หมายเหตุสำคัญ!
เราใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา
ด้วยการคลิกที่ ‘ตกลง’ คุณได้ยอมรับการใช้คุกกี้ของเราตามที่อธิบายไว้ใน นโยบายคุกกี้
ตลาดการเงินโลกในสัปดาห์ที่ 3-7 มีนาคม 2568 แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของปฏิสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการเงิน ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ และพฤติกรรมนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์หลายประเภทในตลาด CFD ภาพรวมตลาดเผชิญกับความผันผวนที่เกิดจากเหตุการณ์สำคัญสามประการ ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) การเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ที่แตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และการประชุมสุดยอดคริปโตที่ทำเนียบขาว ซึ่งสร้างคลื่นกระเพื่อมต่อสภาพคล่องและการเคลื่อนย้ายของเงินทุนในระบบการเงินโลก
ในด้านนโยบายการเงิน ECB ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 basis points เหลือ 2.5% ในการประชุมวันที่ 6 มีนาคม ซึ่งนับเป็นการลดครั้งที่ 6 นับตั้งแต่กลางปี 2567 โดยอ้างอิงข้อมูลเงินเฟ้อพื้นฐานที่ชะลอตัวลงสู่ระดับใกล้เคียงเป้าหมาย 2% การตัดสินใจนี้สอดคล้องกับความคาดหมายของตลาด แต่ท่าทีของประธาน Lagarde ที่ระบุว่าการลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นเฉพาะหากข้อมูลเศรษฐกิจเอื้ออำนวย สร้างความระมัดระวังแก่นักลงทุน ขณะเดียวกัน โนมูระได้ปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ ECB ในปีนี้เหลือเพียง 1 ครั้งจากเดิม 2 ครั้ง เนื่องจากแรงกดดันทางการคลังในเยอรมนี
ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวดีขึ้นที่ 159,000 ตำแหน่ง สูงกว่าคาดการณ์ 143,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าชั่วคราวก่อนจะปรับตัวต่อเนื่องจากแรงกดดันการคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงปลายปี ตัวเลข NFP นี้สัมพันธ์กับการปรับตัวขึ้นของอัตราว่างงานสู่ 4.0% และการเติบโตของค่าจ้างรายชั่วโมงที่ 0.3% MoM สะท้อนสภาพตลาดแรงงานที่ยังตึงตัว แต่เริ่มแสดงสัญญาณการชะลอตัว
ปัจจัยที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดคริปโตคือการประชุมสุดยอดคริปโตทำเนียบขาววันที่ 7 มีนาคม ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยมีข้อเสนอให้รวม Bitcoin และเหรียญหลักในทุนสำรองเชิงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Bitwise คาดการณ์โอกาสเกิดขึ้นจริง 70% ภายในปีนี้ การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลให้ Bitcoin ปรับตัวขึ้น 6% สู่ระดับ 91,860 ดอลลาร์ ตามข้อมูล KuCoin ขณะที่ดัชนี DXY ลดลง 2.79% สร้างความได้เปรียบให้สินทรัพย์เสี่ยง
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดแสดงให้เห็นถึงพลวัตที่น่าสนใจ โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ (DXY ปรับตัวลงสู่ 104 จุด) ส่งผลเชิงบวกต่อกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะคริปโตเคอเรนซีและทองคำ Raoul Pal จาก Real Vision ชี้ว่าสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงินผ่อนคลายเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ราคาทองคำ Spot ปรับตัวขึ้น 0.92% สู่ 2,913 ดอลลาร์ต่อทรอยเอาว์ซ์ ก่อนจะพบแรงขายทำกำไรที่ระดับ 2,930 ดอลลาร์
ในด้านตราสารหนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ลดลง 10 bps สู่ 4.05% หลังสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวจากตัวเลข JOLTS ที่ปรับลดลง 25,000 ตำแหน่ง การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลให้กองทุน ETF หุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 2.1% โดย Nasdaq 100 ปิดที่ระดับ 18,450 จุด จากการไหลเข้าของเงินลงทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์
ตลาดพลังงานเผชิญแรงกดดันเมื่อราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 3.2% สู่ 72.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังรายงานสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.3 ล้านบาร์เรล สูงกว่าคาดการณ์ 2.1 ล้านบาร์เรล การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลให้ดอลลาร์แคนาดา (CAD) อ่อนค่าลง 0.8% ต่อ USD สะท้อนความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างน้ำมันกับสกุลเงินผู้ส่งออกพลังงาน
ภาพรวมแต่ละหมวดสินทรัพย์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเผยให้เห็นถึงผลกระทบจากความไม่สมดุลของอุปสงค์-อุปทาน การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน และกระแสการลงทุนที่เปลี่ยนทิศ โดยกลุ่มสกุลเงินหลักแสดงความผันผวนสูงหลังการประกาศนโยบายของ ECB และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ สินค้าโภคภัณฑ์เผชิญกับแรงซื้อและแรงขายสลับกันตามปัจจัยพื้นฐานเฉพาะตัว ขณะที่ตลาดดัชนีหุ้นเห็นการ Sector Rotation ที่ชัดเจนไปสู่กลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานทดแทน
สำหรับนักลงทุน สัปดาห์ที่ผ่านมานับเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายในการบริหารพอร์ตโฟลิโอท่ามกลางความผันผวน แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการเคลื่อนไหวราคาที่มีนัยสำคัญในหลายสินทรัพย์ หัวใจสำคัญของความสำเร็จคือการติดตามความสัมพันธ์ระหว่างตลาดและการตอบสนองต่อข้อมูลเศรษฐกิจอย่างทันท่วงที
ตลาด Forex ในสัปดาห์ที่ 3-7 มีนาคม 2568 แสดงพลวัตที่น่าสนใจซึ่งเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ความเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินหลักมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยการอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด
EUR/USD: คู่เงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐปิดสัปดาห์ด้วยการปรับตัวขึ้น 0.6% มาอยู่ที่ระดับ 1.0850 ภายหลังการประชุมของ ECB ที่มีการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps เหลือ 2.5% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่การแสดงท่าทีระมัดระวังของประธาน Lagarde เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายในอนาคตสร้างความไม่แน่นอนสำหรับการเคลื่อนไหวในระยะกลาง การวิเคราะห์ทางเทคนิคตามทฤษฎี Elliott Wave แสดงให้เห็นว่าคู่เงินนี้กำลังอยู่ในช่วง Wave 3 ของการปรับตัวขึ้น โดยมีแนวรับที่สำคัญอยู่ที่ 1.0750 ในขณะที่ค่า RSI 14 วันอยู่ที่ 58 ซึ่งบ่งชี้ถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง กราฟ H4 แสดงรูปแบบ Bullish Flag ที่มีเป้าหมายที่ 1.0950 หากสามารถทะลุแนวต้าน 1.0900 ได้สำเร็จ
USD/JPY: คู่เงินนี้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ 1.2% สู่ระดับ 146.86 เนื่องจากแรงขายหลังจากที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันทำหน้าที่เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับการเตรียมพร้อมของตลาดสำหรับการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์ถัดไป โดยมีการคาดการณ์ว่า BOJ อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือส่งสัญญาณการเข้มงวดนโยบายการเงินเพิ่มเติม แนวโน้มขาลงได้รับการยืนยันโดย MACD Histogram ที่เข้าสู่โซนลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 โดยคู่เงินนี้อาจทดสอบแนวรับที่ 145.00 หากแรงขายยังคงมีต่อเนื่อง
GBP/USD: ปอนด์สเตอร์ลิงแข็งค่าขึ้น 0.5% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ระดับ 1.2850 โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรที่ดีกว่าคาด โดยเฉพาะดัชนี PMI ภาคบริการที่ขยายตัวเป็น 54.3 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 53.8 รูปแบบ Double Bottom ที่ปรากฏในกราฟรายวันพร้อมกับ Neckline ที่ 1.2900 เป็นสัญญาณบวกสำหรับการปรับตัวขึ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก Pepperstone ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการคลังในสหราชอาณาจักร
AUD/USD: ดอลลาร์ออสเตรเลียปรับตัวขึ้น 0.7% มาอยู่ที่ 0.6640 แม้ว่า Reserve Bank of Australia (RBA) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.35% ตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ท่าทีแข็งกร้าวเกี่ยวกับความเสี่ยงเงินเฟ้อได้สนับสนุนค่าเงิน AUD นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะแร่เหล็กและถ่านหินซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของออสเตรเลีย ยังช่วยสนับสนุนสกุลเงินนี้ การทดสอบแนวต้านที่ 0.6700 จะเป็นจุดสำคัญที่ควรติดตามในสัปดาห์หน้า
USD/CAD: คู่เงินนี้ปรับตัวขึ้น 0.8% ปิดที่ระดับ 1.3480 สะท้อนการอ่อนค่าของดอลลาร์แคนาดาเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลมาจากการลดลงของราคาน้ำมันดิบซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของแคนาดา ธนาคารกลางแคนาดา (BOC) ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.0% พร้อมทั้งส่งสัญญาณเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป หากข้อมูลเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง
USD/CNH: ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.4% เทียบกับหยวนนอกประเทศจีน มาอยู่ที่ 7.2100 หลังจากรัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รวมถึงการขยายเพดานขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของ GDP และการออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 1.3 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนที่ขยายตัวสู่ระดับ 52.6 ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2012 ยังช่วยสนับสนุนเงินหยวนอีกด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินและปัจจัยตลาดอื่นๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินและตลาดอื่นๆ มีความชัดเจนในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ผกผันระหว่างดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) กับสินทรัพย์เสี่ยง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Correlation Analysis) แสดงให้เห็นว่าค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) ระหว่าง DXY และดัชนี S&P 500 อยู่ที่ -0.82 ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง DXY และราคาทองคำอยู่ที่ -0.68 สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐที่มีต่อการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ
นอกจากนี้ ยังสังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Currencies) เช่น AUD, CAD และ NZD กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักที่เกี่ยวข้อง การลดลงของราคาน้ำมันดิบ WTI 3.2% ส่งผลให้ CAD อ่อนค่าลง 0.8% เทียบกับ USD สะท้อนความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างราคาน้ำมันกับดอลลาร์แคนาดา ในทำนองเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของราคาแร่เหล็กและทองคำช่วยสนับสนุนค่าเงิน AUD ให้แข็งแกร่งขึ้น
มุมมองและกลยุทธ์สำหรับตลาด Forex
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้น กลยุทธ์การเทรด Forex ในระยะสั้นมีรายละเอียดดังนี้:
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในสัปดาห์ที่ 3-7 มีนาคม 2568 แสดงการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันระหว่างประเภทสินทรัพย์ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ สภาพคล่องในระบบการเงินโลก และความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์-อุปทานที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ การวิเคราะห์เชิงลึกของแต่ละสินค้าโภคภัณฑ์หลักจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงปัจจัยเฉพาะที่ส่งผลต่อราคาและแนวโน้มในอนาคต
ตลาดทองคำและโลหะมีค่า
ทองคำ Spot สร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจในสัปดาห์นี้ โดยปรับตัวขึ้น 0.92% สู่ระดับ 2,913 ดอลลาร์ต่อทรอยเอาว์ซ์ ราคาทองคำได้ทดสอบแนวต้านที่ 2,930 ดอลลาร์ระหว่างสัปดาห์ก่อนจะพบแรงขายทำกำไร จุดหมุน (Pivot Point) วันที่ 7 มีนาคมอยู่ที่ 2,897 ดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก GoldAround ปัจจัยหลักที่สนับสนุนการปรับตัวขึ้นของทองคำคือการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ลดลง และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่า Stochastic Oscillator 14,3,3 อยู่ที่ระดับ 82 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ในระยะสั้น แม้จะมีโมเมนตัมเชิงบวก แต่การปรับฐานลงสู่ระดับ 2,850 ดอลลาร์อาจเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะหากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าคาดทำให้ดอลลาร์ฟื้นตัว การทดสอบ Fibonacci Retracement 38.2% ที่ 2,840 ดอลลาร์อาจเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจสำหรับการปรับตัวขึ้นในรอบถัดไป
เงิน (Silver) ปรับตัวขึ้น 1.3% สู่ระดับ 32.80 ดอลลาร์ต่อทรอยเอาว์ซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานสะอาดและแผงโซลาร์เซลล์ อัตราส่วน Gold-to-Silver อยู่ที่ 88.8 ซึ่งยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 79.5 บ่งชี้ว่าเงินยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นเพื่อลดช่องว่างกับทองคำ
พลาตินัม (Platinum) ปรับตัวลง 0.5% มาอยู่ที่ 1,005 ดอลลาร์ต่อทรอยเอาว์ซ์ สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับความต้องการในภาคยานยนต์ที่ชะลอตัว รายงานจาก World Platinum Investment Council คาดการณ์ว่าตลาดพลาตินัมจะยังคงเกินดุล (Surplus) ในปี 2568 ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อราคาในระยะกลาง
ตลาดพลังงาน
น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 3.2% สู่ 72.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากรายงานสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.3 ล้านบาร์เรล สูงกว่าคาดการณ์ที่ 2.1 ล้านบาร์เรล การเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันสะท้อนถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอและอุปทานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่ม OPEC+ ยังคงมาตรการจำกัดการผลิตไว้ที่ 5.86 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงสิ้นปี 2568 แต่มีรายงานว่าการปฏิบัติตามข้อตกลงของสมาชิกบางประเทศยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกินในตลาด
การวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบ WTI กำลังเคลื่อนไหวในช่วงขาลงระยะสั้น โดยมีแนวรับสำคัญที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับ Psychological Support และ Fibonacci 61.8% Retracement ของการปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 การทะลุแนวรับนี้จะเปิดทางให้ราคาปรับตัวลงสู่ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 75 ดอลลาร์ซึ่งเป็นระดับ EMA 50 วัน
ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) ปรับตัวลง 4.5% สู่ 1.95 ดอลลาร์ต่อ MMBtu เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อทำความร้อนลดลง ประกอบกับการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 102 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แนวโน้มราคาในระยะสั้นยังคงเป็นลบ โดยมีแนวรับที่ 1.85 ดอลลาร์ต่อ MMBtu
โลหะอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร
ทองแดง (Copper) ปรับตัวขึ้น 1.2% สู่ 4.05 ดอลลาร์ต่อปอนด์ โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ขยายตัวสู่ระดับ 52.6 ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2012 นอกจากนี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดยังสนับสนุนอุปสงค์ในระยะยาว แนวโน้มทางเทคนิคยังคงเป็นบวก โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 4.20 ดอลลาร์ต่อปอนด์
อะลูมิเนียม (Aluminum) ปรับตัวขึ้น 0.8% สู่ 2,245 ดอลลาร์ต่อตัน โดยได้รับแรงหนุนจากการลดกำลังการผลิตในยุโรปเนื่องจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น และการฟื้นตัวของอุปสงค์ในจีน อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกินในระยะกลางยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม
ข้าวสาลี (Wheat) ปรับตัวลง 2.3% สู่ 600 เซนต์ต่อบุชเชล เนื่องจากการคาดการณ์ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และยุโรป ประกอบกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดส่งออกจากรัสเซียและยูเครน ในขณะที่ถั่วเหลือง (Soybeans) ปรับตัวขึ้น 0.5% สู่ 1,155 เซนต์ต่อบุชเชล จากความกังวลเกี่ยวกับสภาพอากาศที่แห้งแล้งในบราซิลซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิต
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าโภคภัณฑ์
การวิเคราะห์ correlation matrix ระหว่างสินค้าโภคภัณฑ์หลักในช่วง 30 วันที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ ทองคำและเงินมีความสัมพันธ์เชิงบวกที่แข็งแกร่ง (r = 0.84) ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและน้ำมันดิบอยู่ในระดับปานกลาง (r = 0.45) สะท้อนถึงผลกระทบของทั้งปัจจัยเงินเฟ้อและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
อัตราส่วน Gold-to-Oil (จำนวนบาร์เรลน้ำมันที่สามารถซื้อได้ด้วยทองคำ 1 ออนซ์) เพิ่มขึ้นเป็น 40.18 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 23.5 บ่งชี้ว่าทองคำมีราคาสูงเมื่อเทียบกับน้ำมัน หรืออีกนัยหนึ่งคือน้ำมันมีราคาต่ำเมื่อเทียบกับทองคำ จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ เมื่ออัตราส่วนนี้สูงกว่า 30 มักจะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงในอนาคต ซึ่งอาจเกิดจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นหรือราคาทองคำปรับตัวลง
มุมมองและกลยุทธ์สำหรับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นในสัปดาห์ที่ 3-7 มีนาคม 2568 ซึ่งความเชื่อมโยงระหว่างสินทรัพย์ต่างประเภทแสดงให้เห็นถึงกลไกการส่งผ่านผลกระทบที่ซับซ้อน ทั้งในด้านปัจจัยพื้นฐานและจิตวิทยาตลาด
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐและสินทรัพย์เสี่ยง
ความสัมพันธ์ผกผันระหว่างดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) กับสินทรัพย์เสี่ยงปรากฏชัดเจนในสัปดาห์นี้ โดย DXY ปรับตัวลดลง 2.79% สู่ระดับ 104 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ส่งผลเชิงบวกต่อหลายสินทรัพย์ Raoul Pal ผู้ก่อตั้ง Real Vision ได้อธิบายว่าสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์นโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นปัจจัยหนุนสำคัญในการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณพบว่า ทุกๆ การอ่อนค่าของ DXY 1% มีความสัมพันธ์กับการปรับตัวขึ้นของดัชนี S&P 500 ประมาณ 1.2% และ Bitcoin 2.4% ในสัปดาห์เดียวกัน ซึ่งแสดงถึงความอ่อนไหวที่แตกต่างกันของสินทรัพย์แต่ละประเภทต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์ โดยสินทรัพย์ดิจิทัลมีความอ่อนไหวสูงกว่า
ในกรณีของทองคำซึ่งปรับตัวขึ้น 0.92% สู่ 2,913 ดอลลาร์ต่อทรอยเอาว์ซ์นั้น การอ่อนค่าของดอลลาร์ส่งผลเชิงบวกในฐานะที่ทองคำเป็นทั้งสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven) และเครื่องป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ (Inflation hedge) การวิเคราะห์ทฤษฎีพาริตีกำลังซื้อ (Purchasing Power Parity) แสดงให้เห็นว่าดัชนี DXY ที่อ่อนค่าลงเพิ่มอำนาจซื้อสำหรับผู้ลงทุนในสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งกระตุ้นอุปสงค์ทองคำในตลาดโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างตราสารหนี้และตลาดหุ้น
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปีลดลง 10 bps สู่ 4.05% ในสัปดาห์นี้ หลังจากข้อมูลตลาดแรงงานแสดงสัญญาณการชะลอตัว โดยตัวเลข JOLTS (Job Openings and Labor Turnover Survey) ปรับลดลง 25,000 ตำแหน่ง การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลโดยตรงต่อตลาดหุ้นเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยสูง
การวิเคราะห์ Duration-adjusted correlation ระหว่างผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีและดัชนี Nasdaq 100 แสดงค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation coefficient) ที่ -0.72 ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์เชิงลบที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวขึ้น 2.8% และกลุ่ม ETF หุ้นเทคโนโลยีได้รับเงินลงทุนไหลเข้า 1.2 พันล้านดอลลาร์
ความน่าสนใจอยู่ที่ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ตลาดกลับปรับลดความคาดหวังเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2568 จาก 6 ครั้งเหลือ 3-4 ครั้ง สะท้อนความคาดหวังถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งแม้จะมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง ปรากฏการณ์นี้อธิบายได้ด้วยทฤษฎี Yield Curve Flattening ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวลงเร็วกว่าระยะสั้น บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาว
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพลังงานและสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์
ในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 3.2% สู่ 72.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังรายงานสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกินคาด ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน โดยเฉพาะดอลลาร์แคนาดา (CAD) ซึ่งอ่อนค่าลง 0.8% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
การวิเคราะห์ vector autoregression แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน 1% จะส่งผลต่อค่าเงิน CAD ประมาณ 0.3-0.4% ภายในระยะเวลา 3-5 วันทำการ ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎี Trade Balance Effect ที่ราคาน้ำมันต่ำลงจะส่งผลลบต่อดุลการค้าของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากราคาแร่เหล็กที่ปรับตัวขึ้น 2.1% แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในปัจจัยพื้นฐานของสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละประเภท
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายภาครัฐและตลาดคริปโต
การประชุมสุดยอดคริปโตที่ทำเนียบขาววันที่ 7 มีนาคม ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดดิจิทัลแอสเซท ข้อเสนอให้รวม Bitcoin และเหรียญหลักในทุนสำรองเชิงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ Bitcoin ปรับตัวขึ้น 6% สู่ระดับ 91,860 ดอลลาร์ในวันเดียว
ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึง Policy Premium Effect ที่แทรกซึมในราคาสินทรัพย์ดิจิทัล โดยการวิเคราะห์ Sentiment Data จาก Santiment แสดงค่า FOMO (Fear of Missing Out) Index ที่เพิ่มขึ้น 42% ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการประกาศนโยบาย สะท้อนจิตวิทยาตลาดที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย นอกจากนี้ มูลค่า Stablecoin ที่แตะระดับ 226 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงสภาพคล่องสูงในตลาดคริปโตที่พร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการเงินในภูมิภาคต่างๆ
การตัดสินใจของ ECB ที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps เหลือ 2.5% สร้างความแตกต่างในทิศทางนโยบายการเงินเมื่อเทียบกับ Fed ที่ยังไม่เริ่มวัฏจักรการลดดอกเบี้ย การวิเคราะห์ Interest Rate Differential แสดงให้เห็นว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และยูโรโซนที่ลดลงมีผลให้ EUR/USD แข็งค่าขึ้น 0.6% มาอยู่ที่ 1.0850
นอกจากนี้ การปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ ECB ในปีนี้จาก 2 ครั้งเหลือ 1 ครั้ง โดย Nomura แสดงให้เห็นถึงความกังวลเรื่องแรงกดดันทางการคลังในเยอรมนี และสะท้อนความแตกต่างในพลวัตเงินเฟ้อระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ ความไม่สอดคล้องในนโยบายการเงินทั่วโลกนี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาด Forex และส่งผลต่อการไหลเข้า-ออกของเงินทุนในตลาดต่างๆ
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และผลกระทบต่อตลาด
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโกและแคนาดา หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้า 25% ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินเหล่านี้และตลาดหุ้นในภูมิภาค การวิเคราะห์ Cross-border Fund Flow แสดงให้เห็นถึงการไหลออกของเงินทุนจากตลาดเกิดใหม่ที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ สูง
ขณะเดียวกัน ตลาดจีนได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยดัชนี Shanghai Composite ปรับตัวขึ้น 3.2% จากแรงซื้อสถาบันในกลุ่มพลังงานทดแทนและเทคโนโลยี สะท้อนการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างภูมิภาคตามปัจจัยเสี่ยงและโอกาสการเติบโต
การเคลื่อนไหวของตลาดอนุพันธ์และนัยต่อสินทรัพย์อ้างอิง
ตลาดอนุพันธ์แสดงสัญญาณที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ โดยข้อมูลจาก Commitment of Traders (COT) Report แสดงการเพิ่มขึ้นของ Net Long Positions ในสัญญาฟิวเจอร์สทองคำ 15% เป็น 263,000 สัญญา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันต่อแนวโน้มราคาทองคำในระยะกลาง
ในตลาดอนุพันธ์ Forex สังเกตเห็นการเพิ่มขึ้นของ Risk Reversal Skew ในออปชั่น EUR/USD ที่บ่งชี้ว่านักลงทุนเต็มใจจ่ายพรีเมียมสูงขึ้นสำหรับสิทธิในการซื้อยูโร (Call Options) เทียบกับสิทธิในการขาย (Put Options) ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองขาขึ้นของคู่เงินนี้
การเพิ่มขึ้นของ Open Interest ในสัญญาฟิวเจอร์ส Bitcoin สู่ระดับ 1.68 พันล้านดอลลาร์ โดย 72% เป็นฝั่ง Long ที่ถูกล้างพอร์ต (Long Liquidation) หลังการประกาศนโยบาย Strategic Crypto Reserve แสดงให้เห็นถึงการเก็งกำไรที่มากเกินไปในระยะสั้น และส่งสัญญาณเตือนถึงความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การวิเคราะห์ Flow of Funds และผลกระทบต่อ Asset Allocation
การไหลเข้าของเงินลงทุนในกองทุน ETF หุ้นเทคโนโลยีมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ และการไหลออกจากกองทุนพันธบัตรมูลค่า 870 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์เสี่ยงและลดสัดส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัย
การวิเคราะห์ Sector Rotation ในตลาดหุ้นแสดงการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมหนักเข้าสู่กลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานทดแทน ซึ่งสะท้อนในรายชื่อ Top Gainers ของ SET100 เช่น CCET (+6.84%) และ IRPC (+5.88%) ในขณะที่ Top Losers ได้แก่ DELTA (-7.77%) และ AMATA (-7.23%)
การเคลื่อนย้ายเงินทุนนี้มีความเชื่อมโยงกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน โดยเฉพาะแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ที่คาดว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นเติบโตมากกว่าหุ้นคุณค่า (Growth vs. Value) ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี Style Rotation ในวัฏจักรเศรษฐกิจ
มุมมองและนัยสำหรับนักลงทุน
จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดข้างต้น นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนากลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยงดังนี้:
ตลาดดัชนีหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ 3-7 มีนาคม 2568 แสดงการเคลื่อนไหวที่เป็นบวกโดยรวม แม้จะมีความผันผวนจากปัจจัยเฉพาะในบางภูมิภาค ทั้งนี้ การปรับตัวของดัชนีหุ้นหลักถูกขับเคลื่อนจากการคาดการณ์นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในอนาคต การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม และปัจจัยพื้นฐานเฉพาะในแต่ละภูมิภาค
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 1.8% ในสัปดาห์นี้ ปิดที่ระดับ 5,250 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มเทคโนโลยีที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ปัจจัยสนับสนุนหลักคือการลดลงของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ที่ลดลง 10 bps สู่ 4.05% ซึ่งมีผลดีต่อหุ้นเติบโตที่มีมูลค่าสูง (Growth Stocks) ที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย
ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวขึ้นมากกว่าตลาดโดยรวม โดยเพิ่มขึ้น 2.1% มาปิดที่ระดับ 18,450 จุด จากการไหลเข้าของเงินลงทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์ในกองทุน ETF หุ้นเทคโนโลยี หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven โดยเฉพาะ NVIDIA (+4.8%) และ Apple (+3.2%) เป็นผู้นำการปรับตัวขึ้น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์เชิงบวกในการเติบโตของกลุ่ม AI และการฟื้นตัวของตลาดสมาร์ทโฟนในเอเชีย
ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวขึ้นเพียง 0.9% สู่ระดับ 39,150 จุด แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างกลุ่มหุ้น (Sector Rotation) อย่างชัดเจน โดยนักลงทุนเน้นการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานมากกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิม ทั้งนี้ การวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า P/E Ratio ของ S&P 500 ที่ 22.5 เท่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 19.8 เท่า ซึ่งสะท้อนความคาดหวังต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่สูงในปี 2568
ตลาดหุ้นยุโรป
ดัชนี Euro Stoxx 50 ปรับตัวขึ้น 1.5% สู่ระดับ 4,850 จุด หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps เหลือ 2.5% ในการประชุมวันที่ 6 มีนาคม การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ท่าทีระมัดระวังของประธาน ECB เกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยในอนาคตทำให้การปรับตัวขึ้นของตลาดถูกจำกัด
ตลาดหุ้นเยอรมัน DAX เพิ่มขึ้น 1.2% สู่ระดับ 17,750 จุด แม้จะมีแรงกดดันจากข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีที่คาดว่าจะหดตัว 0.3% MoM ในเดือนกุมภาพันธ์ สะท้อนผลกระทบจากวิกฤตพลังงานที่ยังคงส่งผลต่อภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม นโยบายการคลังเชิงรุกของรัฐบาลเยอรมนีในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดได้ช่วยหนุนตลาดหุ้นบางส่วน
ดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรปรับตัวขึ้น 1.1% มาอยู่ที่ 7,650 จุด จากแรงหนุนของตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด โดยเฉพาะดัชนี PMI ภาคบริการที่ขยายตัวเป็น 54.3 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 53.8 หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Goods) อย่าง Burberry และ LVMH ได้รับประโยชน์จากความคาดหวังในการฟื้นตัวของอุปสงค์จากผู้บริโภคจีนหลังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นเอเชีย
ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปรับตัวลง 0.8% มาอยู่ที่ 38,200 จุด จากแรงกดดันของการแข็งค่าของเงินเยนและความกังวลเกี่ยวกับการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์ถัดไป ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า BOJ อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือส่งสัญญาณการเข้มงวดนโยบายการเงินเพิ่มเติม หุ้นกลุ่มส่งออกอย่าง Toyota Motor (-2.3%) และ Sony Group (-1.8%) ได้รับผลกระทบจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น
ตลาดจีนแสดงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนี Shanghai Composite ปรับตัวขึ้น 3.2% สู่ระดับ 3,050 จุด และดัชนี China A50 ปรับตัวขึ้น 3.2% สู่ระดับ 13,800 จุด หลังจากรัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รวมถึงการขยายเพดานขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของ GDP และการออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 1.3 ล้านล้านหยวน ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงปรับตัวขึ้น 2% และ Hang Seng Tech กระโดด 4% ในวันที่ 6 มีนาคม โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีอย่าง Alibaba (+7.08%) และ Tencent (+5.34%) ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุน AI
ดัชนี SET100 ของไทยปรับตัวขึ้น 1.2% มาอยู่ที่ 1,420 จุด โดยมี Top Gainers ได้แก่ CCET (+6.84%) และ IRPC (+5.88%) จากกระแสกองทุนปรับพอร์ตก่อนปิดไตรมาส ในขณะที่ Top Losers ได้แก่ DELTA (-7.77%) และ AMATA (-7.23%) สะท้อนการไหลออกจากกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ
การวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นเด่น
การวิเคราะห์ภาคอุตสาหกรรมในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึง Sector Rotation ที่ชัดเจน โดยกลุ่มเทคโนโลยี (+2.5%) และพลังงานทดแทน (+2.1%) นำตลาด ตามด้วยกลุ่มวัสดุ (+1.7%) และการเงิน (+1.5%) ในขณะที่กลุ่มสาธารณูปโภค (+0.3%) และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น (+0.5%) ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดโดยรวม
หุ้นเด่นที่น่าสนใจประจำสัปดาห์นี้ได้แก่:
การวิเคราะห์ทางเทคนิคและแนวโน้ม
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของดัชนีหุ้นหลักแสดงสัญญาณที่น่าสนใจดังนี้:
S&P 500: แนวโน้มขาขึ้นยังคงได้รับการยืนยันด้วยการเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันที่ 5,120 จุด ค่า RSI ที่ 62 ยังไม่เข้าสู่เขต Overbought แสดงถึงโอกาสในการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 5,300 จุด และแนวรับที่ 5,100 จุด
Nasdaq 100: รูปแบบ Cup and Handle Formation ที่ปรากฏในกราฟรายวันเป็นสัญญาณบวกสำหรับการปรับตัวขึ้นในระยะกลาง โดยมีเป้าหมายที่ 19,000 จุด MACD ที่เริ่มตัดเส้น Signal Line ขึ้นเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัวขึ้น
China A50: ทะลุแนวต้านสำคัญที่ 13,500 จุด พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น 45% เทียบกับค่าเฉลี่ย 10 วัน แสดงถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อ แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 14,200 จุด และแนวรับสำคัญที่ 13,400 จุด (เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ปัจจัยที่ต้องติดตามและผลกระทบต่อตลาด
ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามในสัปดาห์หน้าซึ่งอาจมีผลกระทบต่อตลาดดัชนีหุ้นได้แก่:
กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นระยะสั้น
จากข้อมูลและการวิเคราะห์ข้างต้น กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นระยะสั้นที่น่าพิจารณาได้แก่:
ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ 3-7 มีนาคม 2568 เผชิญกับความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลมาจากปัจจัยนโยบายรัฐบาลและการปรับตัวเชิงสถาบันที่กำลังเกิดขึ้น โดยราคาสินทรัพย์ดิจิทัลหลักแสดงการเคลื่อนไหวรุนแรงทั้งขาขึ้นและขาลงในช่วงเวลาอันสั้น สะท้อนถึงแรงซื้อเก็งกำไรและการทำกำไรระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์หลัก
บิตคอยน์ (BTC) เริ่มสัปดาห์ด้วยการเคลื่อนไหวในกรอบ 78,258.52 ถึง 85,000 ดอลลาร์ ก่อนที่จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ระดับ 92,000 ดอลลาร์หลังการประกาศนโยบาย Strategic Crypto Reserve ของประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างไรก็ตาม เกิดการปรับฐานอย่างรวดเร็วจากแรงขายทำกำไร ส่งผลให้ราคาถูกดันกลับสู่ระดับ 85,000 ดอลลาร์ในวันถัดมา ความผันผวนของราคาสะท้อนให้เห็นถึงสภาพคล่องและการเก็งกำไรที่สูงในตลาด โดยมูลค่าตลาดรวมของบิตคอยน์ณ สิ้นสัปดาห์อยู่ที่ประมาณ 1.68 ล้านล้านดอลลาร์
อีเธอเรียม (ETH) แสดงการเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบกว่า โดยเคลื่อนไหวระหว่าง 2,142 ถึง 2,500 ดอลลาร์ แม้จะได้รับอานิสงส์จากข่าวดีเช่นเดียวกับบิตคอยน์ แต่อีเธอเรียมปรับตัวขึ้นเพียง 4.2% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน ETH/BTC ปรับตัวขึ้น 3.5% สู่ 0.0258 สะท้อนความแข็งแกร่งเชิงเปรียบเทียบของกลุ่ม Altcoins ในช่วงปลายสัปดาห์หลังจากที่ราคาบิตคอยน์ปรับตัวลดลง
กลุ่ม Altcoins ที่ถูกระบุว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งในทุนสำรองเชิงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะ XRP (+23.69%), Solana (SOL, +16.81%) และ Cardano (ADA, +58.77%) ที่ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในระยะเวลาอันสั้น ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงพลังของปัจจัยเชิงนโยบายที่มีต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัล และการเลือกลงทุนแบบเจาะจงของนักลงทุนตามข่าวสาร
เหรียญมีม (Meme Coins) เช่น TRUMP และ BONK ซึ่งมักจะมีความผันผวนสูงกว่ากลุ่มอื่น ปรับตัวลดลงเกิน 30% หลังจากที่มีการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าเม็กซิโกและแคนาดา 25% แสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของสินทรัพย์กลุ่มนี้ต่อปัจจัยเสี่ยงภายนอก และพฤติกรรมการซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์มากกว่าปัจจัยพื้นฐาน
เหตุการณ์สำคัญและผลกระทบต่อตลาด
เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตในสัปดาห์นี้คือการประกาศนโยบาย Strategic Crypto Reserve ของประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม โดยมีข้อเสนอให้จัดตั้งกองทุนสำรองคริปโทเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะรวมบิตคอยน์ อีเธอเรียม และเหรียญ Altcoin อย่าง XRP, SOL และ ADA เป็นต้น นักวิเคราะห์จาก Bitwise ประเมินว่ามีโอกาสที่นโยบายนี้จะเกิดขึ้นจริงประมาณ 70% ภายในปีนี้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกอย่างมากต่อการยอมรับคริปโตเคอเรนซี่ในระดับสถาบันและภาครัฐ
ข้อเสนอนี้ทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์คริปโตพุ่งสูงถึง 1.68 พันล้านดอลลาร์ในเพียง 24 ชั่วโมง โดย 72% เป็นฝั่ง Long ที่ถูกล้างพอร์ต (Long Liquidation) หลังการประกาศ สะท้อนถึงการเก็งกำไรที่มากเกินไปในระยะสั้น และความเสี่ยงของการใช้ Leverage สูงในตลาดที่มีความผันผวน
ในด้านลบ การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% โดยประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อวันที่ 3 มีนาคม สร้างแรงกดดันต่อตลาดคริปโตให้ปรับตัวลดลง 6% ในช่วงต้นสัปดาห์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมลดเหลือ 3.21 ล้านล้านดอลลาร์ และดัชนีความกลัวและความโลภ (Fear & Greed Index) ลดลงสู่ระดับ 38 ซึ่งอยู่ในโซนความกลัว (Fear) แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและตลาดคริปโต
พฤติกรรมนักลงทุนและสถาบัน
พฤติกรรมนักลงทุนในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นถึงการเข้ามามีบทบาทมากขึ้นของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ (Whale) ข้อมูลจาก Zerocap ระบุว่าวาฬรายหนึ่งทำกำไรถึง 7 ล้านดอลลาร์จากการเปิดพอร์ตเลเวอเรจ 50x บน BTC และ ETH ก่อนการประกาศนโยบายของทรัมป์ สะท้อนถึงการใช้ข้อมูลเชิงลึกหรือการวิเคราะห์ขั้นสูงของนักลงทุนสถาบัน
การขยายตัวของสถาบันการเงินดั้งเดิมในตลาดคริปโตยังคงเป็นแนวโน้มที่สำคัญ โดย DekaBank ได้เปิดบริการซื้อขายและเก็บรักษาคริปโตให้กับสถาบัน พร้อมจัดการสินทรัพย์มูลค่ารวมถึง 377 พันล้านยูโร ในขณะที่ Citadel Securities ซึ่งเป็นบริษัทการเงินชั้นนำกำลังเตรียมเข้ามาเป็นผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity Provider) ให้กับตลาดคริปโตหลัก นอกจากนี้ Grayscale ยังได้ยื่นขออนุมัติ ETF สำหรับ Polkadot และ Cardano เพิ่มเติม แสดงถึงการขยายตัวของผลิตภัณฑ์การลงทุนในคริปโตที่หลากหลายมากขึ้น
มูลค่า Stablecoin ที่หมุนเวียนในตลาดแตะระดับ 226 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บ่งชี้ถึงการสะสมสภาพคล่องสำหรับการลงทุนในอนาคต และสะท้อนความเชื่อมั่นในระบบนิเวศคริปโตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่มองหาวิธีการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ในมุมมองทางเทคนิค บิตคอยน์ (BTC/USD) กำลังเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways ระหว่าง 85,000-92,000 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนสำคัญที่ 78,000 ดอลลาร์ ค่า RSI 14 วันอยู่ที่ 45 ซึ่งอยู่ในระดับกลาง ไม่แสดงสัญญาณภาวะซื้อหรือขายมากเกินไป MACD Histogram เริ่มกลับเป็นบวกหลังจากเกิด Death Cross ในกราฟรายวัน บ่งชี้ถึงแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะสั้น
แนวต้านสำคัญของบิตคอยน์อยู่ที่ 92,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยา (Psychological Level) และเป็นจุดสูงสุดในสัปดาห์นี้ ในขณะที่แนวรับอยู่ที่ 85,000 ดอลลาร์ ซึ่งตรงกับระดับ Fibonacci 38.2% การทะลุแนวต้านนี้อาจนำไปสู่การทดสอบระดับ 95,000 ดอลลาร์ ในขณะที่การหลุดแนวรับอาจส่งผลให้ราคาลงไปทดสอบ 80,000 ดอลลาร์
สำหรับอีเธอเรียม (ETH/USD) ความสัมพันธ์กับบิตคอยน์มีความน่าสนใจ โดย ETH/BTC Ratio ปรับตัวขึ้น 3.5% สู่ 0.0258 ซึ่งเป็นสัญญาณบวกสำหรับกลุ่ม Altcoins ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 25% เป็น 9.64 พันล้านดอลลาร์ จากกิจกรรม DeFi และการคาดการณ์ ETF แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 2,650 ดอลลาร์ และแนวรับที่ 2,100 ดอลลาร์ ซึ่งตรงกับระดับ Moving Average 50 วัน
ปัจจัยที่ควรติดตามในอนาคต
ปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามในอนาคตอันใกล้คือการประชุมสุดยอดคริปโตที่ทำเนียบขาวซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 7 มีนาคม โดยประเด็นหลักที่คาดว่าจะมีการหารือได้แก่มาตรการควบคุม Stablecoins การบูรณาการคริปโตในระบบการเงินดั้งเดิม และแนวทางการจัดเก็บภาษีคริปโตเชิงรุก ผลการประชุมนี้จะมีผลอย่างมากต่อทิศทางของกฎระเบียบและการยอมรับคริปโตในระยะยาว
ในด้านกฎระเบียบ ยังมีความเสี่ยงจากการตรวจสอบของ SEC ที่กำลังดำเนินการกับ Coinbase และ Binance เกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ นอกจากนี้ สหภาพยุโรปกำลังเตรียมใช้กฎหมาย MiCA (Markets in Crypto-Assets) ฉบับสมบูรณ์ในไตรมาส 2/2568 ซึ่งอาจจำกัดการซื้อขายเหรียญที่เน้นความเป็นส่วนตัว (Privacy Coins) และสร้างความท้าทายใหม่ให้กับผู้ให้บริการในตลาดคริปโต
การมาถึงของ ETF ใหม่และการขยายตัวของสภาพคล่องจากสถาบันคาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดคริปโตในช่วงไตรมาส 2/2568 โดยนักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่าบิตคอยน์อาจทะลุระดับ 120,000 ดอลลาร์ได้ภายในกลางปี หากเงื่อนไขตลาดยังคงเอื้ออำนวย
กลยุทธ์การลงทุนในตลาดคริปโต
จากการวิเคราะห์ข้างต้น กลยุทธ์การลงทุนในตลาดคริปโตที่เหมาะสมสำหรับแต่ละประเภทนักลงทุนมีดังนี้:
สำหรับนักลงทุนระยะยาว (HODLers) กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging ยังคงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการสะสมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะในช่วงราคาต่ำกว่า 85,000 ดอลลาร์สำหรับบิตคอยน์ การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลักอย่าง BTC และ ETH ในสัดส่วน 70:30 พร้อมกับการจัดสรรเงินลงทุน 10-15% ในกลุ่ม Altcoins เป้าหมายนโยบาย (XRP, SOL, ADA) อาจเป็นพอร์ตโฟลิโอที่สมดุลสำหรับการลงทุนระยะยาว
สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น การใช้กลยุทธ์ Range Trading ในกรอบ 85,000-92,000 ดอลลาร์สำหรับบิตคอยน์ อาจสร้างผลตอบแทนที่ดีในสภาวะตลาดปัจจุบัน โดยควรตั้ง Stop Loss ไม่เกิน 2% ของเงินลงทุนเพื่อจำกัดความเสี่ยง สำหรับอีเธอเรียม กลยุทธ์ Breakout Trading เมื่อราคาทะลุแนวต้าน 2,500 ดอลลาร์ด้วย Volume ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นจุดเข้าซื้อที่ดี โดยมีเป้าหมายที่ 2,650 ดอลลาร์
สำหรับนักลงทุนสถาบัน การพิจารณาเพิ่มสัดส่วน Altcoins เป้าหมายนโยบาย (XRP, SOL, ADA) ในพอร์ตคริปโตประมาณ 15-20% อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสผลตอบแทนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ การใช้ตลาดอนุพันธ์เพื่อ Hedge ความเสี่ยงด้วย Options หรือ Futures ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโฟลิโอโดยรวม
โดยสรุป ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลสูงสุดของปัจจัยนโยบายรัฐบาลและการปรับตัวเชิงสถาบันต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัล แม้จะมีความผันผวนสูงในระยะสั้น แต่แนวโน้มในระยะกลางยังคงเป็นบวกจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการยอมรับที่เพิ่มขึ้นในระดับสถาบันและภาครัฐ นักลงทุนควรติดตามการประชุมสุดยอดคริปโตที่ทำเนียบขาวและการพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดในอนาคต
การกำหนดกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับสัปดาห์ที่ 9-15 มีนาคม 2568 จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ทั้งข้อมูลปฏิทินเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างตลาด การวิเคราะห์ทางเทคนิค และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์แต่ละประเภท การประเมินความเสี่ยงและโอกาสอย่างเป็นระบบจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนและแสวงหาโอกาสทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปฏิทินเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม
สัปดาห์ที่จะถึงนี้มีเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาด CFD ดังนี้:
แนวโน้มและกลยุทธ์ตามประเภทสินทรัพย์
กลุ่มสกุลเงิน (Forex)
EUR/USD มีแนวโน้มผันผวนหลังการประกาศ CPI สหรัฐฯ โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1.0750-1.0950 กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการใช้ Breakout Trading โดยเข้าซื้อเมื่อทะลุแนวต้าน 1.0900 ด้วย Stop Loss ที่ 1.0850 และเป้าหมายที่ 1.0950-1.1000 หากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาด คู่เงินนี้มีโอกาสทะลุกรอบด้านบนได้
USD/JPY มีแนวโน้มที่จะผันผวนสูงในช่วงก่อนการประชุม BOJ โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 146.00-148.00 กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการรอสัญญาณยืนยันทิศทางที่ชัดเจนหลังการประชุม BOJ โดยเน้นเทรดในทิศทางของแนวโน้มหลักที่จะเกิดขึ้น ตั้ง Stop Loss ที่ 149.00 สำหรับสถานะขาย หรือ 145.00 สำหรับสถานะซื้อ
AUD/USD อาจได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการใช้ Momentum Trading โดยเข้าซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้าน 0.6650 ด้วย Stop Loss ที่ 0.6600 และเป้าหมายที่ 0.6700-0.6750
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)
ทองคำมีแนวโน้มผันผวนในกรอบ 2,850-2,930 ดอลลาร์ต่อทรอยเอาว์ซ์ โดยมีแนวรับสำคัญที่ 2,850 ดอลลาร์ กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการเข้าซื้อที่แนวรับ 2,840-2,860 ดอลลาร์หากมีการฟื้นตัวทางเทคนิค เช่น Bullish Engulfing Pattern หรือ RSI Divergence ตั้ง Stop Loss ที่ 2,820 ดอลลาร์ และเป้าหมายที่ 2,900-2,920 ดอลลาร์
น้ำมันดิบ WTI มีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องจากอุปทานส่วนเกินในตลาด กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการตั้งคำสั่งขายล่วงหน้าที่ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้วยเป้าหมายที่ 70 ดอลลาร์ และ Stop Loss ที่ 77 ดอลลาร์ หรือใช้กลยุทธ์ Pairs Trading โดยขาย WTI/ซื้อ Brent เนื่องจาก Spread ระหว่าง Brent และ WTI ได้ขยายตัวเป็น 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย
ทองแดงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตจีน กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการใช้ Buy on Dips ที่ระดับ 3.95-4.00 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ด้วยเป้าหมายที่ 4.20 ดอลลาร์ และ Stop Loss ที่ 3.85 ดอลลาร์
ดัชนีหุ้น (Indices)
S&P 500 มีแนวโน้มสร้างจุดสูงสุดใหม่หากไม่มีปัจจัยลบจากตัวเลขเงินเฟ้อ โดยมีแนวรับสำคัญที่ 5,200 จุด กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการทยอยเข้าซื้อในจังหวะที่ราคาย่อตัวลงทดสอบแนวรับ โดยตั้ง Stop Loss ที่ 5,150 จุด และเป้าหมายที่ 5,300-5,350 จุด
Nasdaq 100 มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากการลดลงของผลตอบแทนพันธบัตร โดยมีเป้าหมายที่ 19,000 จุด กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการเลือกลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น NVIDIA, Apple เป็นต้น พร้อมกับป้องกันความเสี่ยงด้วย Put Option ที่ Strike Price 18,000 จุด
China A50 มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการเข้าซื้อเมื่อทะลุแนวต้าน 13,800 จุด ด้วย Stop Loss ที่ 13,500 จุด และเป้าหมายที่ 14,200 จุด
คริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrencies)
บิตคอยน์ (BTC) มีแนวโน้มผันผวนในกรอบ 85,000-92,000 ดอลลาร์ โดยมีแนวโน้มทะลุกรอบด้านบนหากผลการประชุมสุดยอดคริปโตทำเนียบขาวเป็นบวก กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการเฝ้าระวังการทะลุแนวต้าน 92,000-93,000 ดอลลาร์ ด้วย Volume ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณซื้อที่แข็งแกร่ง เป้าหมายที่ 95,000 ดอลลาร์ และ Stop Loss ที่ 90,000 ดอลลาร์
อีเธอเรียม (ETH) มีแนวโน้มฟื้นตัวเมื่อเทียบกับบิตคอยน์ โดยมีแนวรับแข็งแรงที่ 2,100 ดอลลาร์ กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการใช้ Dollar-Cost Averaging เมื่อ RSI 14 วันต่ำกว่า 40 และเข้าซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้าน 2,500 ดอลลาร์ ด้วยเป้าหมายที่ 2,650 ดอลลาร์
กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์และการบริหารความเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา
ตลาดการเงินในสัปดาห์ที่ 3-7 มีนาคม 2568 แสดงให้เห็นถึงพลวัตที่ซับซ้อนจากปัจจัยหลายด้าน โดยแต่ละประเภทสินทรัพย์ตอบสนองต่อปัจจัยขับเคลื่อนที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดและปัจจัยพื้นฐานเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง
ประเด็นสำคัญจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
บทเรียนสำคัญและข้อแนะนำสำหรับเทรดเดอร์
การเทรดในสภาวะตลาดปัจจุบันเรียกร้องให้นักลงทุนปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสม ข้อแนะนำสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ในทุกระดับมีดังนี้:
มุมมองตลาดสำหรับสัปดาห์ที่ 9-15 มีนาคม 2568
ในภาพรวม ตลาด CFD ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้มีแนวโน้มที่จะยังคงผันผวนจากปัจจัยสำคัญหลายประการ โดยมีประเด็นที่ควรให้ความสำคัญดังนี้: