับฐานลงชั่วคราว
- การทะลุผ่าน 1.4800 หากราคาสามารถทะลุและปิดเหนือระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีนี้ได้ จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งมากของแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว และอาจนำไปสู่การทดสอบระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 1.5000 ในช่วงถัดไป อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระวังการเกิด “False Breakout” ที่ระดับนี้ โดยเฉพาะหากการทะลุผ่านเกิดขึ้นด้วยปริมาณการซื้อขายที่ต่ำหรือมีการเกิด Bearish Divergence บนตัวชี้วัด RSI หรือ MACD
กลยุทธ์การเทรดที่แนวต้าน
- การทำกำไรบางส่วน (Partial Profit-Taking) นักลงทุนที่ถือสถานะซื้อควรพิจารณาทำกำไรบางส่วนที่แนวต้านหลัก 1.4500 และ 1.4650 เพื่อลดความเสี่ยงและรักษาผลกำไรบางส่วนไว้ โดยอาจใช้กลยุทธ์การทำกำไร 1/3 ของสถานะที่แต่ละระดับแนวต้าน
- การปรับระดับ Stop Loss เมื่อราคาทะลุผ่านแนวต้านสำคัญ ควรพิจารณาปรับระดับ Stop Loss ให้สูงขึ้นเพื่อปกป้องผลกำไรที่มีอยู่ เช่น หากราคาทะลุ 1.4500 ควรย้าย Stop Loss มาที่ 1.4440-1.4450
- การใช้ Trailing Stop สำหรับเทรดเดอร์ที่คาดหวังการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง อาจพิจารณาใช้ Trailing Stop ที่ระยะห่าง 80-100 pips จากราคาปัจจุบัน หรือใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วันเป็นจุดอ้างอิงสำหรับ Trailing Stop เพื่อให้มีโอกาสได้ประโยชน์จากแนวโน้มขาขึ้นเต็มที่แต่ยังมีการจำกัดความเสี่ยง
ปัจจัยที่อาจเร่งให้เกิดการทะลุแนวต้าน
- ดัชนี PCE สหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาด (1 มีนาคม) อาจเพิ่มความเป็นไปได้ที่เฟดจะชะลอการลดดอกเบี้ย
- GDP แคนาดาที่ต่ำกว่าคาด (1 มีนาคม) อาจเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจาก BoC
- ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงต่ำกว่า $80 ต่อบาร์เรล จะกดดัน CAD และช่วยหนุน USD/CAD ขึ้นทะลุแนวต้าน
ระดับแนวรับสำคัญ
การระบุระดับแนวรับที่แม่นยำช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดจุดเข้าซื้อที่มีความเสี่ยงต่ำ และวางระดับ Stop Loss ได้อย่างเหมาะสม ในภาวะตลาดขาขึ้นของ USD/CAD การเข้าซื้อที่แนวรับแข็งแกร่งถือเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากให้อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่น่าดึงดูด
ระดับแนวรับหลัก (Major Support Levels)
- ระดับ 1.4380-1.4400 แนวรับนี้เป็นโซนสำคัญที่ราคาได้ทดสอบและเด้งกลับขึ้นหลายครั้งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ระดับนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากตรงกับขอบล่างของรูปแบบ Pennant บนกรอบเวลา H4 และยังสอดคล้องกับ Down Fractal ล่าสุด นอกจากนี้ ระดับ 1.4380 ยังเป็นจุดที่เกิดรูปแบบ Double Bottom บนกรอบ M15 แสดงถึงการสะสมแรงซื้อที่บริเวณนี้ หากราคาปรับตัวลงทดสอบโซนนี้อีกครั้ง และมีสัญญาณกลับตัวขึ้น เช่น แท่งเทียนรูปแบบ Hammer หรือ Bullish Engulfing จะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อที่น่าสนใจ
- ระดับ 1.4255-1.4300 โซนแนวรับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นบริเวณที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (MA 50) ให้การสนับสนุน และยังใกล้เคียงกับระดับ Fibonacci Retracement 38.2% เมื่อวัดจากจุดต่ำสุดปี 2024 ถึงจุดสูงสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ในช่วงวัฏจักรการปรับตัวขึ้นปัจจุบัน ราคามักเด้งกลับขึ้นเมื่อทดสอบ MA 50 โดยไม่หลุดต่ำกว่านี้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โซนนี้เป็นแนวรับหลักที่มีความน่าเชื่อถือสูง หากราคาปรับฐานลงมาถึงระดับนี้ จะเป็นจุดเข้าซื้อที่มีความเสี่ยงต่ำและให้โอกาสผลตอบแทนสูง
- ระดับ 1.4100-1.4150 นี่คือโซนแนวรับระยะกลางที่มีความสำคัญเนื่องจากเป็นบริเวณที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน (MA 100) ให้การสนับสนุน และยังสอดคล้องกับระดับ Fibonacci Retracement 50% โซนนี้เคยเป็นแนวต้านสำคัญในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ก่อนที่ราคาจะทะลุขึ้นในช่วงปลายปี และตามทฤษฎี “แนวต้านที่ถูกทะลุจะกลายเป็นแนวรับ” ทำให้โซนนี้มีความสำคัญเชิงจิตวิทยา หากราคาหลุดต่ำกว่า MA 50 และปรับฐานลึกลงมาถึงโซนนี้ จะเป็นจุดตัดสินใจสำคัญสำหรับแนวโน้มระยะกลาง การเด้งกลับที่ระดับนี้จะยืนยันแนวโน้มขาขึ้นหลัก ในขณะที่การหลุดต่ำกว่าอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มระยะกลาง
ระดับแนวรับรอง (Minor Support Levels)
- ระดับ 1.4420-1.4430 นี่คือแนวรับระยะสั้นที่เกิดจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 ชั่วโมง (MA 21 H1) และเส้น Neckline ของรูปแบบ Double Bottom บนกรอบ M15 ระดับนี้ยังเคยเป็นแนวต้านระยะสั้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่ราคาจะทะลุผ่าน แนวรับนี้มีความสำคัญสำหรับการเทรดระยะสั้น โดยหากราคาถอยลงมาทดสอบและยังคงอยู่เหนือระดับนี้ จะเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นที่ยังแข็งแกร่ง
- ระดับ 1.4350 แนวรับนี้เกิดจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 ชั่วโมง (MA 50 H1) และใกล้เคียงกับระดับ Fibonacci Retracement 23.6% เมื่อวัดจากจุดต่ำสุดล่าสุดถึงจุดสูงสุดล่าสุดบนกรอบ H4 ระดับนี้เป็นแนวรับเชิงเทคนิคที่ถูกทดสอบและยืนยันหลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การเด้งกลับที่ระดับนี้มักเกิดขึ้นพร้อมกับการฟื้นตัวของ RSI จากโซน 40-45 บนกรอบ H1
- ระดับ 1.4200 นี่คือระดับจิตวิทยาสำคัญและเป็นบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขาย (Volume Profile) สูงในช่วงเดือนมกราคม 2025 ระดับนี้ยังตรงกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 21 วัน (MA 21) ซึ่งเป็นเส้นแนวโน้มระยะสั้นที่สำคัญ แนวรับนี้เป็นระดับสำคัญทั้งทางเทคนิคและเชิงจิตวิทยา หากราคาปรับฐานลงมาทดสอบระดับนี้ มักจะเกิดการเข้าซื้ออย่างมีนัยสำคัญจากเทรดเดอร์ที่พลาดโอกาสในรอบที่ผ่านมา
จุดที่อาจมีแรงซื้อกลับ (Potential Reversal Zones)
- 1.4380-1.4400 + RSI Oversold (H1) โซนนี้มีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ RSI บนกรอบ H1 เข้าสู่เขต Oversold (ต่ำกว่า 30) ปัจจัยเสริมคือการเกิด Bullish Divergence บน RSI หรือ MACD นักลงทุนควรจับตาดูการเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขึ้นในโซนนี้ เช่น Hammer, Bullish Engulfing หรือ Morning Star ซึ่งจะเป็นสัญญาณยืนยันของการกลับตัวขึ้น
- 1.4255-1.4300 + MA 50 วัน บริเวณนี้มักเกิดการเด้งกลับอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากเป็นจุดตัดกันของหลายปัจจัยเทคนิค ทั้ง MA 50 วัน, Fibonacci 38.2% และบริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายสูงในอดีต การปรับฐานลงมาถึงระดับนี้มักจะดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่มองหาจุดเข้าซื้อในแนวโน้มขาขึ้นหลัก โดยเฉพาะหากมีข่าวบวกเกี่ยวกับความได้เปรียบด้านอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯหรือความอ่อนแอของเศรษฐกิจแคนาดา
- 1.4100-1.4150 + Weekly Support โซนนี้ไม่เพียงมีความสำคัญบนกรอบรายวัน แต่ยังเป็นแนวรับสำคัญบนกรอบรายสัปดาห์ (Weekly) ด้วย ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวหากราคาปรับฐานลงมาถึงระดับนี้ นักลงทุนระยะยาวและกองทุนสถาบันมักให้ความสำคัญกับระดับนี้และอาจเข้าสะสมสถานะซื้อหากราคาปรับตัวลงถึงโซนนี้ โดยเฉพาะหากปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของ USD/CAD
กลยุทธ์การเทรดที่แนวรับ
- การเข้าซื้อแบบทยอย (Scaling In) แทนที่จะใช้เงินทั้งหมดเข้าซื้อที่ระดับเดียว นักลงทุนอาจพิจารณาทยอยเข้าซื้อที่แต่ละระดับแนวรับสำคัญ โดยเฉพาะที่ 1.4380, 1.4300 และ 1.4150 เพื่อกระจายความเสี่ยงและได้ราคาเฉลี่ยที่ดี กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับตลาดที่มีแนวโน้มหลักเป็นขาขึ้นแต่ยังมีการแกว่งตัวในระยะสั้น ควรวางแผนการจัดสรรเงินทุนล่วงหน้า เช่น 30% ที่แนวรับแรก, 30% ที่แนวรับที่สอง และ 40% ที่แนวรับที่สาม
- การใช้ Limit Orders การวาง Limit Buy Orders ไว้ล่วงหน้าที่ระดับแนวรับสำคัญช่วยให้ไม่พลาดโอกาสในการเข้าซื้อ โดยเฉพาะเมื่อการปรับฐานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีการฟื้นตัวกลับในเวลาอันสั้น ควรวาง Limit Orders เล็กน้อยเหนือระดับแนวรับหลัก เช่น ที่ 1.4385, 1.4305 และ 1.4155 เพื่อให้มั่นใจว่าคำสั่งจะถูกเติมเต็มก่อนที่ราคาจะเด้งกลับขึ้น
- การวาง Stop Loss ที่เหมาะสม การกำหนด Stop Loss ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการจำกัดความเสี่ยง โดยควรวางต่ำกว่าระดับแนวรับถัดไปเล็กน้อย เช่น หากเข้าซื้อที่ 1.4380 ควรวาง Stop Loss ที่ประมาณ 1.4245 (ต่ำกว่าแนวรับ 1.4255) ระยะห่างระหว่างจุดเข้าซื้อและ Stop Loss ควรสัมพันธ์กับความผันผวนปกติของตลาด โดยอาจใช้ค่า Average True Range (ATR) เป็นเกณฑ์ในการกำหนดระยะห่างที่เหมาะสม เช่น 1.5-2 เท่าของค่า ATR รายวัน
ปัจจัยพื้นฐาน
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นองค์ประกอบสำคัญในการคาดการณ์ทิศทางของคู่สกุลเงิน USD/CAD ในระยะกลางถึงยาว โดยปัจจัยเหล่านี้มักส่งผลกระทบต่อเนื่องและสร้างแนวโน้มหลักในตลาด การเข้าใจถึงพลวัตระหว่างปัจจัยพื้นฐานต่างๆ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับทิศทางตลาดในระยะยาวได้
นโยบายการเงินของ Federal Reserve และ Bank of Canada
ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางทั้งสองแห่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของ USD/CAD ในปัจจุบัน โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:
Federal Reserve (เฟด) ยังคงรักษาจุดยืนเชิงนโยบายที่เข้มงวดในช่วงต้นปี 2025 โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.25-4.50% ถึงแม้ว่าจะมีการคาดการณ์ถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดที่ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ทำให้เฟดยังคงท่าทีระมัดระวัง โดยประธานเจอโรม พาวเวลล์ ได้ย้ำในการประชุมล่าสุดว่า ต้องการเห็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนตัวสู่เป้าหมายอย่างยั่งยืนก่อนจึงจะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ย
ในทางกลับกัน Bank of Canada (BoC) ได้เริ่มวัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 โดยลดลงต่อเนื่อง 6 ครั้งจนอยู่ที่ระดับ 3.00% ในเดือนมกราคม 2025 การตัดสินใจนี้เกิดจากอัตราเงินเฟ้อของแคนาดาที่ชะลอตัวเร็วกว่าสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และการบริโภคภาคครัวเรือน
ผลลัพธ์ที่สำคัญคือช่องว่างอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Differential) ที่กว้างขึ้นถึง 1.25-1.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2020 ความแตกต่างนี้ได้ดึงดูดกระแสเงินทุนเข้าสู่สหรัฐฯ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ส่งผลให้ USD แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ CAD อย่างต่อเนื่อง
ในมุมมองระยะกลาง คาดการณ์ว่าช่องว่างอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่ประมาณ 1.00-1.25% จนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุน USD ถึงแม้ว่าอาจแคบลงเล็กน้อยหากเฟดเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี
ความสัมพันธ์กับราคาน้ำมัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง USD/CAD กับราคาน้ำมันดิบเป็นตัวอย่างคลาสสิกของความสัมพันธ์ระหว่างตลาด (Intermarket Relationship) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง:
แคนาดาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก โดยการส่งออกน้ำมันและผลิตภัณฑ์พลังงานคิดเป็นประมาณ 20% ของ GDP ทำให้สกุลเงิน CAD มีความสัมพันธ์เชิงลบอย่างมีนัยสำคัญกับราคาน้ำมัน กล่าวคือ เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น CAD มักแข็งค่าขึ้น (USD/CAD ลดลง) และในทางกลับกัน
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ย้อนหลัง 90 วันพบว่า ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) ระหว่าง USD/CAD กับราคาน้ำมัน WTI Crude อยู่ที่ประมาณ -0.78 ซึ่งถือว่ามีความสัมพันธ์เชิงลบในระดับสูง โดยการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน 1% มักส่งผลให้ USD/CAD เคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามประมาณ 0.3-0.4%
ในปัจจุบัน ราคาน้ำมัน WTI Crude อยู่ที่ประมาณ 86.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างสูง แต่ยังไม่สูงพอที่จะให้แรงหนุนสำคัญต่อ CAD โดยการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่า ราคาน้ำมันต้องอยู่เหนือระดับ 95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอย่างยั่งยืนจึงจะสร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญต่อ USD/CAD
อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ยังคงเป็นปัจจัยที่อาจผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น นักลงทุนควรติดตามข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ และการประชุม OPEC+ ในวันที่ 3 มีนาคม 2025 อย่างใกล้ชิด
ผลกระทบจากนโยบายการค้า
นโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ-แคนาดามีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ USD/CAD โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญ:
นโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งกำหนดภาษีนำเข้า 25% สำหรับเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา ได้สร้างแรงกดดันอย่างมากต่อภาคการส่งออกของแคนาดา การคาดการณ์ของธนาคารแห่งแคนาดาระบุว่า มาตรการนี้อาจทำให้ GDP ของแคนาดาลดลง 0.3-0.5% ในปี 2025 หากยังคงมีผลบังคับใช้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนข้อตกลง USMCA (United States-Mexico-Canada Agreement) ในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรและยานยนต์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของแคนาดา ความไม่แน่นอนนี้ได้สร้างแรงกดดันต่อ CAD และเป็นปัจจัยสนับสนุน USD/CAD ในระยะกลาง
การสำรวจความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศพบว่า มีโอกาสประมาณ 60% ที่จะมีการเจรจาเพื่อบรรเทาหรือยกเลิกภาษีนำเข้าบางส่วนในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันต่อ CAD ได้บางส่วน
ความเชื่อมโยงระหว่างตลาด (Intermarket Relationships)
นอกเหนือจากราคาน้ำมัน ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างตลาดอื่นๆ ที่ส่งผลต่อ USD/CAD:
1. ความสัมพันธ์กับดัชนีดอลลาร์ (DXY): USD/CAD มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับดัชนีดอลลาร์ โดยมีค่าสหสัมพันธ์ประมาณ +0.85 ในช่วง 90 วันที่ผ่านมา การแข็งค่าของดอลลาร์โดยรวมในช่วงต้นปี 2025 จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและท่าทีเข้มงวดของเฟด ได้ส่งผลให้ USD/CAD ปรับตัวขึ้นตาม
2. ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ: USD/CAD มักมีความสัมพันธ์เชิงลบในระดับปานกลางกับดัชนี S&P 500 (ค่าสหสัมพันธ์ประมาณ -0.45) เนื่องจาก CAD เป็นสกุลเงินที่มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยง (Risk-Sensitive Currency) การเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯในช่วงต้นปี 2025 ช่วยสนับสนุน CAD บางส่วน แต่ไม่เพียงพอที่จะหักล้างผลกระทบจากความได้เปรียบด้านอัตราดอกเบี้ยของ USD
3. ความสัมพันธ์กับผลต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตร: ผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐฯ และแคนาดา มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญกับ USD/CAD ปัจจุบันผลต่างนี้อยู่ที่ประมาณ +40 basis points ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ +25 basis points สะท้อนความคาดหวังของตลาดต่อความได้เปรียบด้านอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯในระยะยาว
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดและผลกระทบ
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของทั้งสองประเทศยังคงสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของ USD/CAD:
สหรัฐฯ: GDP ไตรมาส 4/2024 ขยายตัว 3.1% ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่ 2.8% สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูง ตลาดแรงงานยังคงตึงตัวโดยมีอัตราการว่างงานที่ 3.8% และการเติบโตของค่าจ้างที่ 4.2% YoY นอกจากนี้ CPI ล่าสุดที่ 0.4% MoM ยังสูงกว่าคาดและเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดคงนโยบายเข้มงวดต่อไป
แคนาดา: เศรษฐกิจเริ่มแสดงสัญญาณของการชะลอตัว โดย GDP ไตรมาส 3/2024 ขยายตัวเพียง 1.5% และคาดว่าไตรมาส 4/2024 จะอยู่ที่ประมาณ 1.8% ต่ำกว่าศักยภาพการเติบโตระยะยาวที่ 2.0-2.5% อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 5.0% จาก 4.8% ในไตรมาสก่อน และตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยราคาบ้านเฉลี่ยลดลง 4.2% YoY ในเดือนมกราคม 2025
ความเสี่ยงและปัจจัยที่ต้องติดตาม
แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่จะสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของ USD/CAD แต่ยังมีความเสี่ยงที่อาจเปลี่ยนแปลงภาพรวมดังกล่าว:
- การเปลี่ยนแปลงท่าทีของเฟดอย่างฉับพลัน: หากข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2025 ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนท่าทีของเฟดให้ผ่อนคลายมากขึ้น และเร่งแผนการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะลดความได้เปรียบด้านอัตราดอกเบี้ยของ USD
- การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของราคาน้ำมัน: ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในตะวันออกกลางหรือการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมจาก OPEC+ อาจผลักดันให้ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุน CAD อย่างมีนัยสำคัญ
- การยกเลิกหรือบรรเทามาตรการภาษีนำเข้า: การเจรจาทางการค้าที่ประสบความสำเร็จอาจนำไปสู่การบรรเทาหรือยกเลิกภาษีนำเข้า 25% สำหรับเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อการส่งออกและเศรษฐกิจแคนาดาโดยรวม
บทสรุป
การวิเคราะห์ USD/CAD อย่างครอบคลุมทั้งด้านเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานแสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนของทิศทางตลาดในระยะต่างๆ พร้อมโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรคำนึงถึง บทสรุปนี้นำเสนอภาพรวมของการวิเคราะห์ทั้งหมด กลยุทธ์การเทรดที่แนะนำ และปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม
คาดการณ์ทิศทางราคา
ในระยะสั้น (1-2 สัปดาห์) USD/CAD มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 1.4350-1.4500 โดยมีโอกาสทดสอบและทะลุแนวต้านสำคัญที่ 1.4500 หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะดัชนี PCE ในวันที่ 1 มีนาคม 2025 การเคลื่อนไหวในระยะสั้นอาจมีความผันผวนจากการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์หน้า แต่แนวโน้มหลักยังคงเป็นขาขึ้น
ในระยะกลาง (1-3 เดือน) มีโอกาสสูงที่ USD/CAD จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 1.4650-1.4800 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความได้เปรียบด้านอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯและผลกระทบจากนโยบายภาษีที่กดดัน CAD รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจแคนาดา อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวอาจไม่เป็นเส้นตรงและอาจมีการปรับฐานระหว่างทาง โดยเฉพาะที่ระดับแนวรับสำคัญ 1.4380 และ 1.4255
ในระยะยาว (3-6 เดือน) ทิศทางของ USD/CAD จะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของเฟดและ BoC รวมถึงแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ หากเฟดเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ในขณะที่ BoC หยุดพักการลดอัตราดอกเบี้ย ช่องว่างอัตราดอกเบี้ยอาจแคบลงและทำให้แนวโน้มขาขึ้นของ USD/CAD ชะลอตัวหรืออาจเกิดการกลับตัวลงสู่ระดับ 1.4000-1.4200 ในช่วงปลายปี
กลยุทธ์การเทรดที่แนะนำ
จากการวิเคราะห์เชิงลึก เราแนะนำกลยุทธ์การเทรดสองแนวทางที่เหมาะสมกับสภาพตลาดปัจจุบัน:
1. กลยุทธ์ระยะกลาง (Swing Trading Strategy)
กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถถือสถานะได้นานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน โดยมุ่งเน้นการซื้อ USD/CAD ในช่วงถอยย่อตัวที่สำคัญและทำกำไรตามแนวโน้มขาขึ้นหลัก:
- จุดเข้าซื้อ: แนะนำให้ทยอยเข้าซื้อที่ระดับแนวรับสำคัญ 3 ระดับ ได้แก่:
- ซื้อ 30% ของเงินลงทุนที่ 1.4380-1.4400
- ซื้อ 30% ที่ 1.4255-1.4300
- ซื้อ 40% ที่ 1.4100-1.4150 (หากราคาลงลึกถึงระดับนี้)
- การจัดการความเสี่ยง:
- Stop Loss หลัก: 1.4050 (ต่ำกว่า MA 100 วันและ Fibonacci 61.8%)
- Stop Loss สำหรับแต่ละส่วน: 60-80 pips ต่ำกว่าจุดเข้าซื้อแต่ละจุด
- ปรับ Stop Loss ขึ้นตาม Trailing Stop เมื่อราคาเคลื่อนตัวตามทิศทางที่คาดไว้
- เป้าหมายทำกำไร:
- Take Profit 1: 1.4600-1.4650 (ทำกำไร 50% ของสถานะทั้งหมด)
- Take Profit 2: 1.4780-1.4800 (ทำกำไร 30% ของสถานะทั้งหมด)
- ส่วนที่เหลือ 20% ถือต่อพร้อมใช้ Trailing Stop ที่ MA 21 วัน เพื่อรับประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นที่อาจเกินคาด
2. กลยุทธ์การเทรดแนวราบ (Range Trading Strategy)
กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชอบการเทรดระยะสั้นและต้องการใช้ประโยชน์จากการแกว่งตัวของราคาในกรอบ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดรอการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ:
- รูปแบบการเทรด:
- ซื้อที่ 1.4350-1.4380 เมื่อ RSI H1 ต่ำกว่า 30 และมีรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวขึ้น
- ขายที่ 1.4480-1.4500 เมื่อ RSI H1 สูงกว่า 70 และมีรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวลง
- การจัดการความเสี่ยง:
- Stop Loss สำหรับสถานะซื้อ: 30-40 pips ต่ำกว่าจุดเข้าซื้อ
- Stop Loss สำหรับสถานะขาย: 30-40 pips สูงกว่าจุดเข้าขาย
- ขนาดการเทรดควรจำกัดไม่เกิน 2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
- เป้าหมายทำกำไร:
- Take Profit สำหรับสถานะซื้อ: 1.4460-1.4480
- Take Profit สำหรับสถานะขาย: 1.4380-1.4400
- อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio): อย่างน้อย 1:2
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
แม้ว่าการวิเคราะห์จะชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นของ USD/CAD มีความแข็งแกร่ง แต่นักลงทุนควรติดตามปัจจัยเสี่ยงที่อาจเปลี่ยนแปลงทิศทางตลาดอย่างใกล้ชิด:
1. ปัจจัยที่อาจทำให้แนวโน้มขาขึ้นหลักกลับตัว:
-
- ดัชนี PCE สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาดมากในวันที่ 1 มีนาคม 2025 อาจนำไปสู่การคาดการณ์ว่าเฟดจะเร่งการลดอัตราดอกเบี้ย
- ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นเกิน 95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะสนับสนุน CAD อย่างมีนัยสำคัญ
- การยกเลิกหรือบรรเทามาตรการภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาจะช่วยลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจแคนาดา
2. ปัจจัยที่อาจทำให้แนวโน้มขาขึ้นเร่งตัว:
-
- ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาดต่อเนื่องอาจทำให้เฟดชะลอแผนการลดอัตราดอกเบี้ยออกไปจนถึงปี 2026
- GDP แคนาดาไตรมาส 4/2024 ที่จะประกาศในวันที่ 1 มีนาคม หากต่ำกว่าคาดมากอาจเพิ่มแรงกดดันต่อ CAD
- การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ ต่อสินค้าแคนาดา
ข้อควรคำนึงสำหรับเทรดเดอร์
- การจัดการความเสี่ยง: ไม่ว่าจะเลือกใช้กลยุทธ์การเทรดแบบใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย ไม่ควรเสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนในการเทรดหนึ่งครั้ง และควรใช้ Stop Loss เสมอ
- การวางแผนก่อนเทรด: ควรกำหนดจุดเข้า จุดออก และขนาดการเทรดให้ชัดเจนก่อนเปิดสถานะ และยึดมั่นในแผนที่วางไว้ ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์
- การปรับตัวตามสถานการณ์: แม้ว่าแนวโน้มหลักจะเป็นขาขึ้น แต่ควรพร้อมปรับกลยุทธ์หากมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานหรือเทคนิคที่สำคัญ การยอมรับความผิดพลาดและปรับตัวอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญในการเทรดให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว
- การติดตามข่าวสาร: คู่สกุลเงิน USD/CAD มีความอ่อนไหวต่อข่าวเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน ควรติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและการประกาศของธนาคารกลางทั้งสองแห่งอย่างใกล้ชิด
- การทบทวนการเทรด: การบันทึกและทบทวนการเทรดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เห็นรูปแบบความสำเร็จและข้อผิดพลาด นำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยสรุป USD/CAD มีแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางจากปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะความได้เปรียบด้านอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯและผลกระทบจากนโยบายภาษีที่กดดัน CAD อย่างไรก็ตาม ตลาดอาจมีความผันผวนในระยะสั้นจากการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ การใช้กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมร่วมกับการจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ