หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
สัปดาห์ที่ 9-15 มิถุนายน 2025 เป็นช่วงเวลาที่ตลาดการเงินโลกเผชิญกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินที่สำคัญจากธนาคารกลางยุโรปและความคาดหวังต่อการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯที่กำลังจะมาถึง ตลาด CFD ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์นักลงทุนที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสินทรัพย์ทุกประเภท
ธนาคารกลางยุโรปได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยหลักลง 25 จุดพื้นฐานเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลให้เงินยูโรมีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ตลาดรอคอยการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 17-18 มิถุนายน ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมแต่อาจให้สัญญาณสำคัญเกี่ยวกับทิศทางนโยบายในอนาคต
ดัชนี VIX ที่เพิ่มขึ้นเป็น 20.82 จุด หรือสูงขึ้น 15.54% จากเซสชั่นก่อนหน้า สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ แม้ว่าดัชนี Fear & Greed Index จะยังคงอยู่ในระดับ 60 จุด ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “Greed” แต่การเพิ่มขึ้นของความผันผวนชี้ให้เห็นถึงความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้นของนักลงทุนสถาบัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวที่หลากหลาย โดย S&P 500 ปิดที่ระดับ 5,977 จุด ลดลง 1.13% จากเซสชั่นก่อนหน้า หลังจากที่เคยสามารถทะลุระดับ 6,000 จุดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปริมาณการซื้อขายของ E-mini S&P 500 Futures ที่อยู่เพียง 8% ของค่าเฉลี่ย 65 วัน บ่งชี้ถึงความไม่แน่ใจของนักลงทุนสถาบันต่อทิศทางของตลาดในระยะสั้น
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยปิดที่ระดับ 3,430.49 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 32.18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเงิน ขณะที่ตลาดคริปโตเคอเรนซี่แสดงสัญญาณผสมผสาน โดย Bitcoin ปิดที่ระดับ 105,000-105,506 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จำนวนธุรกรรมรายวันลดลง 19.01% ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการรอคอยทิศทางที่ชัดเจนจากนักลงทุน
สัปดาห์นี้นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุน CFD ต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดต่อการเปลี่ยนแปลงของนโยบายธนาคารกลาง ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างประเภท และการปรับตัวของตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสร้างโอกาสการลงทุนในอนาคต
สัปดาห์เริ่มต้นด้วยการปรับตัวของตลาดหลังจากการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปเมื่อสุดสัปดาห์ก่อนหน้า ตลาด Forex แสดงการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างสงบ โดยนักลงทุนรอการยืนยันทิศทางจากข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมาในช่วงกลางสัปดาห์ คู่ EUR/USD เริ่มต้นการซื้อขายในช่วง 1.1380-1.1420 ซึ่งสะท้อนถึงการประเมินผลกระทบจากนโยบายการเงินใหม่ของ ECB
วอนเกาหลีใต้แสดงความแข็งแกร่งโดยอัตราแลกเปลี่ยน USD/KRW ปิดที่ระดับต่ำสุดของปีที่ 1,351.86 บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้และการคาดการณ์เชิงบวกต่อการเติบโตในภูมิภาคเอเชีย
ตลาดได้รับข้อมูลเศรษฐกิจเบื้องต้นจากสหรัฐฯที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานต่อเนื่อง ทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯมีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยต่อสกุลเงินหลัก คู่ USD/JPY เคลื่อนไหวในกรอบ 143.80-144.20 โดยยังคงได้รับแรงหนุนจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯและญี่ปุ่น
ปริมาณการซื้อขายใน CME FX Futures ยังคงอยู่ในระดับสูงที่มากกว่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน แสดงให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่ยังคงมีต่อตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา
วันนี้เป็นวันสำคัญเมื่อสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม 2025 ที่เพิ่มขึ้น 2.4% ในรอบปี สูงกว่าคาดการณ์เล็กน้อยและเพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในเดือนเมษายน ข้อมูลนี้ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นทันทีต่อสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเงินยูโรและปอนด์สเตอร์ลิง
คู่ EUR/USD ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 1.1350-1.1380 หลังจากที่นักลงทุนประเมินว่าข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจทำให้ Fed ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หยวนจีนแสดงความผันผวนเมื่อ USD/CNY แตะระดับสูงสุดรายวันที่ 7.194 ก่อนที่จะปรับตัวลงมาปิดที่ระดับ 7.186
ตลาดได้รับข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมเบื้องต้นที่แสดงการเพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม สูงกว่าคาดการณ์ที่ 120,000 ตำแหน่ง ข้อมูลที่แข็งแกร่งนี้เสริมความเชื่อมั่นให้กับดอลลาร์สหรัฐฯและทำให้นักลงทุนเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในเดือนกรกฎาคม
ดอลลาร์สิงคโปร์แสดงความแข็งแกร่งเมื่อ USD/SGD ลดลงมาสู่ระดับต่ำสุดของปีที่ 1.2788 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์และนโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพของธนาคารกลางสิงคโปร์
วันสุดท้ายของสัปดาห์การซื้อขายเป็นวันที่มีความผันผวนสูงเมื่อนักลงทุนปรับพอร์ตโฟลิโอก่อนสุดสัปดาห์และการประชุม Fed ที่กำลังจะมาถึง คู่ EUR/USD ปิดที่ระดับ 1.1450 หลังจากข้อมูลการใช้จ่ายด้านกลาโหมและโครงสร้างพื้นฐานของสหภาพยุโรปมูลค่า 800 พันล้านยูโรช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นต่อเงินยูโร
บาทไทยแสดงความอ่อนแอเมื่อ USD/THB แตะระดับต่ำสุดของสัปดาห์ที่ 32.345 ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 32.405 การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความกังวลต่อผลกระทบของการแข็งค่าของบาทต่อการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก
ปริมาณการซื้อขายในตลาด Forex ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในคู่สกุลเงินหลักที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐฯ การมี Open Interest มากกว่า 3 ล้านสัญญาใน Euro FX Futures แสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนสถาบันในการซื้อขายคู่ EUR/USD
ดัชนี Trade Weighted US Dollar Index สำหรับประเทศเกิดใหม่ที่อยู่ที่ระดับ 132.94 และเพิ่มขึ้น 1.63% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งโดยรวมของดอลลาร์สหรัฐฯต่อสกุลเงินเกิดใหม่ แม้ว่าบางสกุลเงินในภูมิภาคเอเชียจะยังคงแสดงความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งในการต่อต้านแรงกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่า
การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นเป็น 50% ในภูมิภาคเอเชียสะท้อนถึงแนวโน้มการลดพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯในระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลต่อพลวัตของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราในอนาคต
ทองคำยังคงแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3,430.49 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2025 การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 32.18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดการเงิน
ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนราคาทองคำในสัปดาห์นี้ประกอบด้วยความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานของพลังงานโลก นอกจากนี้ ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.4% ในเดือนพฤษภาคมทำให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อป้องกันการสูญเสียกำลังซื้อจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าทั่วไป
การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนราคาทองคำ เนื่องจากการลดลงของอัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้ทำให้ทองคำซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยกลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจมากขึ้นในสายตาของนักลงทุน ปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่องของทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างจริงจังจากนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบัน
สถาบันการเงินชั้นนำได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำสำหรับปี 2025 โดย Goldman Sachs คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ Bank of America ให้คาดการณ์ในระดับที่สูงถึง 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การคาดการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำในระยะกลางถึงระยะยาว
ตลาดน้ำมันดิบแสดงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดที่ราคา 75.18 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 6.88% ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดที่ 73.18 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 6.30% การเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันของทั้งสองเกรดน้ำมันหลักแสดงให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันโลกในภาพรวม
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนราคาน้ำมันให้ปรับตัวขึ้นในสัปดาห์นี้ ความกังวลเรื่องการหยุดชะงักของเส้นทางการขนส่งน้ำมันในพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทำให้นักลงทุนเพิ่มค่าความเสี่ยงด้านอุปทาน (risk premium) เข้าไปในราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ข้อมูลการลดลงของปริมาณน้ำมันสำรองในสหรัฐฯที่ต่ำกว่าคาดการณ์ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาในระยะสั้น
Brent Crude Oil ยังคงรักษาสถานะเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงเป็นอันดับสองของโลกสำหรับการซื้อขายน้ำมันดิบ และเป็นสัญญา Futures ที่มีปริมาณการซื้อขายใหญ่เป็นอันดับสองในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ลักษณะนี้ทำให้ราคา Brent มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานและอารมณ์ของตลาดมากกว่าเกรดน้ำมันอื่น
การทบทวนข้อมูลประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าในไตรมาสแรกของปี 2025 ราคาน้ำมันดิบ Brent มีการซื้อขายในช่วงกว้างระหว่าง 69.28-82.03 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งสะท้อนถึงความผันผวนที่สูงของตลาดและการปรับตัวอย่างรวดเร็วต่อข่าวสารและข้อมูลใหม่ ราคาปัจจุบันที่ 75.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอยู่ในระดับกลางของช่วงการซื้อขายนี้ แสดงให้เห็นถึงการหาจุดสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย
การเคลื่อนไหวของทั้งทองคำและน้ำมันในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับตลาดการเงินอื่น การปรับตัวขึ้นของทั้งสองสินค้าโภคภัณฑ์หลักนี้ส่งผลให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางในอนาคต
สำหรับนักลงทุน CFD การติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้มีความสำคัญในการประเมินทิศทางของอัตราเงินเฟ้อและนโยบายการเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสกุลเงินหลักและตลาดหุ้นในระยะถัดไป การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันโดยเฉพาะอาจส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลาง ขณะที่การแข็งค่าของทองคำอาจเป็นสัญญาณของความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในภาพรวม
ตลาดหุ้นสหรัฐฯในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งและความกังวลต่อทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต ดัชนี S&P 500 ปิดที่ระดับ 5,977 จุด ลดลง 1.13% จากเซสชั่นก่อนหน้า หลังจากที่สามารถทะลุขึ้นไปแตะระดับ 6,000 จุดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ในช่วงต้นสัปดาห์ การปรับตัวลงในวันศุกร์สะท้อนถึงการขายทำกำไรของนักลงทุนหลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า
ดัชนี Dow Jones Industrial Average แสดงความยืดหยุ่นมากกว่าโดยปิดที่ระดับ 42,762.87 จุด เพิ่มขึ้น 1.05% หรือ 443.13 จุดในวันที่ 9 มิถุนายน ก่อนที่จะมีการปรับตัวลงในช่วงท้ายสัปดาห์ การเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันระหว่าง Dow Jones และ S&P 500 แสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนการลงทุนจากหุ้นเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดสูงไปสู่หุ้นมูลค่าและหุ้นอุตสาหกรรมดั้งเดิม
ดัชนี Nasdaq Composite ซึ่งมีน้ำหนักหนักในหุ้นเทคโนโลยีปิดที่ระดับ 19,529.95 จุด เพิ่มขึ้น 1.20% ในวันที่ 9 มิถุนายน แต่ประสบกับแรงกดดันในช่วงหลังจากข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดการณ์ ปริมาณการซื้อขายรายวันของ Nasdaq ในสัปดาห์นี้แสดงการลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปจาก 3.92 ล้านหุ้นในวันจันทร์เป็น 3.15 ล้านหุ้นในวันศุกร์ ซึ่งบ่งชี้ถึงการลดลงของความสนใจจากนักลงทุนต่อหุ้นเทคโนโลยีในระยะสั้น
ดัชนี VIX หรือดัชนีความกลัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 20.82 จุด สูงขึ้น 15.54% จากวันก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 18.02 การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคาดหวังต่อการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯและผลกระทบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์
เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว VIX เพิ่มขึ้น 74.37% จากระดับ 11.94 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมการลงทุนที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของ VIX ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ระดับ 17.16 จุดในวันจันทร์จนถึง 20.82 จุดในวันศุกร์แสดงให้เห็นถึงการสะสมของความกังวลเป็นลำดับ
อย่างไรก็ตาม ดัชนี Fear and Greed Index ยังคงอยู่ในระดับ 60 จุด ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “Greed” หรือความโลภ ความขัดแย้งระหว่างสัญญาณจาก VIX และ Fear and Greed Index แสดงให้เห็นถึงการแบ่งขั้วของอารมณ์นักลงทุนระหว่างความมั่นใจในระยะยาวและความกังวลในระยะสั้น นักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการบริษัทแต่มีความระมัดระวังต่อปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดในระยะสั้น
ปริมาณการซื้อขายของ S&P 500 ที่อยู่ที่ระดับ 5.26 พันล้านหุ้นในวันที่ 13 มิถุนายนแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่ค่อนข้างสูงจากนักลงทุนโดยรวม อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เชิงลึกผ่านข้อมูล E-mini S&P 500 Futures เผยให้เห็นภาพที่แตกต่างกัน โดยปริมาณการซื้อขายปัจจุบันอยู่ที่เพียง 126,200 สัญญา ซึ่งคิดเป็นเพียง 8% ของค่าเฉลี่ย 65 วันที่ 1.61 ล้านสัญญา
ความแตกต่างนี้บ่งชี้ถึงการถอนตัวของนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่จากตลาด Futures ซึ่งมักจะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของทิศทางตลาดในระยะสั้น การที่ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นโดยตรงยังคงสูงขณะที่ตลาด Futures มีสภาพคล่องต่ำอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนจากการเก็งกำไรระยะสั้นไปสู่การลงทุนระยะยาวมากขึ้น
การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้สะท้อนถึงความอ่อนไหวต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.4% และข้อมูลการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่ง ข้อมูลเหล่านี้สร้างความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจต้องชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยหรืออาจต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่ตลาดคาดหวัง
การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปก่อนหน้านี้สร้างความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจตามมาด้วยการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น แต่ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทำให้ความคาดหวังดังกล่าวลดลง ส่งผลให้เกิดการปรับตัวลงของตลาดหุ้นในช่วงท้ายสัปดาห์
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นกับตลาดตราสารหนี้ยังคงแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันในการดึงดูดเงินลงทุน หากอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้เพิ่มขึ้นจากความคาดหวังที่ธนาคารกลางจะคงอัตราดอกเบี้ยสูง ตลาดหุ้นอาจประสบกับแรงกดดันเพิ่มเติมจากการไหลออกของเงินลงทุนไปสู่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ที่สูงขึ้น
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาและตลอดช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ด้วยการเพิ่มขึ้น 32.18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3,430.49 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์สะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนทั่วโลกที่มองหาสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง
ปัจจัยสนับสนุนหลักประกอบด้วยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจากธนาคารกลางยุโรป ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าใหม่ การที่สถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs และ Bank of America ให้คาดการณ์ราคาทองคำในช่วง 3,100-3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์สำหรับปี 2025 ยืนยันถึงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มระยะยาวของสินทรัพย์นี้
ปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่องของทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่แท้จริงจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อย การเข้าซื้อในปริมาณมากจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนราคาและสร้างฐานการสนับสนุนที่แข็งแกร่งสำหรับทองคำในระยะยาว
ตลาดน้ำมันดิบแสดงผลตอบแทนที่น่าประทับใจในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 6.88% มาอยู่ที่ราคา 75.18 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 6.30% มาอยู่ที่ 73.18 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล การเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันของทั้งสองเกรดหลักแสดงให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในด้านอุปทานและอุปสงค์
ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ส่งผลต่อเส้นทางการขนส่งน้ำมันเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนราคาน้ำมันให้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนได้เพิ่มค่าความเสี่ยงด้านอุปทานเข้าไปในราคาน้ำมันเนื่องจากความกังวลต่อการหยุดชะงักของการผลิตและการขนส่งในพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ นอกจากนี้ ข้อมูลการลดลงของปริมาณน้ำมันสำรองในสหรัฐฯที่ต่ำกว่าคาดการณ์ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติม
การที่ Brent Crude Oil ยังคงรักษาสถานะเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงเป็นอันดับสองของโลกทำให้ราคามีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลและอารมณ์ตลาด ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงความสนใจจากนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงไม่มีความชัดเจน
วอนเกาหลีใต้เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนโดดเด่นในสัปดาห์นี้ เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน USD/KRW ลดลงมาสู่ระดับต่ำสุดของปีที่ 1,351.86 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่งหมายถึงการแข็งค่าของวอนเกาหลีใต้อย่างมีนัยสำคัญ การลดลง 7.48% ของ USD/KRW ในปี 2025 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้และการฟื้นตัวของการส่งออกในภาคเทคโนโลยี
ดอลลาร์สิงคโปร์แสดงผลตอบแทนที่น่าประทับใจเช่นกัน เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน USD/SGD ลดลงมาสู่ระดับต่ำสุดของปีที่ 1.2788 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน การแข็งค่าของดอลลาร์สิงคโปร์ 6.17% ในปี 2025 สะท้อนถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์และนโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพของธนาคารกลางสิงคโปร์ในการรักษาเสถียรภาพของสกุลเงิน
ริงกิตมาเลเซียเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินในภูมิภาคที่แสดงความแข็งแกร่ง ด้วยการแข็งค่าขึ้น 5.04% ในปี 2025 และการที่อัตราแลกเปลี่ยนลดลงมาสู่ระดับต่ำสุดที่ 4.2050 เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจมาเลเซียและความสมดุลทางการค้าที่ดีขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ
แม้ว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลงในช่วงท้ายสัปดาห์ แต่ในช่วงต้นสัปดาห์ดัชนีหุ้นหลักแสดงผลตอบแทนที่น่าพอใจ ดัชนี Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้น 1.05% หรือ 443.13 จุดในวันที่ 9 มิถุนายน ขณะที่ Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 1.20% หรือ 231.50 จุด และ S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.03% ในวันเดียวกัน
การที่ S&P 500 สามารถทะลุระดับ 6,000 จุดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯในระยะยาว แม้ว่าจะมีการปรับตัวลงในภายหลัง แต่การทะลุระดับดังกล่าวแสดงถึงศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องของตลาดหุ้น
ปริมาณการซื้อขายที่สูงถึง 5.26 พันล้านหุ้นใน S&P 500 และการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนรายย่อยแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่ยังคงมีต่อตลาดหุ้น การที่ Fear and Greed Index ยังคงอยู่ในระดับ 60 จุดหรือในโซน “Greed” ตลอดสัปดาห์สะท้อนถึงความเชื่อมั่นโดยรวมของนักลงทุนต่อแนวโน้มระยะยาวของตลาด
ตลาดหุ้นเทคโนโลยีประสบกับแรงกดดันในช่วงท้ายสัปดาห์หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ทำให้นักลงทุนปรับลดความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ดัชนี Nasdaq Composite ซึ่งมีน้ำหนักหนักในหุ้นเทคโนโลยีแสดงความอ่อนแอหลังจากการปรับตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 3.92 ล้านหุ้นในวันจันทร์เป็น 3.15 ล้านหุ้นในวันศุกร์สะท้อนถึงการลดลงของความสนใจจากนักลงทุนต่อหุ้นกลุ่มนี้ในระยะสั้น
หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูงและอัตราส่วนราคาต่อกำไรในระดับสูงประสบกับแรงขายมากกว่าหุ้นในกลุ่มอื่น เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยที่คงอยู่ในระดับสูงจะส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของบริษัทเหล่านี้ การหมุนเวียนการลงทุนจากหุ้นเติบโตไปสู่หุ้นมูลค่าและหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลเป็นแนวโน้มที่เห็นได้ชัดในช่วงท้ายสัปดาห์
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่แสดงสัญญาณผสมผสานในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลหลักจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ตัวชี้วัดด้านกิจกรรมและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวที่น่าห่วงใย Bitcoin ปิดการซื้อขายที่ระดับ 105,000-105,506 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งยังคงอยู่ใกล้ระดับสูงสุดประวัติศาสตร์ แต่จำนวนธุรกรรมต่อวันลดลง 19.01% จาก 428,797 ธุรกรรมเป็น 347,263 ธุรกรรม ซึ่งเป็นการลดลงที่มีนัยสำคัญในระยะเวลาเพียงวันเดียว
การลดลงของธุรกรรม Bitcoin อาจสะท้อนถึงการรอคอยทิศทางที่ชัดเจนจากนักลงทุนหลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า นักวิเคราะห์ตลาดมองว่าการลดลงของกิจกรรมอาจเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯและความกังวลต่อการควบคุมกำกับดูแลที่อาจเข้มงวดมากขึ้นในอนาคต
Ethereum ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกปิดการซื้อขายที่ราคา 2,536.37 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีการปรับตัวลงเล็กน้อยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จำนวนธุรกรรม Ethereum ต่อวันลดลงจาก 1.453 ล้านธุรกรรมเป็น 1.419 ล้านธุรกรรม ซึ่งแม้จะเป็นการลดลงในอัตราที่น้อยกว่า Bitcoin แต่ก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการชะลอตัวของกิจกรรมในระบบนิเวศคริปโตเคอเรนซี่โดยรวม
อย่างไรก็ตาม Ethereum ได้รับแรงหนุนจากข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับ ETH ETFs ที่มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่ 18 ติดต่อกันที่มีเงินทุนไหลเข้า การไหลเข้าอย่างต่อเนื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความสนใจจากนักลงทุนสถาบันที่ยังคงมีต่อ Ethereum แม้จะมีความท้าทายในระยะสั้น
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่โดยรวมมีมูลค่าตลาดรวม 3.58 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปริมาณการซื้อขายรวม 138 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สูงและแสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องที่เพียงพอในตลาด แม้ว่าจะมีการลดลงของกิจกรรมในระดับรายธุรกรรม
Crypto Fear and Greed Index อยู่ที่ระดับ 63 จุด ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “Greed” หรือความโลภ โดยมีการเคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์จาก 71 จุดในวันที่ 9 มิถุนายนลดลงมาเป็น 63 จุดในวันที่ 13 มิถุนายน การลดลงของดัชนีนี้แม้จะยังคงอยู่ในโซนความโลภ แต่แสดงให้เห็นถึงการปรับลดความเชื่อมั่นเล็กน้อยของนักลงทุนคริปโตเคอเรนซี่
ความขัดแย้งระหว่างราคาที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกับการลดลงของกิจกรรมและดัชนีความเชื่อมั่นที่ปรับลดแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในระยะสั้นของตลาดคริปโตเคอเรนซี่ นักวิเคราะห์มองว่านี่อาจเป็นช่วงเวลาของการรอคอยความชัดเจนจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิศทางของนโยบายการเงินและการควบคุมกำกับดูแลในอนาคต
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่แสดงความอ่อนไหวเพิ่มขึ้นต่อปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงความคาดหวังต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดการณ์และตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งทำให้นักลงทุนปรับลดความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าสนใจของสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างคริปโตเคอเรนซี่
ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินดิจิทัลกับตลาดหุ้นเทคโนโลยีกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทั้งสองกลุ่มสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบในทิศทางเดียวกันจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ย การที่ตลาดหุ้นเทคโนโลยีประสบกับแรงกดดันในช่วงท้ายสัปดาห์อาจส่งสัญญาณเตือนสำหรับตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในระยะสั้น
การติดตามพัฒนาการของการควบคุมกำกับดูแลและนโยบายของรัฐบาลต่อสกุลเงินดิจิทัลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดในระยะถัดไป นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงและการกระจายการลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 17-18 มิถุนายน 2025 จะเป็นเหตุการณ์หลักที่กำหนดทิศทางของตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ถัดไป ความคาดหวังในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าธนาคารกลางจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในช่วง 4.25-4.50% ตามที่ได้รักษาไว้ตั้งแต่การประชุมเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญที่นักลงทุนจะให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดคือการเปิดเผย “dot plot” หรือการคาดการณ์เส้นทางอัตราดอกเบี้ยของสมาชิกคณะกรรมการ
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.4% และการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน 139,000 ตำแหน่ง อาจทำให้ธนาคารกลางปรับลดจำนวนครั้งของการลดอัตราดอกเบี้ยที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2025 การเปลี่ยนแปลงในแนวคิดนี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้น และตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา
คำแถลงของประธาน Jerome Powell หลังการประชุมจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองของธนาคารกลางต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าและแนวทางการจัดการกับความไม่แน่นอนทางการค้าที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต นักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในช่วงการประกาศผลการประชุมและการแถลงข่าว
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่านโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Trump จะเริ่มส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงของปี 2025 ความไม่แน่นอนทางนโยบายนี้สร้างความท้าทายสำคัญสำหรับนักลงทุนในการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกเหลือ 2.3% ในปี 2025 จากคาดการณ์เดิม เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนทางนโยบาย
ผลกระทบจากนโยบายการค้าจะแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสการค้าโลก การปรับตัวของห่วงโซ่อุปทาน และการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นักลงทุนควรติดตามการเคลื่อนไหวของสกุลเงินของประเทศที่อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายการค้าใหม่ โดยเฉพาะสกุลเงินของประเทศที่มีการค้าขายกับสหรัฐอเมริกาในปริมาณมาก
การเตรียมความพร้อมสำหรับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากนโยบายการค้าอาจส่งผลต่อราคาและกระแสการค้าของสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรกรรม โลหะมีค่า และพลังงาน นักลงทุนควรพิจารณากลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสมและการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย
ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียแสดงสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว การที่หลายสกุลเงินในภูมิภาคถูกมองว่ามีมูลค่าต่ำกว่าระดับประวัติศาสตร์สร้างโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย วอนเกาหลีใต้ รูเปียอินโดนีเซีย และรูปีอินเดียถูกระบุว่าเป็นสกุลเงินที่มีศักยภาพในการปรับตัวขึ้นหากปัจจัยภายนอกเอื้ออำนวย
การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นเป็น 50% ในภูมิภาคเอเชียเป็นแนวโน้มที่มีนัยสำคัญระยะยาว การลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯในการชำระเงินการค้าอาจช่วยลดความผันผวนของสกุลเงินท้องถิ่นและสร้างเสถียรภาพที่มากขึ้นให้กับระบบการเงินในภูมิภาค แนวโน้มนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงการเติบโตของเศรษฐกิจเอเซียผ่านช่องทางสกุลเงินท้องถิ่น
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ในจีนและความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศในเอเชียจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม การปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้าอาจสร้างแรงหนุนสำคัญให้กับเศรษฐกิจในภูมิภาคและเปิดโอกาสการลงทุนใหม่ในหลายสาขาอุตสาหกรรม
การเพิ่มขึ้นของดัชนี VIX เป็น 20.82 จุดและการที่ดัชนีเพิ่มขึ้น 74.37% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับนักลงทุนในการปรับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเช่น options หรือการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มีความสัมพันธ์ผกผันกันจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง การคาดการณ์ราคาทองคำในช่วง 3,100-3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากสถาบันการเงินชั้นนำแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตต่อเนื่อง นักลงทุนควรพิจารณาการเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำในพอร์ตโฟลิโอเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของสินทรัพย์อื่น
การติดตามปริมาณการซื้อขายและตัวชี้วัดสภาพคล่องจะช่วยในการประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้มราคา ปริมาณการซื้อขายของ E-mini S&P 500 Futures ที่อยู่เพียง 8% ของค่าเฉลี่ยเป็นสัญญาณที่นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นในการลงทุนในตลาดหุ้น การขาดการมีส่วนร่วมจากนักลงทุนสถาบันอาจทำให้ตลาดมีความอ่อนไหวต่อข่าวสารและเหตุการณ์ภายนอกมากขึ้น
นักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัวอย่างรวดเร็วของตลาดหลังจากการประกาศผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ และควรมีแผนการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่ชัดเจนสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น การรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอและการหลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจในระดับสูงจะช่วยลดความเสี่ยงในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูง
สัปดาห์ที่ 9-15 มิถุนายน 2025 นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพลวัตตลาดการเงินโลกภายใต้อิทธิพลของนโยบายธนาคารกลางและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนความคาดหวังของนักลงทุนต่อทิศทางนโยบายการเงินโลก ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ทำให้เกิดการทบทวนความคาดหวังต่อการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯที่กำลังจะมาถึง
การเพิ่มขึ้นของดัชนี VIX เป็น 20.82 จุดและการที่ดัชนีเพิ่มขึ้น 74.37% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเพิ่มขึ้นของความไม่แน่นอนในตลาด อย่างไรก็ตาม ดัชนี Fear and Greed Index ที่ยังคงอยู่ในระดับ 60 จุดแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นโดยรวมของนักลงทุนที่ยังคงมีต่อแนวโน้มระยะยาว ความขัดแย้งระหว่างตัวชี้วัดเหล่านี้สะท้อนถึงสภาวะตลาดที่มีความซับซ้อนและต้องการการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดในสัปดาห์นี้ด้วยการเพิ่มขึ้น 32.18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และราคาที่อยู่ที่ระดับ 3,430.49 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่ตลาดน้ำมันดิบแสดงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และความกังวลด้านอุปทาน
นักลงทุน CFD ควรให้ความสำคัญกับการปรับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสมและการรักษาระดับเลเวอเรจในระดับที่สมควรจะช่วยลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดของตลาด การติดตามปริมาณการซื้อขายเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มจะช่วยในการประเมินความน่าเชื่อถือของสัญญาณการซื้อขาย
การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์แตกต่างกันจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตโฟลิโอ การผสมผสานระหว่างสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองคำ สกุลเงินที่มีเสถียรภาพ และสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนที่เหมาะสมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดจะช่วยในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 17-18 มิถุนายนที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของตลาดการเงินโลก นักลงทุนควรเตรียมแผนการจัดการพอร์ตโฟลิโอสำหรับสถานการณ์ที่แตกต่างกันที่อาจเกิดขึ้นจากผลการประชุมดังกล่าว
แม้ว่าตลาดจะมีความไม่แน่นอนในระยะสั้น แต่ยังคงมีโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในระยะกลางถึงระยะยาว ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียแสดงศักยภาพที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสกุลเงินที่ถูกมองว่ามีมูลค่าต่ำกว่าระดับประวัติศาสตร์ การเพิ่มขึ้นของการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าข้ามพรมแดนเป็นแนวโน้มที่สนับสนุนความแข็งแกร่งของสกุลเงินเอเชียในระยะยาว
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยการคาดการณ์ราคาจากสถาบันการเงินชั้นนำที่อยู่ในช่วง 3,100-3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปัจจัยสนับสนุนระยะยาวรวมถึงความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ การลดลงของความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินสำรองหลัก และความต้องการจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ในการเพิ่มปริมาณทองคำในสำรองเงินตราต่างประเทศ
ตลาดพลังงานมีโอกาสจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานโลก การติดตามพัฒนาการด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทนและนโยบายพลังงานของประเทศหลักจะช่วยในการระบุโอกาสการลงทุนในภาคพลังงานที่มีศักยภาพ ความผันผวนของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นสร้างโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค
สำหรับสัปดาห์ที่ 16-22 มิถุนายน นักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ การจัดสรรพอร์ตโฟลิโอควรเน้นความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วต่อข้อมูลใหม่ การใช้กลยุทธ์การซื้อขายที่มีระยะเวลาสั้นลงและการกำหนดจุดหยุดขาดทุนที่ชัดเจนจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
การติดตามความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างประเภทจะช่วยในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดและการระบุโอกาสการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐฯกับทองคำ ระหว่างอัตราดอกเบี้ยกับตลาดหุ้น และระหว่างราคาน้ำมันกับสกุลเงินของประเทศผู้ผลิตเป็นความสัมพันธ์ที่สำคัญที่ควรติดตาม
นักลงทุนที่มีประสบการณ์อาจพิจารณาใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นผ่านกลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสม ขณะที่นักลงทุนมือใหม่ควรเน้นการเรียนรู้และการฝึกฝนทักษะการวิเคราะห์ก่อนที่จะเพิ่มขนาดการลงทุน การใช้บัญชีทดลองเพื่อทดสอบกลยุทธ์ใหม่และการศึกษาพฤติกรรมของตลาดในสภาวะต่างๆ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและทักษะที่จำเป็นสำหรับการลงทุนในระยะยาว
ท้ายที่สุด ความสำเร็จในการลงทุน CFD ในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้นอยู่กับการรักษาวินัยในการบริหารความเสี่ยง การติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ และความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด นักลงทุนที่สามารถรักษาความสงบสติและใช้แนวทางการวิเคราะห์ที่เป็นระบบจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าในระยะยาว