หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์วันที่ 19-24 พฤษภาคม 2025 เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ตลาดการเงินโลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจากหลากหลายปัจจัย การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นประเด็นหลักที่ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่างประเภท ขณะที่ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ให้กับนักเทรด CFD
การประกาศของ Federal Reserve ที่รักษาอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25%-4.50% ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังคงสูงที่ 3.1% ส่งสัญญาณถึงความท้าทายในการบริหารนโยบายการเงิน ประกอบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 1.4% ทำให้นักลงทุนเริ่มประเมินทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตใหม่ ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากการเก็งกำไรในตลาดสกุลเงิน
ตลาดยุโรปแสดงความแข็งแกร่งที่น่าประทับใจ โดย EUR/USD สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ 1.6% ในสัปดาห์นี้ หลังจากข้อมูลการผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีแสดงการฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 0.8% การวิเคราะห์ทางเทคนิคบนไทม์เฟรมรายสัปดาห์เผยให้เห็นรูปแบบ bullish engulfing candle ที่อาจครอบคลุมการเคลื่อนไหวเชิงลบของสามสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งบ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งและโอกาสในการทดสอบระดับต้านทานที่สำคัญ
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ ทองคำปิดที่ระดับ 3,303 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงสิ้นสัปดาห์ ได้รับการสนับสนุนจากสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและการซื้อต่อเนื่องของธนาคารกลางจีนและโปแลนด์ ขณะที่น้ำมันดิบ WTI แสดงสัญญาณการฟื้นตัวจากระดับแนวรับสำคัญที่ 55.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้วยการสนับสนุนจากข้อมูลคลังสินค้าสหรัฐฯ ที่ลดลงเกินคาดการณ์
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เริ่มขึ้นที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการบรรเทาความตึงเครียดทางการค้า การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นเชิงบวกเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรจาก 145% เป็น 80% ส่งสัญญาณถึงความยืดหยุ่นในการเจรจา ซึ่งอาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชียและสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะกลาง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากหลากหลายปัจจัย S&P 500 ปรับตัวลดลง 2.6% ตลอดสัปดาห์ ขณะที่ Nasdaq 100 ลดลง 2.5% จากความกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณและผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าต่อกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัด Fear & Greed Index ที่ระดับ 69 ยังคงสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มฟื้นตัวหลังความผันผวน
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ยังคงแสดงความยืดหยุ่นและแนวโน้มเชิงบวก Bitcoin ซื้อขายที่ระดับ 105,230 ดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้น 1.7% ในสัปดาห์นี้ แม้ว่าปริมาณการซื้อขายจะลดลง 4.6% มาอยู่ที่ 31.3 พันล้านดอลลาร์ การวิเคราะห์ทางเทคนิคชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มยังคงเชิงบวกในทุกไทม์เฟรม ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ท้าทายและเต็มไปด้วยโอกาส สำหรับนักเทรด FXGT ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ และการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่เหมาะสมจะเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ บทวิเคราะห์ฉบับนี้จะนำเสนอมุมมองเชิงลึกและกลยุทธ์การเทรดที่สามารถปรับใช้ได้จริงในสภาพตลาดปัจจุบัน
ตลาด Forex ในสัปดาห์นี้แสดงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยมีการหมุนเวียนเงินทุนออกจากดอลลาร์สหรัฐฯ ไปสู่สกุลเงินอื่นๆ ซึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนในนโยบายการเงินของ Federal Reserve และการฟื้นตัวของข้อมูลเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่น การวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินหลักในสัปดาห์นี้เผยให้เห็นโอกาสการเทรดที่น่าสนใจหลายประการ
คู่สกุลเงิน EUR/USD แสดงการปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นที่ 1.6% ในสัปดาห์นี้ โดยปิดใกล้ระดับ 1.1340 ซึ่งเป็นผลจากการรวมตัวของปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคที่เอื้ออำนวย การวิเคราะห์บนไทม์เฟรมรายสัปดาห์เผยให้เห็นรูปแบบ bullish engulfing candle ที่มีนัยสำคัญ ซึ่งครอบคลุมการเคลื่อนไหวเชิงลบของสามสัปดาห์ก่อนหน้าและบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมของตลาด
ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเงินยูโรมาจากข้อมูลการผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีที่แสดงการฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 0.8% หลังจากหดตัวมาหลายเดือน แม้ว่า European Central Bank จะยังคงท่าทีระมัดระวังและไม่ได้ให้คำมั่นในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม แต่ความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่ผลักดันคู่สกุลเงินนี้ให้แข็งค่าขึ้น
จากมุมมองทางเทคนิค ระดับ swing high ที่ 1.1366 เป็นเป้าหมายระยะสั้นที่สำคัญ หากราคาสามารถปิดเหนือระดับนี้ได้ จะส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงบวกและเปิดโอกาสให้ราคาเคลื่อนที่สู่ระดับ 1.1400 และ 1.1482 ตามลำดับ ตัวชี้วัด RSI period-14 บนไทม์เฟรมรายวันได้เบรกกลับเหนือระดับ neutral 50 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งยืนยันแนวโน้มเชิงบวกในระยะสั้น
คู่สกุลเงิน USD/JPY เผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่องและปิดที่ระดับ 143.59 โดยลดลง 0.8% ในสัปดาห์นี้ การเคลื่อนไหวนี้เป็นผลจากการประชุมของ Bank of Japan เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งธนาคารกลางญี่ปุ่นตัดสินใจรักษาอัตรานโยบายที่ 0.50% แต่ปรับลดคาดการณ์การเติบโต GDP สำหรับปีงบ 2025 จาก 1.1% เป็น 0.5% และปีงบ 2026 จาก 1.0% เป็น 0.7%
ผู้ว่าการ Ueda ได้ให้เหตุผลว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการจากต่างประเทศและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น การปรับลดคาดการณ์นี้ส่งสัญญาณว่า BOJ อาจมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการปรับนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้เยนแข็งค่าขึ้นจากการคาดการณ์ว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าการทะลุแนวรับที่ 144.02 ได้ยืนยันการกลับสู่เทรนด์ขาลงของคู่สกุลเงินนี้ แนวรับถัดไปที่ต้องจับตาอยู่ที่ระดับ 139.87 และ 139.26 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci 38.2% retracement ตัวชี้วัด MACD บนไทม์เฟรมรายวันแสดงสัญญาณ bearish crossover ที่สนับสนุนแนวโน้มขาลงในระยะสั้น
คู่สกุลเงิน GBP/USD แสดงการฟื้นตัวที่น่าประทับใจโดยปรับตัวขึ้น 1.2% มาอยู่ที่ระดับ 1.3500 ในช่วงปิดสัปดาห์ การเคลื่อนไหวนี้ได้รับการสนับสนุนจากข้อมูล Retail Sales ของสหราชอาณาจักรที่ดีเกินคาดการณ์ที่ 1.2% เมื่อเทียบเดือนต่อเดือน ประกอบกับความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ จากการประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้ายุโรปของสหรัฐฯ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคบนแผนภูมิรายวันแสดงสัญญาณ bullish momentum หลังจากที่ราคาสามารถทะลุแนวต้านที่ 1.3440-1.3450 ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัด RSI บนไทม์เฟรม 4 ชั่วโมงได้เข้าสู่เขต overbought ที่ระดับ 70 ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ของการปรับฐานในระยะสั้น
แนวต้านเชิงจิตวิทยาที่สำคัญอยู่ที่ระดับ 1.3600 และระดับ Fibonacci 61.8% ที่ 1.3593 ซึ่งหากราคาสามารถทะลุผ่านได้ จะเปิดโอกาสให้เคลื่อนที่สู่ระดับที่สูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1.3440 ซึ่งเป็นแนวต้านเดิมที่กลายเป็นแนวรับ และระดับ 1.3360 ซึ่งเป็นตำแหน่งของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน
คู่สกุลเงิน AUD/USD แสดงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งโดยปรับตัวขึ้น 1.5% มาอยู่ที่ระดับ 0.6480 ในช่วงปิดสัปดาห์ การเคลื่อนไหวนี้ได้รับการสนับสนุนจากการประกาศของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหมืองแร่จากจีน ซึ่งส่งผลบวกต่อดอลลาร์ออสเตรเลียในฐานะผู้ส่งออกสินค้าเหมืองแร่รายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศยังคงสร้างแรงกดดันจากการที่ Reserve Bank of Australia ลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 3.85%
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเผยให้เห็นรูปแบบ Bullish Pennant บนไทม์เฟรมรายสัปดาห์ ซึ่งชี้ให้เห็นโอกาสของการ breakout ที่สูง แนวต้านสำคัญอยู่ที่ระดับ 0.6500 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญ และระดับ 0.6550 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเดือนพฤศจิกายน 2024 การทะลุเหนือระดับเหล่านี้จะเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับการเคลื่อนที่ในระยะกลาง
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันที่ 0.6452 ยังคงทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญ และการที่ราคาสามารถอยู่เหนือระดับนี้ได้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงบวกในระยะยาว นักเทรดควรติดตามการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสกุลเงินออสเตรเลีย
คู่สกุลเงิน USD/CAD ปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ 0.4% มาอยู่ที่ระดับ 1.3886 ในช่วงปิดสัปดาห์ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความสมดุลระหว่างปัจจัยที่สนับสนุนและกดดันสกุลเงินแคนาดา ข้อมูลคลังสินค้าน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลงเกินคาดการณ์ส่งผลดีต่อราคาน้ำมันและ CAD แต่ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อของจีนที่ลดลงส่งผลให้ CAD อ่อนค่าลงจากความกังวลเรื่องความต้องการน้ำมันโลก
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าราคามีความพยายามทดสอบแนวต้านที่ 1.3944 ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci 61.8% retracement แต่พบแรงขายกลับ แนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1.3823 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของเดือนพฤศจิกายน และระดับ 1.3800 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญ
ตัวชี้วัด RSI ที่ระดับ 44.47 สะท้อนโมเมนตัมขาลงแต่ยังไม่ได้เข้าสู่เขต oversold ซึ่งบ่งบอกว่าแรงขายยังไม่หมดสิ้น นักเทรดควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจแคนาดาที่จะออกในสัปดาห์หน้า รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ CAD
การวิเคราะห์ตลาด Forex ในสัปดาห์นี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่สร้างโอกาสการเทรดในหลายคู่สกุลเงิน นักเทรด FXGT ควรใช้ประโยชน์จากโมเมนตัมนี้ด้วยการวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมและการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์นี้ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างดอลลาร์และสินค้าโภคภัณฑ์กลับมาชัดเจนอีกครั้ง หลังจากช่วงที่ความสัมพันธ์ดังกล่าวมีความผันผวน การฟื้นตัวของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์นี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินทุนจากสินทรัพย์ในสกุลเงินดอลลาร์ไปสู่สินทรัพย์ทางเลือกที่มีศักยภาพในการป้องกันค่าเงินเฟ้อและความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมือง
ราคาทองคำปิดที่ระดับ 3,303 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงสิ้นสัปดาห์ หลังจากการปรับตัวลงในวันพฤหัสบดี แต่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงท้ายสัปดาห์ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งพื้นฐานของทองคำที่ได้รับการสนับสนุนจากหลากหลายปัจจัย ทั้งการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ การซื้อต่อเนื่องของธนาคารกลาง และความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองที่เพิ่มขึ้น
การซื้อทองคำโดยธนาคารกลางต่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ โดยธนาคารกลางจีนเพิ่มปริมาณการถือครองทองคำอีก 2 ตันในเดือนเมษายน ทำให้ปริมาณสะสมในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 31 ตัน ขณะที่ National Bank of Poland ซื้อทองคำถึง 49 ตันในปี 2025 การดำเนินการเหล่านี้สะท้อนถึงแนวโน้มการกระจายความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ และการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในยุคที่มีความไม่แน่นอนสูง
ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย รายงานเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการโจมตีของอิสราเอลต่อโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน รวมถึงความตึงเครียดในทะเลจีนใต้และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสหรัฐฯ และจีน ล้วนส่งผลให้นักลงทุนหันไปสะสมทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด
จากมุมมองทางเทคนิค การวิเคราะห์แผนภูมิรายสัปดาห์แสดงให้เห็นว่าทองคำยังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้นโดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้านที่ระดับ 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตัวชี้วัด Stochastic บนไทม์เฟรมรายวันแสดงสัญญาณ bullish divergence ที่อาจสนับสนุนการฟื้นตัวในระยะสั้น หากตลาดสามารถทำการ consolidate เหนือระดับ 3,346 ดอลลาร์ได้ การกลับสู่เทรนด์ขาขึ้นจะมีโอกาสสูง พร้อมเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 3,358 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ทองคำยังเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนโอกาสที่สูงขึ้น เนื่องจาก real yield ของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 1.8% ซึ่งทำให้ตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนจริงในเชิงบวกมีความน่าสนใจมากขึ้น นักเทรดควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของ real yield อย่างใกล้ชิด เนื่องจากระดับที่สูงกว่า 1.5% มักสัมพันธ์กับการปรับตัวลงของทองคำในระยะสั้นถึงกลาง
น้ำมันดิบ WTI แสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่น่าสนใจ หลังจากการทดสอบและยึดแนวรับสำคัญที่ระดับ 55.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การวิเคราะห์ทางเทคนิคชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของระดับแนวรับนี้ พร้อมสัญญาณ bullish divergence บนตัวชี้วัด Stochastic รายวัน ซึ่งสนับสนุนความเป็นไปได้ที่น้ำมัน WTI จะเพิ่มขึ้นในคลื่น c ไปยังระดับต้านทานถัดไปที่ 60.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ปัจจัยด้านอุปสงค์ที่สนับสนุนราคาน้ำมันมาจากข้อมูลคลังสินค้าของสหรัฐฯ ที่แสดงการลดลงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก Energy Information Administration ระบุว่าคลังน้ำมันดิบลดลง 2.03 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 1.7 ล้านบาร์เรล โดยเฉพาะคลังสินค้าที่ Cushing ซึ่งเป็นจุดส่งมอบของสัญญา WTI futures ลดลงถึง 740,000 บาร์เรล การลดลงนี้ส่งสัญญาณถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรมการกลั่น
ความอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ยังช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันผ่านกลไกราคา เนื่องจากทำให้น้ำมันในสกุลเงินดอลลาร์มีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น ความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างดอลลาร์และน้ำมันกลับมาชัดเจนอีกครั้งหลังจากการลดลงของสัดส่วนการส่งออกน้ำมันของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ประเทศนี้กลับมามีบทบาทเป็นผู้นำเข้าสุทธิในบางช่วงเวลา
อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันยังเผชิญความเสี่ยงจากด้านอุปทานที่อาจเพิ่มขึ้น แม้กลุ่ม OPEC+ จะยังไม่ประกาศเพิ่มกำลังผลิตอย่างเป็นทางการ แต่การที่รัสเซียและซาอุดีอาระเบียเริ่มส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาอาจสร้างแรงกดดันต่อราคาในระยะสั้น นักเทรดควรติดตามการประชุมของ OPEC+ ในวันที่ 25 พฤษภาคมเป็นพิเศษ เนื่องจากการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการผลิตจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางราคาน้ำมันในระยะกลาง
การวิเคราะห์ทางเทคนิคบนไทม์เฟรมรายสัปดาห์แสดงให้เห็นว่าน้ำมัน WTI มีแนวโน้มทดสอบระดับต้านทานที่ 60.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในสัปดาห์หน้า หากสามารถทะลุระดับ 58.50 ดอลลาร์ได้สำเร็จ ตัวชี้วัด MACD บนไทม์เฟรมรายสัปดาห์แสดงสัญญาณ bullish crossover ที่อาจดึงดูดแรงซื้อจากกองทุน hedge fund และนักลงทุนสถาบัน ในทางตรงกันข้าม แนวรับสำคัญยังคงอยู่ที่ระดับ 55.20 ดอลลาร์ และการทะลุลงไปต่ำกว่านี้จะส่งสัญญาณลบต่อแนวโน้มระยะสั้น
การเคลื่อนไหวของ EUR/USD ที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.14-1.15 ในสัปดาห์หน้าอาจส่งผลให้ราคาทองคำในสกุลเงินยูโรปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,050 ยูโรต่อออนซ์ ขณะที่ราคาน้ำมัน Brent ในสกุลเงินดอลลาร์อาจถูกจำกัดการขึ้นและหันไปเคลื่อนไหวตามปัจจัยอุปสงค์จริงมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเหล่านี้สร้างโอกาสการเก็งกำไรจากความแตกต่างของราคาในสกุลเงินต่างๆ สำหรับนักเทรดที่มีความเข้าใจในการทำ cross-currency arbitrage
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เจนีวายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม หากการเจรจาประสบความสำเร็จและนำไปสู่การลดภาษีศุลกากร ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะทองแดงและเหล็กจากจีนอาจเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม ในทางตรงกันข้าม หากการเจรจาล่าช้าหรือเกิดความตึงเครียดเพิ่มเติม อาจเห็นการไหลของเงินทุนเข้าสู่ทองคำและน้ำมันในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและศักยภาพในการเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดการเงินโลก นักเทรด FXGT ควรพิจารณารวมสินค้าโภคภัณฑ์เข้าไปในกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่ความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างดอลลาร์และสินค้าโภคภัณฑ์กลับมาชัดเจน ซึ่งสร้างโอกาสการเทรดที่คาดการณ์ได้มากขึ้น
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินต่างประเภทเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดเข้าใจภาพรวมของตลาดและสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวได้แม่นยำยิ่งขึ้น สัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมระหว่างตลาดต่างๆ หลังจากช่วงที่ความสัมพันธ์เหล่านั้นมีความผันผวนและไม่สามารถคาดการณ์ได้ การเข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้จะช่วยให้นักเทรด FXGT สามารถสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพและบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
ความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ได้สร้างผลกระทบแบบลูกโซ่ต่อสินทรัพย์หลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่แสดงการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างดัชนีดอลลาร์และราคาทองคำกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ที่ระดับ -0.78 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2025
การลดลงของดัชนีดอลลาร์ประมาณ 0.3% ต่อกลุ่มสกุลเงินหลักได้ผลักดันให้ราคาทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ปรับตัวขึ้น ความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่มีราคาในสกุลเงินดอลลาร์ เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง สินค้าเหล่านี้จึงมีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น ส่งผลให้เกิดแรงซื้อเพิ่มขึ้นและราคาปรับตัวสูงขึ้นตามมา การเข้าใจความสัมพันธ์นี้ช่วยให้นักเทรดสามารถใช้การเคลื่อนไหวของดอลลาร์เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าสำหรับการเคลื่อนไหวของสินค้าโภคภัณฑ์
ผลกระทบต่อคู่สกุลเงินหลักก็เป็นอีกหนึ่งมิติที่สำคัญ การอ่อนค่าของดอลลาร์ได้ผลักดัน EUR/USD ให้แข็งค่าขึ้นประมาณ 1.6% ในสัปดาห์นี้ แม้ว่าข้อมูล PMI ที่อ่อนแอจะกระตุ้นความกังวลเรื่อง stagflation ในยุโรป แต่ความอ่อนแอของดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการแข็งค่าของเงินยูโร ความสัมพันธ์นี้แสดงให้เห็นว่าในระยะสั้น ปัจจัยทางเทคนิคและการเคลื่อนไหวของเงินทุนอาจมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน
การประกาศข่าวเกี่ยวกับการขึ้นภาษีศุลกากรได้ส่งผลให้เส้นโค้งอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้สหรัฐฯ ชันขึ้นและสภาวะทางการเงินกระชับตัว การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมที่ราคาตราสารหนี้ที่ลดลงหรืออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมักส่งผลเสียต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสูง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะ 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.59% ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่มี P/E ratio สูงกว่า 30 เท่า การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนที่ปลอดความเสี่ยงในอัตราที่สูงขึ้นจากตราสารหนี้รัฐบาล ส่งผลให้เกิดการขายทำกำไรในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี
ในขณะเดียวกัน ตลาดตราสารหนี้เทศบาลของสหรัฐฯ กลับแสดงโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ หลังจากการขายทิ้งในเดือนเมษายน อัตราผลตอบแทนในตลาดนี้อยู่เหนือค่าเฉลี่ย 5 ปีมากกว่า 1 standard deviation จากมุมมองของค่าสัมพัทธ์ อัตราส่วน municipal bond ต่อ treasury bond อยู่ในระดับที่น่าสนใจโดยเพิ่มขึ้นเกิน 90% ในบางส่วนของเส้นโค้งอัตราผลตอบแทน ด้วยอัตราผลตอบแทนเริ่มต้นที่สูงและค่าสัมพัทธ์ที่น่าสนใจ ช่วงนี้อาจเป็นจุดเข้าตลาดที่เหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนระยะยาว
ดัชนี VIX ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20.28 ในช่วงปลายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 9.91% จากวันก่อนหน้า สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของ VIX มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราส่วน Put/Call Ratio ที่ระดับ 0.75 ซึ่งสูงขึ้นจาก 0.57 เมื่อหนึ่งปีก่อน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บ่งบอกถึงความต้องการป้องกันความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและความระมัดระวังของนักลงทุนสถาบัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ความผันผวนจะเพิ่มขึ้น แต่กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง โดยกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ดูดเงินเข้า 19.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ความขัดแย้งนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมการลงทุนที่ซับซ้อน โดยนักลงทุนสถาบันและรายย่อยมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสในตลาด
การไหลของเงินทุนยังแสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนจากสินทรัพย์ปลอดภัยไปสู่สินทรัพย์เสี่ยง กองทุน Physical Gold Funds ถูกถอนเงินต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ รวม 2.7 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ High Yield Bond Funds ได้รับเงินเข้า 1.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 44 สัปดาห์ การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งบอกถึงการเพิ่มขึ้นของ risk appetite และความเชื่อมั่นว่าตลาดสามารถรองรับความเสี่ยงเพิ่มเติมได้
สัญญาณ Risk-On Risk-Off ในสัปดาห์นี้แสดงถึงสถานการณ์ที่ซับซ้อนและไม่ชัดเจน ดัชนีรวม RORO อยู่ที่ระดับ Z-score +1.2 ซึ่งอยู่ในเขต Risk-On อย่างอ่อนๆ ปัจจัยที่สนับสนุนสถานะ Risk-On ได้แก่ การฟื้นตัวของราคาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ และการขยายตัวของ Manufacturing PMI ยุโรป ขณะที่ปัจจัยที่สร้างแรงกดดันได้แก่ การปรับขึ้นประมาณการเงินเฟ้ออังกฤษและความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองในตะวันออกกลาง
Credit Spreads ที่หดตัวลงยังคงสนับสนุนสถานะ Risk-On โดย US Corporate BBB Spread หดตัว 0.15% สู่ระดับ 1.85% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดยังคงมีความเชื่อมั่นในความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเอกชน TED Spread ที่อยู่ที่ระดับ 0.25% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 0.43% ยังคงสะท้อนถึงสภาพคล่องที่ดีในระบบการเงิน
การเคลื่อนไหวของสกุลเงินก็เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญ การที่เยนแข็งค่าสู่ระดับ 143.59 ต่อดอลลาร์สะท้อนถึงการไหลของเงินทุนไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่การอ่อนค่าของดอลลาร์ 0.3% ต่อสกุลเงินหลักอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงการกระจายความเสี่ยงออกจากสินทรัพย์ในสกุลเงินดอลลาร์
ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่าง S&P 500 และ Bitcoin ได้ลดลงเหลือ 0.15 ในเดือนพฤษภาคม จาก 0.45 เมื่อเดือนมกราคม การลดลงของความสัมพันธ์นี้สะท้อนถึงการแยกตัวของตลาดและการที่ Bitcoin เริ่มเคลื่อนไหวตามปัจจัยเฉพาะตัวมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างโอกาสในการใช้ Bitcoin เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างภูมิภาคก็แสดงรูปแบบที่น่าสนใจ กองทุนหุ้นยุโรปดูดเงินเข้า 87.1 พันล้านยูโรในไตรมาสแรก 2025 ขณะที่กองทุนหุ้นจีนถูกถอนเงิน 3.3 พันล้านดอลลาร์ต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับพอร์ตจากตลาดเอเชียไปสู่ตลาดยุโรป ซึ่งอาจเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับนักเทรด FXGT การเข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ การใช้ความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์และสินค้าโภคภัณฑ์ในการวางแผน hedging strategies หรือการใช้ตัวชี้วัดอารมณ์ตลาดในการกำหนดจังหวะเข้า-ออกตลาด จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตลาดหุ้นโลกในสัปดาห์นี้เผชิญกับแรงกดดันอย่างกว้างขวางจากปัจจัยหลากหลายมิติ โดยเฉพาะความกังวลเรื่องนโยบายการคลังของสหรัฐฯ และผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรต่อกลุ่มเทคโนโลยี ดัชนีหลักในสหรัฐฯ แสดงการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดเอเชียแสดงผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันตามบริบทเศรษฐกิจและการเมืองในแต่ละภูมิภาค การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของดัชนีหลักในสัปดาห์นี้เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญในการประเมินมูลค่าและการไหลของเงินทุนระหว่างภูมิภาค
ดัชนี S&P 500 ปิดการซื้อขายที่ระดับ 5,802.82 จุด โดยลดลง 0.67% ในวันศุกร์และสะสมการลดลง 2.6% ตลอดสัปดาห์ การเคลื่อนไหวในทิศทางลบนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อแผนการลดภาษีของประธานาธิบดี Trump ซึ่งอาจเพิ่มภาระการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ เป็น 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ การประเมินผลกระทบของนโยบายการคลังดังกล่าวได้ส่งผลให้เกิดการขายทำกำไรในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยระยะยาว
กลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการประกาศเก็บภาษีนำเข้า 25% บนสมาร์ทโฟนที่ผลิตนอกสหรัฐฯ นโยบายดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอนต่อห่วงโซ่อุปทานของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่พึ่งพาการผลิตในต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงส่งผลต่อต้นทุนการผลิตเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและอัตรากำไรในระยะยาว
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่า S&P 500 อยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุด 52 สัปดาห์ที่ 6,147.43 จุดถึง 5.6% โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 5,767.41 จุด และแนวต้านที่ระดับ 5,829.51 จุด การทดสอบแนวรับดังกล่าวในสัปดาห์หน้าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางระยะสั้น ตัวชี้วัด Fear & Greed Index ที่ระดับ 69 ยังคงสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มฟื้นตัวหลังจากช่วงความผันผวน แต่ยังไม่เข้าสู่ระดับที่แสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มที่
ดัชนี Nasdaq 100 ปิดการซื้อขายที่ระดับ 19,916.99 จุด โดยลดลง 1.83% ในวันศุกร์และสะสมการลดลง 2.5% ตลอดสัปดาห์ การปรับตัวลงของดัชนีนี้สะท้อนถึงแรงขายที่ครอบงำในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น Apple ที่ร่วงลง 3% หลังจากการประกาศเก็บภาษีนำเข้า iPhone ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ ขณะที่หุ้น Nvidia ลดลง 5.74% จากการขายทำกำไรของนักลงทุนสถาบัน
แม้ว่าตัวชี้วัดทางเทคนิคจะแสดงสัญญาณ overbought บนไทม์เฟรมรายวัน แต่การฟื้นตัวของกลุ่ม Semiconductor ยังคงถูกจำกัดด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่พุ่งสูงขึ้น การที่ 10-Year Treasury Yield ปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 4.59% ได้สร้างต้นทุนโอกาสที่สูงขึ้นสำหรับการลงทุนในหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสูง นักวิเคราะห์จาก Morningstar ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มเทคโนโลยีที่มี P/E ratio สูงกว่า 30 เท่าอาจเผชิญการปรับฐานอย่างต่อเนื่องหากอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง
การไหลของเงินทุนออกจากกองทุน Technology ETF ในสัปดาห์นี้มีมูลค่ารวม 2.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนสถาบันต่อกลุ่มนี้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะในสาขา Artificial Intelligence และ Cloud Computing ที่ยังคงมีอัตราการเติบโตสูง
ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปิดการซื้อขายที่ระดับ 41,603.07 จุด โดยลดลง 0.6% ในวันศุกร์และสะสมการลดลง 2.5% ตลอดสัปดาห์ การเคลื่อนไหวนี้ได้รับผลกระทบหลักจากหุ้น Boeing และ Goldman Sachs ที่ลดลง 2.21% และ 2.05% ตามลำดับ เนื่องจากการประเมินความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าและผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดการเงิน
ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการลดลงมาจากการประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้ายุโรปเป็น 50% โดยประธานาธิบดี Trump ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ส่งออกหลักที่อยู่ในดัชนี การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้านี้สร้างความไม่แน่นอนต่อรายได้จากต่างประเทศและความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าผลกระทบดังกล่าวอาจส่งผลต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองและสามของปี 2025
ในทางตรงกันข้าม กลุ่ม Utilities และ Healthcare ยังคงแสดงความแข็งแกร่งโดยปรับตัวขึ้น 1.55% และ 0.85% ตามลำดับ การแสดงผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันนี้สะท้อนถึงการหมุนเวียนของเงินทุนไปสู่กลุ่มที่มีความมั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ กลุ่ม Utilities ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นซึ่งช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่กลุ่ม Healthcare ได้รับการสนับสนุนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นและนโยบายสาธารณสุขที่เอื้ออำนวย
ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลดลง 1.57% สู่ระดับ 37,160.47 จุด ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลว่าการแข็งค่าของเยนจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและกำไรของบริษัทส่งออกญี่ปุ่น แม้ว่าข้อมูล Core CPI ของญี่ปุ่นในเดือนเมษายนจะอยู่ที่ระดับ 3.7% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์และแสดงถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แต่ตลาดยังคงมีความกังวลต่อทิศทางนโยบายการเงินของ Bank of Japan และผลกระทบต่อการแข่งขันของสินค้าส่งออก
การปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของ BOJ ได้ส่งสัญญาณถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อความต้องการสินค้าญี่ปุ่นจากตลาดโลก นักลงทุนต่างชาติเริ่มลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยมีการขายสุทธิ 1.2 พันล้านดอลลาร์ในสัปดาห์นี้
ดัชนี Hang Seng Index แสดงผลการดำเนินงานที่ตรงกันข้ามโดยปรับตัวขึ้น 1.10% สู่ระดับ 23,601.26 จุด และสะสมการเพิ่มขึ้น 12.85% ตลอด 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา การฟื้นตัวนี้ได้รับแรงหนุนจากกระแสการซื้อในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยี โดยหุ้น Li Auto และ Tencent ปรับตัวขึ้นกว่า 5% การเคลื่อนไหวเชิงบวกนี้สะท้อนถึงความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและความก้าวหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
ดัชนี Shanghai Composite ลดลง 0.57% มาอยู่ที่ระดับ 3,348.37 จุด หลังจากข้อมูลผลกำไรอุตสาหกรรมจีนในเดือนเมษายนที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นปัจจัยกดดันหลัก โดยเฉพาะต่อกลุ่มบริษัทผู้ส่งออกที่เผชิญความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นของการเจรจาการค้าที่เจนีวาสร้างความหวังว่าจะมีการบรรเทาความตึงเครียดในระยะกลาง
การวิเคราะห์ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยนักลงทุนเริ่มประเมินมูลค่าใหม่ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงนโยบายและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ สำหรับนักเทรด FXGT การติดตามการเคลื่อนไหวของดัชนีหลักและการเข้าใจปัจจัยขับเคลื่อนในแต่ละภูมิภาคจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมและการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
ตลาดสกุลเงินดิจิทัลในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและการปรับตัวที่แตกต่างกันระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเภท ขณะที่ Bitcoin ยังคงรักษาแนวโน้มเชิงบวกและแสดงความแข็งแกร่งต่อเนื่อง กลุ่มสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ เผชิญกับแรงกดดันจากการขายทำกำไรและการปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน การวิเคราะห์เชิงลึกของตลาดนี้เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการลงทุนและปัจจัยขับเคลื่อนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตและการพัฒนาของระบบนิเวศสกุลเงินดิจิทัลในระดับสถาบัน
Bitcoin ปิดการซื้อขายในสัปดาห์นี้ที่ระดับ 105,230 ดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้น 1.7% จากสัปดาห์ก่อนหน้า การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งพื้นฐานของสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลากหลายประการ การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มยังคงเชิงบวกในทุกไทม์เฟรม ทั้งระยะสั้นที่วัดด้วย SMA 20 ระยะกลางด้วย SMA 50 และระยะยาวด้วย SMA 200 ซึ่งล้วนชี้ขึ้นและสนับสนุนการเคลื่อนไหวในทิศทางบวก
การสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการยอมรับในระดับสถาบันยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ การเบรกเอาท์ทางเทคนิคที่สำคัญในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมได้สร้างโมเมนตัมเชิงบวกที่ยังคงมีผลต่อเนื่องในปัจจุบัน แม้ว่าปริมาณการซื้อขายรายสัปดาห์จะลดลง 4.6% มาอยู่ที่ 31.3 พันล้านดอลลาร์ แต่การลดลงนี้ถือเป็นเรื่องปกติหลังจากช่วงความผันผวนสูงและไม่ได้ส่งสัญญาณเชิงลบต่อแนวโน้มโดยรวม
การไหลของเงินทุนเข้าสู่ Bitcoin ETF ยังคงแสดงให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีการชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี แต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเป็นบวก การที่ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และ S&P 500 ลดลงเหลือ 0.15 ในเดือนพฤษภาคม จาก 0.45 เมื่อเดือนมกราคมนั้น สะท้อนถึงการที่ Bitcoin เริ่มเคลื่อนไหวตามปัจจัยเฉพาะตัวมากขึ้นและมีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
จากมุมมองการคาดการณ์ Bitcoin มีเป้าหมายที่ระดับ 109,354 ดอลลาร์ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณ 4% หากเกิดการ breakout ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการ retracement ลงไปที่ระดับ 93,426 ดอลลาร์หรือแม้แต่ระดับ 84,000 ดอลลาร์ซึ่งเป็นการลดลงประมาณ 20% ยังคงมีอยู่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบททางเศรษฐกิจมหภาคและการพัฒนาของกระบวนการกำกับดูแลในประเทศต่างๆ
Ethereum เผชิญกับแรงกดดันในสัปดาห์นี้โดยปิดที่ระดับ 2,519.81 ดอลลาร์ ลดลง 5.17% จากสัปดาห์ก่อนหน้า การปรับตัวลงนี้เป็นผลจากการขายทำกำไรของนักลงทุนสถาบันหลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนหน้า การไหลออกจากกองทุน Ethereum ETF สะสม 249 ล้านดอลลาร์ระหว่างวันที่ 13-22 พฤษภาคม สะท้อนถึงการปรับพอร์ตของนักลงทุนระยะสั้นและการรอคอยความชัดเจนของทิศทางตลาดในระยะกลาง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานของ Ethereum ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและการเติบโตที่ต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของธุรกรรมบนเครือข่ายสู่ 1.392 ล้านรายการต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.46% เมื่อเทียบวันต่อวัน แสดงให้เห็นถึงการใช้งานจริงที่เพิ่มขึ้นและความต้องการต่อบริการทางการเงินแบบกระจายอำนาจ การเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมแก๊สสู่ระดับ 1.33 ดอลลาร์ต่อธุรกรรมชี้ให้เห็นถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งต่อการใช้งานเครือข่าย ซึ่งอาจสนับสนุนราคาในระยะกลาง
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่า Ethereum มีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 2,703 ดอลลาร์ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci 61.8% retracement และ 2,745 ดอลลาร์ซึ่งเป็นจุดสูงสุดล่าสุด ในทางตรงกันข้าม แนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 2,400 ดอลลาร์ซึ่งเป็นตำแหน่งของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และ 2,250 ดอลลาร์ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของเดือนเมษายน การยึดแนวรับเหล่านี้ได้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาแนวโน้มเชิงบวกในระยะกลาง
Solana แสดงการปรับตัวที่น่าสนใจโดยปิดที่ระดับ 174.44 ดอลลาร์ ลดลง 2.86% ในสัปดาห์นี้ แม้จะเผชิญแรงขายจากนักเก็งกำไรใกล้แนวต้าน 180 ดอลลาร์ แต่การเพิ่มขึ้นของ Total Value Locked ในเครือข่ายสู่ 4.2 พันล้านดอลลาร์ซึ่งเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบเดือนต่อเดือน แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของระบบนิเวศ DeFi บน Solana การวิเคราะห์ทางเทคนิคเผยให้เห็นรูปแบบ Bull Flag บนแผนภูมิรายสัปดาห์ ซึ่งชี้เป้าหมายไปที่ระดับ 200 ดอลลาร์หากสามารถทะลุแนวต้าน 180 ดอลลาร์ได้สำเร็จ
XRP ปรับตัวลดลง 5.39% มาอยู่ที่ระดับ 2.33 ดอลลาร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการพิพากษาคดี Ripple vs. SEC รอบใหม่ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของปริมาณการซื้อขายสู่ 4.1 พันล้านดอลลาร์ต่อวันซึ่งเพิ่มขึ้น 14.21% เมื่อเทียบวันต่อวัน แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิคชี้ให้เห็นว่า XRP ต้องการการ breakout เหนือระดับ 2.62 ดอลลาร์เพื่อยืนยันรูปแบบ Inverse Head and Shoulders และเปิดเส้นทางสู่เป้าหมายที่ 3.40 ดอลลาร์
Binance Coin แสดงความแข็งแกร่งสัมพัทธ์โดยปรับตัวขึ้น 1.92% มาอยู่ที่ระดับ 686.27 ดอลลาร์ การประกาศการเผาโทเค็น BNB รอบล่าสุดจำนวน 1.8 ล้านโทเค็นได้ช่วยสนับสนุนราคา แม้จะเผชิญแรงกดดันจากกฎระเบียบใหม่ที่มีต่อ Binance ในสหภาพยุโรป การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่า BNB มีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 693 ดอลลาร์และ 732 ดอลลาร์ ขณะที่แนวรับอยู่ที่ระดับ 647 ดอลลาร์และ 612 ดอลลาร์
การวิเคราะห์การไหลของเงินทุนในตลาดสกุลเงินดิจิทัลเผยให้เห็นถึงรูปแบบที่น่าสนใจ แม้ว่ากองทุน Physical Gold Funds จะถูกถอนเงินต่อเนื่อง แต่กองทุนสกุลเงินดิจิทัลกลับได้รับเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทุน Bitcoin ETF ที่ดูดเงินเข้า 89 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 23 พฤษภาคม การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงความชอบของนักลงทุนจากสินทรัพย์ดั้งเดิมไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีศักยภาพการเติบโตสูงกว่า
ปริมาณการซื้อขายรวมของกลุ่ม altcoins อยู่ที่ระดับ 142 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ การเพิ่มขึ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ นอกเหนือจาก Bitcoin และ Ethereum ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และ altcoins ที่ระดับ 0.78 ยังคงสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน แต่ความแตกต่างในการแสดงผลเริ่มเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงการพัฒนาและการแยกตัวของตลาดสกุลเงินดิจิทัลต่างประเภท
ตลาดสกุลเงินดิจิทัลยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของกรอบการกำกับดูแลในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป การพัฒนาของกฎระเบียบเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของแพลตฟอร์มซื้อขายและการเข้าถึงของนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของการยอมรับในระดับสถาบันและการพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินสำหรับสกุลเงินดิจิทัลยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนในระยะยาว
การประเมินโดยรวมของตลาดสกุลเงินดิจิทัลในปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงช่วงการปรับตัวที่สำคัญ โดยตลาดกำลังค้นหาดุลยภาพใหม่ระหว่างการเติบโตอย่างรวดเร็วและความมั่นคงในระยะยาว นักเทรด FXGT ควรใช้ความระมัดระวังในการเข้าตลาดและมุ่งเน้นไปที่การบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม ขณะเดียวกันก็ควรติดตามโอกาสที่เกิดขึ้นจากความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาด การใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบขั้นบันไดและการกระจายความเสี่ยงข้ามสกุลเงินดิจิทัลหลากหลายประเภทจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะสั้น
การวิเคราะห์ข้อมูลและแนวโน้มที่ผ่านมาชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดการเงินโลกที่กำลังเข้าสู่ช่วงการปรับตัวเชิงโครงสร้าง สัปดาห์วันที่ 25-30 พฤษภาคม 2025 คาดว่าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักเทรดและนักลงทุนต้องเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและการพัฒนาของปัจจัยภายนอกหลากหลายประการ การวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมและการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุมจะเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น
ตลาด Forex คาดว่าจะยังคงได้รับอิทธิพลหลักจากความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในระยะสั้น คู่สกุลเงิน EUR/USD มีโอกาสสูงที่จะทดสอบเป้าหมายระยะสั้นที่ระดับ 1.1400-1.1482 หากสามารถเบรกเหนือแนวต้านสำคัญที่ 1.1366 ได้สำเร็จ ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการคาดการณ์ที่ว่า European Central Bank อาจมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการปรับนโยบายการเงิน ประกอบกับการฟื้นตัวต่อเนื่องของข้อมูลเศรษฐกิจยุโรป
คู่สกุลเงิน USD/JPY คาดว่าจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการเงินที่แตกต่างกันระหว่าง Federal Reserve และ Bank of Japan โดยเฉพาะหลังจากที่ BOJ ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจและส่งสัญญาณความเป็นไปได้ของการสนับสนุนเพิ่มเติม แนวโน้มขาลงของคู่สกุลเงินนี้อาจดำเนินต่อไปสู่ระดับเป้าหมายที่ 139.87 และอาจขยายไปถึง 139.26 หากแรงขายยังคงมีความต่อเนื่อง
คู่สกุลเงิน GBP/USD และ AUD/USD คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักเทรดควรระมัดระวังสัญญาณ overbought ที่เริ่มปรากฏในระยะสั้น การใช้กลยุทธ์การเทรดแบบ range trading อาจเหมาะสมมากกว่าการไล่ตามเทรนด์ในช่วงนี้
ตลาดทองคำคาดว่าจะมีแนวโน้มเชิงบวกต่อเนื่อง โดยมีศักยภาพในการทดสอบระดับเป้าหมายที่ 3,430-3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากตลาดสามารถทำการ consolidate เหนือระดับ 3,346 ดอลลาร์ได้สำเร็จ ปัจจัยสนับสนุนหลักยังคงมาจากความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมือง การซื้อต่อเนื่องของธนาคารกลาง และความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักเทรดควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของ real yield ที่อาจสร้างแรงกดดันในระยะสั้นหากมีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
น้ำมันดิบ WTI มีแนวโน้มที่จะทดสอบระดับต้านทานสำคัญที่ 60.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลคลังสินค้าที่ลดลงต่อเนื่องและความอ่อนแอของดอลลาร์ การประชุมของ OPEC+ ในวันที่ 25 พฤษภาคมจะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลต่อทิศทางราคาในระยะกลาง นักเทรดควรเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นรอบการประชุมดังกล่าว
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดว่าจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณและผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากร ดัชนี S&P 500 มีความเป็นไปได้ที่จะทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 5,767 จุด และหากทะลุลงไปอาจเคลื่อนที่สู่ระดับ 5,700 จุด ดัชนี Nasdaq 100 ต้องการการเฝ้าติดตามแนวรับที่ 19,800 จุด และหากทะลุลงไปอาจดำเนินต่อไปสู่ระดับ 19,500 จุด
ตลาดหุ้นเอเชียคาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวที่หลากหลายตามปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศ ดัชนี Nikkei 225 ต้องการการเฝ้าติดตามระดับ 37,000 จุดและมีเป้าหมายที่ 37,500 จุด ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน USD/JPY ดัชนี Hang Seng ยังคงแนวโน้มเชิงบวกด้วยแนวรับที่ 23,400 จุดและเป้าหมายที่ 24,000 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังต่อผลลัพธ์การเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน
ข้อมูล Core PCE Price Index ของสหรัฐฯ ที่จะเปิดเผยในวันที่ 30 พฤษภาคม ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดของสัปดาห์ หากข้อมูลออกมาสูงกว่าคาดการณ์อาจส่งผลให้ Federal Reserve มีท่าทีเข้มงวดมากขึ้นต่อนโยบายการเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ และสินทรัพย์ต่างประเภท ในทางตรงกันข้าม หากข้อมูลออกมาต่ำกว่าคาดการณ์จะเสริมแรงให้กับแนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์
การพัฒนาของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เจนีวายังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ความก้าวหน้าในเชิงบวกอาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชียและสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ความล่าช้าหรือความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นอาจกระตุ้นการไหลของเงินทุนไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองในตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจสร้างความผันผวนแบบกะทันหัน การติดตามข่าวสารและการพัฒนาในด้านนี้จะช่วยให้นักเทรดเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ตลาดจาก risk-on เป็น risk-off
นักเทรดระยะสั้นควรมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นรอบการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ การใช้กลยุทธ์ straddle options ในช่วงประกาศข้อมูล Core PCE อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม การตั้ง stop-loss ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการตั้ง stop-loss สำหรับ S&P 500 ที่ระดับ 5,700 จุด
นักลงทุนระยะกลางควรพิจารณาการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดยุโรปและสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ การกระจายความเสี่ยงระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะการรวมสินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงินดิจิทัลเข้าไปในพอร์ตการลงทุน
นักลงทุนระยะยาวควรมุ่งเน้นไปที่การติดตามผลลัพธ์ของการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนและผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลก ทองคำยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการป้องกันความเสี่ยงในระยะยาว โดยควรพิจารณาการสะสมในช่วงราคาปรับตัวลง ตลาดหุ้นเอเชียและสินค้าโภคภัณฑ์อาจได้รับประโยชน์จากการคลี่คลายความตึงเครียดการค้าในระยะกลางถึงยาว
การใช้ position size ที่เหมาะสมจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรอดพ้นจากความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้น นักเทรดควรหลีกเลี่ยงการใช้ leverage สูงเกินไปและควรรักษาอัตราส่วน risk-reward ขั้นต่ำที่ 1:2 สำหรับทุกการเทรด การติดตามปฏิทินเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและการเตรียมพร้อมสำหรับการปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
การใช้เครื่องมือ hedging เช่น options หรือการเปิด position ในทิศทางตรงกันข้ามในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์แบบผกผันอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด การติดตามตัวชี้วัดอารมณ์ตลาดอย่าง VIX และ put/call ratio จะช่วยให้นักเทรดสามารถประเมินความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที
การวางแผนการเทรดสำหรับสัปดาห์ถัดไปต้องมีความยืดหยุ่นและพร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การรักษาสมดุลระหว่างการแสวงหาผลกำไรและการควบคุมความเสี่ยงจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในสภาพตลาดปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส
สัปดาห์วันที่ 19-24 พฤษภาคม 2025 นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ตลาดการเงินโลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่มีนัยสำคัญต่อทิศทางการลงทุนในระยะกลางถึงยาว การวิเคราะห์ครอบคลุมที่ผ่านมาเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพลวัตตลาดหลายประการที่นักเทรดและนักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมใหม่ ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ และการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่เหมาะสมจะเป็นปัจจัยกำหนดความสำเร็จในการเทรดช่วงต่อไป
ความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นประเด็นหลักที่ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์หลากหลายประเภทในสัปดาห์นี้ การที่ Federal Reserve รักษาอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25%-4.50% ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการคลังได้สร้างความกังวลต่อความยั่งยืนของการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนออกจากสินทรัพย์ในสกุลเงินดอลลาร์ไปสู่ตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดยุโรปและสินค้าโภคภัณฑ์ที่แสดงการฟื้นตัวอย่างชัดเจน
ความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างธนาคารกลางหลักได้สร้างโอกาสการเทรดที่น่าสนใจในตลาด forex โดยเฉพาะคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่แสดงสัญญาณทางเทคนิคเชิงบวกผ่านรูปแบบ bullish engulfing candle และ USD/JPY ที่เผชิญแรงกดดันจากการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของญี่ปุ่น การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับทิศทางของนโยบายการเงินในแต่ละภูมิภาค
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากความสัมพันธ์แบบผกผันกับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ทองคำและน้ำมันดิบแสดงการฟื้นตัวที่สอดคล้องกับการอ่อนค่าของดอลลาร์ ขณะที่ปัจจัยเฉพาะของแต่ละสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น การซื้อของธนาคารกลางสำหรับทองคำและข้อมูลคลังสินค้าสำหรับน้ำมัน ได้เสริมแรงให้กับแนวโน้มเชิงบวกดังกล่าว
ตลาดหุ้นเผชิญกับการปรับตัวที่หลากหลายตามภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรม ตลาดสหรัฐฯ ประสบกับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณและนโยบายภาษีศุลกากร ขณะที่ตลาดเอเชียแสดงผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันตามบริบทเฉพาะของแต่ละประเทศ การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนข้ามภูมิภาค
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดต่างๆ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญในการทำความเข้าใจพลวัตของตลาดการเงินโลก ความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างดอลลาร์สหรัฐฯ และสินค้าโภคภัณฑ์ที่กลับมาชัดเจนช่วยให้นักเทรดสามารถใช้การเคลื่อนไหวของดอลลาร์เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าสำหรับการเคลื่อนไหวของทองคำและน้ำมัน การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ส่งผลต่อความน่าสนใจของสินทรัพย์เสี่ยงยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม
ตัวชี้วัดอารมณ์ตลาด เช่น VIX และ put/call ratio ได้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของพฤติกรรมนักลงทุนในปัจจุบัน แม้ความผันผวนจะเพิ่มขึ้น แต่กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง ความขัดแย้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาดและความจำเป็นในการใช้เครื่องมือวิเคราะห์หลากหลายประเภทเพื่อเข้าใจสถานการณ์อย่างครอบคลุม
การลดลงของความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และตลาดหุ้นดั้งเดิมเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการแยกตัวของสกุลเงินดิจิทัลและศักยภาพในการเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดโอกาสใหม่สำหรับการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลายและสมดุลมากขึ้น
การบริหารความเสี่ยงควรเป็นสิ่งที่ได้รับความสำคัญสูงสุดในสภาพตลาดปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักเทรดควรใช้ position size ที่เหมาะสมและรักษาอัตราส่วน risk-reward ขั้นต่ำที่ 1:2 สำหรับทุกการเทรด การตั้ง stop-loss ที่เหมาะสมและการปรับระดับ stop-loss ตามการเคลื่อนไหวของราคาจะช่วยปกป้องเงินทุนและรักษาผลกำไรที่ได้รับ
การกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์หลากหลายประเภทเป็นสิ่งจำเป็นในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน การรวมตลาด forex สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น และสกุลเงินดิจิทัลเข้าไปในกลยุทธ์การเทรดจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งเพียงอย่างเดียว การใช้ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดในการสร้าง hedging positions อาจช่วยเพิ่มความมั่นคงของผลตอบแทน
การติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้นักเทรดสามารถเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้น ข้อมูล Core PCE ของสหรัฐฯ การประชุม OPEC+ และการพัฒนาของการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์ถัดไป การวางแผนกลยุทธ์ล่วงหน้าและการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ต่างๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจสร้างความผันผวนในตลาด นักเทรดควรรักษาความยืดหยุ่นในกลยุทธ์และพร้อมปรับเปลี่ยนทิศทางตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะช่วยให้การตัดสินใจมีความครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น
การพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลและการตีความสัญญาณตลาดจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว การศึกษาและทำความเข้าใจกับเครื่องมือใหม่ๆ รวมถึงการติดตามการพัฒนาของเทคโนโลยีที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างตลาดจะช่วยให้นักเทรดสามารถปรับตัวและแข่งขันได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การรักษาวินัยในการเทรดและการควบคุมอารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่มักถูกมองข้าม ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ การยึดมั่นในแผนการเทรดที่วางไว้และการหลีกเลี่ยงการเทรดแบบ revenge trading จะช่วยรักษาความสม่ำเสมอของผลตอบแทน สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่อาจดำเนินต่อไปอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน นักเทรด FXGT ที่สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย การรักษาความสมดุลระหว่างความระมัดระวังและความกล้าหาญในการแสวงหาโอกาสจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว